เหนียงจื่อของคุณชายขี้โรค – ตอนที่ 495 รั่วเมิ่งปล่อยวาง เตาหนูปะทะกุ่ยซา (4)

ตอนที่ 495 รั่วเมิ่งปล่อยวาง เตาหนูปะทะกุ่ยซา (4)

บนภูเขา หลูเจิ้งหยางกำลังดึงพลังของตัวเองจำนวนหนึ่งหลอกล่อองครักษ์ลับที่เฝ้าอยู่บนเขาจากไปได้สำเร็จ ก็สวมหน้ากากผียืนอยู่บนยอดเขารออวิ๋นอิ๋น

นางส่งสัญญาณมา แสดงว่ามีเรื่องสำคัญจะรายงาน ดังนั้นเขาจึงได้มาหา

จะเป็นข่าวของป้ายไม้ดำหรือไม่

หลูเจิ้งหยางดีใจยิ่งนัก

เพียงไม่นานอวิ๋นอิ๋นก็ขึ้นมาถึง

และในชั่วขณะนั้นเอง หลูเจิ้งหยางที่เมื่อครู่ยังเย็นชาเหลือแสน ยามนี้กลับเปลี่ยนไปกลายเป็นคนดีอ่อนโยนดุจสายน้ำทันที!

“อวิ๋นอิ๋น ระหว่างขึ้นเขามาเหนื่อยหรือไม่”

อวิ๋นอิ๋นเหนื่อยนัก นางกลัวจะถูกใครเห็นเข้าจึงได้เดี๋ยวเร่งเดี๋ยวช้าขึ้นเขามาตลอดทาง ยามนี้จึงหอบแฮ่กๆ

แต่หลังจากได้ยินเสียงอ่อนโยนห่วงใยจากบุรุษคนนี้ก็พลันรู้สึกว่าทุกอย่างที่ตัวเองทำลงไปมันคุ้มค่าแล้ว

เพราะนางต้องการได้ดวงใจของบุรุษผู้นี้

อวิ๋นอิ๋นส่ายหน้าอย่างอ่อนโยน จากนั้นก็ถือโอกาสเข้าใกล้บุรุษคนนี้ทั้งตัว

“ไม่เหนื่อยเจ้าค่ะ…”

ในความมืดมิดนั้นอวิ๋นอิ๋นกลับไม่เห็น ชั่วขณะที่กายนางเข้าใกล้บุรุษคนนั้น ร่างเขาพลันแข็งทื่อ มุมปากเม้มแน่นเผยความรังเกียจออกมาเล็กๆ

“เช่นนั้นก็ดีแล้วล่ะ ต่อไปนี้มีเรื่องอะไรก็อย่าได้รีบร้อนเช่นนี้นะ เจ้าเหนื่อยขึ้นมาข้าปวดใจนัก”

หน้ากากเย็นเยียบแนบหน้าผากของอวิ๋นอิ๋น แม้ว่าหน้ากากจะเย็นเยียบดุจน้ำแข็ง แต่อวิ๋นอิ๋นกลับรู้ดีว่าริมฝีปากของชายคนนี้กำลังจุมพิตหน้าผากนางอยู่

อวิ๋นอิ๋นเลือดลมพลุ่งพล่าน พร่ำเพ้อขึ้นมาว่า “เพื่อท่านแล้ว ไม่ว่าเรื่องใดก็ไม่เหนื่อยทั้งสิ้น”

ความรักทำให้คนตาบอดและสมองเลอะเลือนได้จริงๆ อวิ๋นอิ๋นที่ฉลาดกับทุกเรื่องกลับตกลงสู่แหกับดักจอมปลอมที่บุรุษผู้นี้โยนมาให้อย่างไม่อาจถอนตัวได้

หลูเจิ้งหยางเก็บงำความรังเกียจในแววตา แล้วถามว่า “เจ้าเรียกข้าให้มาหาวันนี้มีธุระใดรึ”

