สิ่งที่ถ่ายทอดศาสตร์การเขียนตัวอักษรออกมาได้ดีที่สุดคือการเขียนพู่กัน หากเทียบในแง่ของศิลปะละก็ ไม่ว่าอย่างไรการใช้ปากกาเขียนก็เทียบกับพู่กันไม่ได้ เพราะฉะนั้นหลินเยวียนจึงอยากพิสูจน์ฝีมือการเขียนตัวอักษรของตน แน่นอนว่าเขาย่อมต้องเลือกการเขียนพู่กันปราบเซียน!
คลี่กระดาษออก
จินมู่เริ่มฝนหมึก
การเขียนตัวอักษรด้วยพู่กันแลดูง่ายมาก ทั้งยังให้อวดความเท่บางอย่าง ทำให้ผู้คนรู้สึกว่าถ้าฉันอวดฝีมือเมื่อไหร่ พวกเธอจะต้องตกตะลึง แต่เมื่อหยิบพู่กันขึ้นมาจริงๆ จึงจะสัมผัสได้ถึงความยากที่แท้จริง
มีหลายสิ่งที่ต้องใส่ใจเมื่อเขียนตัวอักษรด้วยพู่กัน
ตัวอย่างเช่นท่าทาง โบราณเรียกว่าลักษณะท่วงท่า ถ้าหากลักษณะท่วงท่าดี การเขียนพู่กันจะไม่ใช่เรื่องยาก หลินเยวียนไม่รู้เรื่องนี้มาก่อน ถ้าเขารู้ คงไม่เขียนตัวหนังสือเหมือนโดนสุนัขแทะแบบนั้นหรอก
ตอนนี้ไม่เหมือนเดิมแล้ว
เมื่อมีทักษะด้านการเขียนตัวอักษร ในสมองของเขาจึงมีความรู้ที่สอดคล้องกัน ตัวอย่างเช่นขณะนั่งอยู่ที่โต๊ะหนังสือ ลำตัวต้องตั้งตรง สายตาทำมุมประมาณ 45 องศากับโต๊ะ คนที่ไม่ได้อยู่ระดับอาจารย์ ทางที่ดีพยายามอย่าให้ศีรษะเอียงซ้ายขวา อาจารย์บางคนไม่เคร่งครัดเครื่องเหล่านี้ก็เพราะพวกเขาแตะถึงระดับช่ำชองจนเขียนโดยไม่ใส่ใจได้แล้ว
หลินเยวียนมีความสามารถระดับมืออาชีพ
สำหรับคนทั่วไปแล้วสามารถเรียกว่าอยู่ระดับอาจารย์ได้ แต่เมื่อเทียบกับปรมาจารย์ด้านการเขียนตัวอักษรตัวจริง อันที่จริงยังนับว่าห่างไกล เพราะฉะนั้นเขาจึงมีท่าทีจริงจัง แม้แต่พู่กันก็ยังใช้เวลาเลือกสรรอยู่นานหลายนาที และสุดท้ายแล้วก็เลือกใช้พู่กันสำหรับตัวอักษรต้าข่าย ปลายพู่กันสีเทาลื่น ทำให้ได้สัมผัสที่นุ่ม
จับพู่กันก็ต้องใส่ใจ
เริ่มแรก ปลายนิ้วโป้งจับที่ด้านในของด้ามพู่กัน และออกแรงจากซ้ายไปขวา จากนั้นปลายนิ้วชี้จับเฉียงด้านนอกของด้ามพู่กัน และนิ้วโป้งบีบด้ามพู่กัน ใช้นิ้วกลางเกี่ยวแน่นกับด้านนอกด้ามพู่กัน ใช้โคนเล็บของนิ้วนางกดด้านขวาของด้ามพู่กันเข้าหานิ้วกลางให้แน่น และสุดท้ายใช้นิ้วก้อยขยับเข้าใกล้นิ้วนางอย่างเป็นธรรมชาติ สรุปแล้วนี่เป็นความรู้ทั้งนั้น
หลินเยวียนจะเขียนตัวอักษรข่ายซู!