อวิ๋นอิ๋นนึกถึงเรี่องสำคัญก็รีบปล่อยความรู้สึกในใจเอาไว้ก่อน แล้วรีบเล่าเรื่องที่นางเห็นในวันนี้ให้หลูเจิ้งหยางฟัง รวมถึงเรื่องที่นางแอบใส่ใจอยู่ข้างๆ ยามทูตซีจิ้งมาพบมั่วเชียนเสวี่ยด้วย

หลูเจิ้งหยางชะงัก คิดไม่ถึงว่าซีจิ้งจะปกป้องมั่วเชียนเสวี่ยเพียงนี้ เข้าเมืองหลวงมาแล้วกลับไม่ได้เข้าเฝ้าฮ่องเต้ทันที แต่ไปพบมั่วเชียนเสวี่ยก่อน

ดูท่าแล้วจะดูถูกอานุภาพของป้ายไม้ดำนี้ไม่ได้เสียแล้ว

อวิ๋นอิ๋นเล่าจบก็เห็นหลูเจิ้งหยางกำลังก้มหน้าครุ่นคิดอยู่พอดี

บนหน้ากากผีดำทะมึนไปหมดตัดกับความขาวบนลำคอ ช่างทิ่มแทงสายตาของอวิ๋นอิ๋น

จู่ๆ อวิ๋นอิ๋นก็รู้สึกว่าบุรุษคนนี้ดึงดูดใจยิ่งนัก

ครู่ต่อมาหลูเจิ้งหยางก็เงยหน้าขึ้นมาพยักหน้าอย่างเข้าใจ

“เรื่องนี้ข้าทราบแล้ว ข้าจะให้คนไปจัดการ และจะทำให้เรื่องนี้ใหญ่โตขึ้นให้ถึงที่สุด!”

เมื่ออวิ๋นอิ๋นเห็นหลูเจิ้งหยางเอ่ยประโยคนี้ขึ้น สีหน้าเขาเคียดแค้นจนขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน จึงเกิดความประหลาดใจขึ้นมาเล็กๆ

ไม่เข้าใจว่าเหตุใดคุณชายจึงได้เกลียดชาวซีจิ้งเช่นนี้ ให้นางหาป้ายไม้ดำก็เหมือนกัน เคียดแค้นเสียจนขบเขี้ยวเคี้ยวฟันไปหมด

ตอนนี้ก็เหมือนกัน

ราวกับ…ราวกับว่าเทียนฉีเกิดเรื่องโกลาหลขึ้นจึงจะสามารถชำระล้างความแค้นในใจเขาไปได้

“หากไม่มีอะไรแล้วข้าขอตัวก่อน องครักษ์ลับในบ้านไร่นี้มีมากยิ่งนัก เมื่อครู่ข้าก็ใช้คนจำนวนหนึ่งหลอกล่อให้ออกจากยอดเขาไป ภายหน้ามีเรื่องอะไรเจ้าค่อยมารายงานข้า”

แม้ว่าจะผิดหวังอยู่บ้าง แต่อวิ๋นอิ๋นก็ไม่ใช่คนที่ไร้เหตุไร้ผล แม้จะอาลัยอาวรณ์แต่ก็จำต้องปล่อยหลูเจิ้งหยางอย่างรู้ความ

“เช่นนั้น…คุณชายก็ต้องดูแลตัวเองด้วย ทางอวิ๋นอิ๋นมีข่าวอะไรจะรีบบอกคุณชายทันทีเจ้าค่ะ”

“อืม”

หลูเจิ้งเหยาพยักหน้า ราวกับว่าความอ่อนโยนชั่วขณะเมื่อครู่เป็นเพียงแค่ภาพลวงตา หายลับไปในกลีบเมฆ

ไร้ซึ่งความอาลัยอาวรณ์แม้แต่น้อย หันหลังใช้วิชาตัวเบาออกจากยอดเขาไปทันที

อวิ๋นอิ๋นมองหลูเจิ้งหยางจากไปอย่างลุ่มหลง สุดท้ายจำต้องทอดถอนใจอย่างจนใจแล้วเดินกลับมา

ในขณะเดียวกัน ณ จวนตระกูลหนิง ไฟในห้องหนังสือของหนิงเซ่าชิงกลับสว่างไสวในยามนี้

ยามนี้กุ่ยซากลับไม่อยู่คุ้มกันมั่วเชียนเสวี่ยที่บ้านไร่ แต่มายืนอยู่ตรงหน้าหนิงเซ่าชิงแทน เพื่อรายงานเรื่องที่เกิดขึ้นคืนนี้ให้เจ้านายเขาฟัง

ไม่เว้นแม้แต่รายละเอียดเล็กๆ

หนิงเซ่าชิงได้ยินกุ่ยซาเล่าจบก็หรี่ตาลงเล็กน้อย คล้ายว่าไม่อยากจะเชื่อ

“ครานี้เห็นชัดเจนแล้วรึ”

“ขอรับ! ข้าน้อยไม่กล้าเข้าไปใกล้เกินไป กลัวว่าจะถูกเห็นเข้า จึงจำต้องมองจากที่ไกลๆ แม้จะได้ยินเสียงเขาไม่ชัด แต่ท่าทีของเขา กิริยาท่าทางของเขาล้วนเหมือนหลูเจิ้งหยางทุกประการ อีกทั้งกระบวนท่าตอนจากไปของคนผู้นั้นยังเป็นวิชาตัวเบาย่ำหิมะไร้รอยด้วย เกิดจากกำลังภายในอันบริสุทธิ์ของหลูเจิ้งหยางแน่แท้ นับว่าปราดเปรียวว่องไว ดังนั้นข้าน้อยจึงคิดว่าบุรุษหน้ากากผีลึกลับผู้นี้ต้องเป็นหลูเจิ้งหยางแน่นอน!”

กุ่ยซาเอ่ยจบก็ยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นเงียบๆ

ตอนที่หัวหน้าตระกูลยังไม่ได้สืบทอดกิจการขนาดใหญ่ประจำตระกูล ยังออกไปเที่ยวเล่นหาประสบการณ์อยู่ก็เคยผูกมิตรเป็นสหายกันกับหลูเจิ้งหยางที่ตอนนั้นยังหนุ่มไม่เป็นโล้เป็นพาย อีกทั้งทั้งสองเจอกันครั้งแรกก็รู้สึกสนิทเหมือนเป็นเพื่อนเก่า เรียกขานกันว่าพี่ว่าน้องด้วย

พวกเขาต่างรู้ดี

ซ้ำพวกเขายังเคยร่วมมือกันทำงานกับหลูเจิ้งหยางด้วยซ้ำ

หัวหน้าตระกูลเป็นคนหนึ่งที่ให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์มาก ยามนี้จู่ๆ มาได้ยินว่าพี่น้องที่เขาภูมิใจในอดีตกลับกลายมาเป็นคนร้ายที่ใช้ดาบแทงข้างหลังกัน จะรับไม่ได้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก

อันที่จริงหนิงเซ่าชิงก็ไม่ใช่ว่าจะรับไม่ได้ไปเสียทีเดียว

อย่างไรเสียแรกๆ เชียนเสวี่ยก็เอ่ยถึงหลูเจิ้งหยางที่ผิดปกติไปแล้ว

ตั้งแต่นั้นมาเขาก็ระวังมากขึ้น และเตรียมป้องกันมากขึ้นด้วย

แต่มีอยู่เรื่องหนึ่งที่แม้แต่เชียนเสวี่ยเขาก็ยังไม่ได้บอก

นั่นก็คือในใจเขาหวังไว้มากว่าหลูเจิ้งหยางจะเป็นผู้บริสุทธิ์

เรื่องราวทั้งหมดล้วนไม่เกี่ยวข้องใดๆ กับเขาทั้งสิ้น

ดังนั้นเขาจึงให้กุ่ยซาไปยืนยันตัวตนของหน้ากากผีอีกครั้งว่าใช่หลูเจิ้งหยางหรือไม่

ความจริงทุกอย่างปรากฏตรงหน้า ยามนี้ดูท่าแล้วเห็นได้ชัดเลยว่าหลูเจิ้งหยางกำลังทำให้เขาผิดหวังเสียแล้ว…