ข่ายหมายถึงกฎเกณฑ์และรูปแบบ เป็นประเภทของตัวอักษรที่ได้รับความนิยมมากที่สุด บุคคลในประวัติศาสตร์ของโลกอย่างโอวหยางสวิน ฉู่ซุ่ยเหลียง อวี๋ซื่อหนาน เซวียจี้ เหยียนเจินชิง รวมไปถึงหลิ่วกงเฉวียน ล้วนเป็นยอดฝีมือด้านการเขียนตัวอักษรข่ายซู จุดเด่นของตัวอักษรข่ายซูสามารถอธิบายได้ด้วยคำสี่คำ
เที่ยงตรงประณีต
สงบนิ่งอ่อนโยน
นี่ไม่ใช่บทสรุปที่สมบูรณ์แบบ วิธีการเขียนข่ายซูนั้นต่างกันออกไป ทว่าวิธีการนี้งดงามที่สุด ดังนั้นหลินเยวียนจึงเลือกเขียนตัวอักษรนี้ หากมองโดยภาพรวม ลำพังความงดงามของตัวอักษรที่เขาเขียนก็มากเพียงพอแล้ว ทำให้เห็นได้ว่าฝึกฝนทักษะจนชำนาญ
“…”
จินมู่ซึ่งเห็นภาพในใจรู้สึกซับซ้อนเกินพรรณนา เพราะเขายิ่งรู้สึกว่าหัวหน้าแกล้งหลอกเขาหนักเหลือเกิน ฝีมือการเขียนตัวอักษรมืออาชีพถึงขนาดนี้ เป็นยอดฝีมือผู้ยิ่งใหญ่ท่ามกลางยอดฝีมือทั้งปวง ก่อนหน้านี้ดันแสร้งทำเป็นไก่อ่อนต่อหน้าผู้อ่าน แม้แต่ผู้จัดการอย่างตนก็ยังเคยถูกหลอก
หลังจากนั้น
จินมู่ไม่ได้ใส่ใจการกระทำของหลินเยวียน เพราะเขาเห็นว่าหลินเยวียนคล้ายกับกำลังเขียนบทกวี ไม่ใช่บทกวีที่เคยเขียนมาก่อนหน้านี้ หากแต่เป็นการสร้างสรรค์ขึ้นมาใหม่ วรรคแรกซึ่งถูกถ่ายทอดผ่านตัวอักษรข่ายซูคือ
‘ข้างเตียงจันทร์กระจ่าง’
แม้ว่าประโยคแรกจะไม่สามารถประเมินระดับของกลอนทั้งบทได้ ทว่าเมื่อพิจารณาถึงบทกวีทั้งหมดที่หัวหน้าเคยเขียนก่อนหน้านี้ จู่ๆ จินมู่ก็พลันรู้สึกคาดหวัง และท่ามกลางความคาดหวังของจินมู่ หลินเยวียนก็เขียนวรรคที่สอง
‘เผลอคิดว่าน้ำค้างบนพื้นดิน’
ดูเหมือนว่าจะเริ่มมีความหมายลึกซึ้งขึ้นแล้ว
หลินเยวียนเขียนวรรคที่สาม พลางเอ่ย “เมื่อกดพู่กัน เส้นจะหนาขึ้น และเมื่อยกพู่กันขึ้น เส้นจะบางลง เหมือนกับสองเท้าของคนเราเวลาเดิน ข้างหนึ่งวางลงและอีกข้างหนึ่งยกขึ้น สลับกันตลอด ในทำนองเดียวกัน พู่กันจะถูกยกและกดอยู่ตลอดเวลาในระหว่างกระบวนการเขียน และด้วยวิธีนี้ ถึงจะสามารถสร้างเส้นที่มีความหนาแตกต่างกันได้”
เอฟเฟ็กต์อาจารย์ถูกเปิดใช้งาน
หลินเยวียนเพียงแค่บรรยายออกมาโดยไม่รู้ตัว นี่เป็นความเคยชินจากการสอนประพันธ์เพลง ทว่าจินมู่กลับคิดตาม เห็นได้ชัดว่าเขาก็ได้รับอิทธิพลจากเอฟเฟ็กต์อาจารย์ แต่จินมู่กับหลินเยวียนกลับไม่ได้รับรู้ถึงความอัศจรรย์ของเรื่องนี้ เพราะชั่วขณะนั้นความสนใจของจินมู่ล้วนเทไปที่กลอนวรรคที่สามของหลินเยวียน
‘เงยหน้ามองจันทรา’
หัวหน้าจะเขียนวรรคที่สี่ว่ายังไง
ในตอนนั้น แสดงอาทิตย์ยามเย็นสีส้มระเรื่อส่องผ่านช่องหน้าต่าง กระทบลงบนกระดาษคุณภาพดี ตัวอักษรด้านหน้ายังไม่แห้งดี มือของหลินเยวียนจับพู่กันต้าข่ายสีดำ จุ่มลงบนน้ำหมึกยี่ห้อดัง ก่อนจะจรดพู่กันเขียนเส้นสุดท้ายเสร็จ
‘ก้มหน้าถวิลหาบ้านเกิด’
พู่กันประหนึ่งมังกรเคลื่อนไหว น้ำหมึกดั่งหมู่เมฆคล้อยและสายน้ำไหล จังหวะบิดและหมุน ยกขึ้นและลงระหว่างจรดปลายพู่กัน ชั่วขณะนั้นบทกวีทั้งบทก็ปรากฏแก่สายตาอันประหลาดใจของจินมู่ เขาถึงกับอดไม่ได้ อ่านออกเสียง ‘ข้างเตียงจันทร์กระจ่าง เผลอคิดว่าน้ำค้างบนพื้นดิน เงยหน้ามองจันทรา ก้มหน้าถวิลหาบ้านเกิด’
ช่างเป็นบทกลอนที่ดี
ทว่าคุณชายขอรับ
ยามนี้ท่านก็อยู่ที่บ้านเกิดมิใช่หรือ?
หลินเยวียนไม่พูดจา
คิดถึงบ้านเกิดควรคิดถึงที่ไหนนะ
ศิลปะอย่างกวีนิพนธ์นั้นไม่จำกัดยุคสมัย ถ้าถามว่าทำไมถึงเลือกบทกลอนอันแสนเรียบง่ายและตรงไปตรงมาอย่าง ‘ห้วงคำนึงในคืนสงัด’ หลินเยวียนเองก็บอกไม่ถูก บางทีนี่อาจเป็นการขบคิดกับตัวเองและปลดปล่อยความคิด ซึ่งถ่ายทอดจากจิตใต้สำนึกของคนที่ทะลุมิติมาก็ได้
เมื่อตั้งชื่อบทกลอนแล้ว
หลินเยวียนก็วางพู่กันในมือลงบนแทนวางพู่กันด้านข้าง หลินเยวียนรู้สึกว่าตนเขียนอักษรข่ายซูนี้ได้ไม่เลวเลย เป่าลมเบาๆ บนกระดาษ ก่อนจะบอกกับจินมู่ “อันนี้โพสต์ลงในเน็ตได้ครับ”
“เข้าใจแล้วครับ!”
จินมู่รู้สึกตื่นเต้น
เขาหันไปหยิบอุปกรณ์มา จากนั้นจึงหามุมถ่ายภาพ ในที่สุดก็นำภาพของบทกลอนห้วงคำนึงในคืนสงัดซึ่งถ่ายทอดความงามผ่านมุมต่างๆ มาให้หลินเยวียนตรวจสอบอีกครั้ง
“ใช้ได้แล้วครับ”
หลินเยวียนพึงพอใจมากทีเดียว
เพื่อที่จะเป็นผู้จัดการที่ดี ได้ยินว่าจินมู่ถึงกับไปเรียนทักษะการถ่ายภาพมา ถึงอย่างไรก็ถ่ายภาพออกมาได้ดีกว่าคนทั่วไป คลิปวิดีโอครั้งก่อนก็เป็นจินมู่ที่เอ่ยปากเสนอให้ถ่าย ผลลัพธ์ออกมาไม่เลวเช่นกัน
“งั้นผมอัปโหลดแล้วนะครับ”
จินมู่จัดแจงถ่ายภาพเสร็จก็ลังเลอยู่สักพัก จากนั้นก็มองไปยังบทกลอนห้วงคำนึงในคืนสงัดที่หลินเยวียนเขียนอีกครั้ง กล่าวอย่างยิ้มแย้ม “กลอนนี้หัวหน้าให้ผมเก็บได้ไหมครับ ผมชอบกลอนบทนี้มาก ต่อไปถ้าเกิดอับจนหนทางขึ้นมา จะได้เอาไปขายหาเงินซื้อข้าวกิน”
ประโยคสุดท้ายเป็นเพียงการหยอกล้อ
โลกภายนอกมีคนบอกว่าเซี่ยนอวี๋เปรียบเปรยตนเองเป็นถังปั๋วหู่ และในภาพยนตร์เรื่องถังปั๋วหู่ ใหญ่ไม่ต้องประกาศ จู้จือซานก็คือคนที่หาเลี้ยงชีพด้วยภาพเขียนพู่กันของถังปั๋วหู่ และจินมู่รู้ว่าทั้งเซี่ยนอวี๋และฉู่ขวงล้วนเป็นนามปากกาของหัวหน้า
หลินเยวียน “…”
เขาพยักหน้าเพื่อบอกว่าไม่มีปัญหา
และในตอนนี้ บทกลอนห้วงคำนึงในคืนสงัดซึ่งหลินเยวียนเขียนด้วยตัวอักษรข่ายซูก็ถูกโพสต์ลงบนปู้ลั่วของฉู่ขวง เป็นงานเขียนตัวอักษรด้วยพู่กัน ทั้งยังไม่ใช้ข่ายซูซึ่งทุกคนเห็นได้โดยทั่วไป นี่เป็นรูปแบบที่ถ่ายทอดระดับฝีมือในการเขียนตัวอักษรออกมาได้อย่างชัดเจนที่สุด!
เป็นข่ายซูที่งดงามเหลือเกิน!
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่งดงามกว่านั้น ก็คือบทกลอนห้วงคำนึงในคืนสงัด นี่คือหนึ่งในบทกวีที่มีชื่อเสียงที่สุดของหลี่ไป๋ แม้ว่าจะไม่ใช่ผลงานที่คลาสสิกที่สุด แต่กลับเป็นผลงานที่ซาบซึ้งใจมากที่สุด!
การเขียนตัวอักษรและบทกวี
ชาวเน็ตที่ผ่านไปมารวมไปถึงแฟนคลับต่างตะลึงไปเล็กน้อยเมื่อเห็นภาพนี้ หลังจากนั้นทุกคนก็ค่อยๆ ตั้งสติได้ ไม่นาน พื้นที่แสดงความคิดเห็นของฉู่ขวงก็แทบระเบิดดังที่คาดการณ์ไว้…
………………………………………………