“ออกไปเถิด”

มืดค่ำเพียงนี้แล้ว เขาก็ไม่สะดวกจะทรมานพวกกุ่ยซาให้วิ่งไปนั่นมานี่ แต่ยามนี้คนที่เฝ้าบ้านไร่แทนกุ่ยซาก็คือเตาหนู

แม้ว่าหนิงเซ่าชิงจะบอกให้เขากลับไปพักผ่อน ไม่ต้องกลับไปกลับมา

แต่กุ่ยซาก็ยังคงตรงกลับไปที่บ้านไร่โดยไม่สนความลำบากอยู่ดี

ถ้อยคำที่คุณหนูใหญ่มั่วเคยพูดไว้เมื่อคราก่อนเขายังจำได้จนถึงวันนี้

หากเตาหนูก็ชอบชูอีเหมือนกันกับเขาจริงๆ เขาจะกล้าให้เตาหนูรั้งอยู่ในเรือนเสวี่ยหว่านของบ้านไร่ได้อย่างไร

นั่นมันเรียกหมาป่าเข้าห้องชัดๆ เลยมิใช่หรือ

เรื่องโง่ๆ เช่นนี้เขาไม่มีทางทำหรอก

ยามนี้คนที่เข้าเวรกลางคืนคือสืออู่ เตาหนูในยามนี้กำลังอยู่ในที่มืดมองสืออู่ที่เหม่อลอย จู่ๆ ก็โดนตบหลังกะทันหันเข้า!

เหนียงจื่อของคุณชายขี้โรค

เหนียงจื่อของคุณชายขี้โรค

Status: Ongoing

เพราะสำลักน้ำชาจนขาดอากาศ(?)ทำให้ มั่วเชียนเสวี่ย สาวมั่นหัวการค้าทะลุมิติมาอยู่ในโลกยุคโบราณและในร่างของคนอื่น

แต่นั่นยังไม่น่าตระหนกเท่าการที่ร่างนี้กำลังจะแต่งงานเพื่อแก้เคล็ดให้กับชายหนุ่มที่ป่วยร่อแร่เต็มที!

ในโลกที่หากขาดที่พึ่งผู้หญิงก็สามารถถูกขายเป็นทาสได้ตลอดเวลาสามีคนนี้ของนางนับว่าเป็นตัวเลือกที่ไม่เลวเลยทีเดียว

ทั้งมีความรู้ สุภาพและไม่ใช้กำลังแถมหน้าตายังหล่อเหลาอีกด้วย เสียตรงร่างกายอ่อนแอไปหน่อยเท่านั้น

ชีวิตครอบครัวชนบทแสนยากจนของนางจึงเริ่มขึ้นที่ตรงนั้น… แต่อย่างไรนางไม่ยอมงอมืองอเท้ารับชะตากรรมแบบนี้แน่

ในเมื่อนางมีความรู้ความสามารถยังต้องกลัวสร้างกิจการไม่ได้อีกหรือ?!

เส้นทางร่ำรวยสายนี้นางจะบุกเบิกมันขึ้นมาด้วยตนเอง! และหวังว่าทุกอย่างจะราบรื่นด้วยดี

เพราะเหมือน ‘ร่างนี้’ ของนางกับฐานะเดิมของสามีเหมือนจะไม่ค่อยธรรมดาเสียด้วยสิ…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท