ตอนที่ 510 ถ่ายโฆษณาฟรี
ถ้าผู้กำกับหวงไม่ได้พูดถึงพ่อแม่ของเธอ หลินม่ายคงลืมชื่อซุนกุ้ยเซียงกับหลินเจี้ยนกั๋วพ่อแม่ผู้น่ารังเกียจของเธอไปนานแล้ว
แต่ถึงชื่อจะปรากฏขึ้นในสมอง เธอก็จำได้แค่สามวินาทีเท่านั้น แล้วลืมเรื่องเกี่ยวกับครอบครัวไป
เธอกะพริบตาปริบ ๆ “ฉันไม่ได้จ่ายเงินซื้อเสื้อผ้าและเครื่องประดับทั้งหมดนี้แต่อย่างใดเลยค่ะ พวกมันเป็นสินค้าที่ผลิตจากโรงงานของฉันเอง ดังนั้นฉันจึงไม่จำเป็นต้องแจ้งให้คุณพ่อคุณแม่ทราบ”
ทุกคนตกตะลึงพร้อม ๆ กัน
หลังจากนั้นไม่นาน ผู้กำกับหวงก็ดึงสติกลับมา แล้วถามอย่างไม่เชื่อหูถึงสามคำถามติด “คุณว่ายังไงนะ? เสื้อผ้าและเครื่องประดับพวกนี้ผลิตจากโรงงานของคุณงั้นเหรอ? คุณคงเป็นพนักงานระดับสูงของโรงงานที่ว่าสินะ?”
นับตั้งแต่มีการปฏิรูปประเทศและอนุญาตให้คนทั่วไปสามารถเปิดกิจการได้ก็เป็นเวลาแค่สองปีเท่านั้น ปัจจุบันมีโรงงานเอกชนเพียงไม่กี่แห่ง
ผู้กำกับหวงจึงไม่คิดว่าหลินม่ายจะเป็นเจ้าของโรงงานดังกล่าวเสียเอง ไพล่คิดไปว่าเธอคงเป็นหัวหน้าฝ่ายปฏิบัติงานรายใหญ่ของโรงงานตัดเสื้อผ้าของรัฐ ไม่ใช่พนักงานฝ่ายผลิตทั่วไป
ไม่อย่างนั้นคงเป็นไปไม่ได้ที่เธอจะมีอำนาจใหญ่โตขนาดนี้ โดยเฉพาะการตัดสินใจมอบเสื้อผ้าและเครื่องประดับมูลค่าหลายพันหยวน เพื่อสนับสนุนทางกองถ่ายอย่างกะทันหัน
ถือเป็นเรื่องที่น่าตกใจมากเมื่อได้เห็นว่าเธอไต่เต้าขึ้นเป็นพนักงานระดับสูงตั้งแต่อายุยังน้อย!
หลินม่ายยิ้ม “ฉันไม่ได้เป็นพนักงานระดับสูงหรอกค่ะ แต่ฉัน…”
เธอสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะแนะนำตัวอย่างเป็นทางการ “ฉันชื่อหลินม่าย เป็นผู้อำนวยการของโรงงานตัดเสื้อUnique เสื้อผ้าทั้งหมดที่ฉันให้การสนับสนุนพวกคุณ ซึ่งผู้กำกับหวงเพิ่งจะให้การยอมรับไปเมื่อกี้นี้ ก็ผลิตโดยโรงงานUniqueของฉันเช่นกันค่ะ”
คราวนี้ทุกคนถึงกับตะลึงลาน สาวน้อยคนนี้เป็นถึงผู้อำนวยการโรงงานเชียวหรือนี่!
ใครคนหนึ่งอดไม่ได้ที่จะถามด้วยความสงสัยใคร่รู้ “คุณอายุเท่าไหร่แล้ว ก้าวขึ้นมาเป็นผู้อำนวยการโรงงานได้ยังไง?”
จนถึงตอนนี้ ทุกคนยังคิดว่าเธอทำงานให้กับโรงงานของรัฐอยู่เลย
ถ้าเป็นหน่วยงานของรัฐ การจะก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งใหญ่ ๆ ในหน่วยงานล้วนขึ้นอยู่กับความอาวุโสเป็นหลัก
เป็นเรื่องเกินจริงไปหน่อยหากเด็กสาวอายุน้อยคนนี้สามารถดำรงตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการโรงงานตัดเสื้อของรัฐได้ คงไม่พ้นมีภูมิหลังที่แข็งแกร่งแน่นอน
หลินม่ายส่งยิ้มให้คนถามอีกครั้ง “สำหรับธุรกิจเอกชนแล้ว อายุไม่ใช่เงื่อนไขค่ะ”
ท้ายที่สุดทุกคนถึงรู้ว่าเธอไม่ได้เป็นผู้อำนวยการโรงงานตัดเสื้อของรัฐ
ด้วยความที่เธออายุยังน้อย การเปิดโรงงานตัดเสื้อเป็นของตัวเองก็นับว่าเป็นอะไรที่น่าทึ่งมากไม่แพ้กัน
ทุกคนต่างมองไปที่หลินม่ายด้วยความชื่นชม
โดยเฉพาะบรรดาทีมงานอาวุโสในกองถ่ายที่มีลูก ๆ อายุไล่เลี่ยกันกับหลินม่าย พวกเขารู้สึกไม่สบายใจในทุกวิถีทาง
ทำไมลูกสาวของคนอื่นถึงมีความสามารถโดดเด่นขนาดนี้ ในขณะที่ลูกของพวกเขากลับธรรมดายิ่งกว่าอะไรดี?
หลินม่ายไม่รู้ตัวเลยว่าตัวเองกลายเป็นลูกสาวของคนอื่นไปซะแล้ว
ถึงผู้กำกับหวงจะดูเป็นคนมีอายุไปสักหน่อย แต่ความจำของเขายังดีเยี่ยม
พอได้ยินคำว่าUnique เขาก็จดจำอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ทันที
เขาจ้องมองไปที่หลินม่ายด้วยดวงตาที่เบิกกว้างเท่าไข่ห่าน พูดด้วยความประหลาดใจ “คุณคือผู้อำนวยการโรงงานหลินที่โทรหาผมเมื่อวันก่อน เพื่อติดต่อขอให้จางอวี้ไปถ่ายทำโฆษณาให้คุณใช่ไหม?”
หลินม่ายโล่งใจไปอีกเปลาะหนึ่ง ในที่สุดหัวข้อการสนทนาก็เบี่ยงกลับไปที่การถ่ายทำโฆษณาสักที
เธอไม่จำเป็นต้องเค้นสมองเพื่อสรรหาคำมาเจรจาอีกต่อไป ตอบกลับด้วยรอยยิ้ม “ใช่แล้วค่ะ ผู้กำกับหวงยินดีอนุญาตให้คุณจางมาถ่ายโฆษณาให้ฉันไหมคะ?”
ก่อนหน้านี้เขาปฏิเสธเธอทันควัน แต่ตอนนี้ถ้าเขาตอบตกลงทันที จะถือเป็นการเสียหน้าหรือไม่?
ผู้กำกับหวงทำเป็นไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะถามว่า “เนื้อหาในโฆษณาของคุณซับซ้อนมากไหม? ถ้าไม่ซับซ้อนจนเกินไป เดี๋ยวผมถ่ายทำให้ภายในคืนนี้เลยก็ได้ แต่ถ้าบทยากหลายขั้นตอน คงต้องรอจนกว่าพวกเราจะถ่ายทำภาพยนตร์กันเสร็จก่อน คุณรอไหวหรือเปล่าล่ะ?”
พอพูดออกไปแล้วผู้กำกับหวงก็ชื่นชมทักษะของตัวเองอย่างลับ ๆ ในใจนับครั้งไม่ถ้วน
คำพูดไม่กี่ประโยคเหล่านี้ดูมีชั้นเชิงมากทีเดียว เขาค้นพบทางลงสำหรับตัวเองอย่างสมบูรณ์แบบ
เธอจะได้คิดไปว่า เหตุผลที่เขาปฏิเสธเธอก่อนหน้านี้ เป็นเพราะกลัวว่าคุณภาพของโฆษณาอาจออกมาไม่ดี
แต่ตราบใดที่โฆษณาของเธอมีเนื้อหาเรียบง่าย เขาก็พร้อมจะถ่ายให้อย่างไม่รอช้า นอกจากนี้ยังถือเป็นการตอบแทนน้ำใจของหลินม่ายที่ให้การสนับสนุนทีมงานของพวกเขา
หลินม่ายรีบตอบกลับ “ไม่ซับซ้อนค่ะ ไม่ซับซ้อนเลย!”
จากนั้นเธอก็อธิบายให้ผู้กำกับฟังเกี่ยวกับคอนเซปต์โฆษณาของตัวเอง
จากคำขอของเธอ ผู้กำกับสั่งให้ฝ่ายเขียนบทจัดการเขียนบทอย่างคร่าว ๆ แล้วสั่งให้ฝ่ายฉากจัดเตรียมสตูดิโอแบบเรียบง่าย
หลังจากผ่านไปหนึ่งชั่วโมง ทุกอย่างก็พร้อมสรรพ
ผู้กำกับหวงลงมือกำกับการถ่ายโฆษณาเอง ใช้เวลาเกือบสองชั่วโมงในการถ่ายทำ
ไม่ใช่เพราะจางอวี้ไม่รู้หลักการถ่ายทำโฆษณา จนทำให้เกิดสถานการณ์ที่ล่าช้าเนื่องจากต้องถ่ายแก้
ตรงกันข้าม หล่อนเป็นนักแสดงที่มีจิตวิญญาณในวิชาชีพสูงมาก
ถึงแม้หล่อนจะไม่เคยถ่ายโฆษณามาก่อนก็จริง แต่เมื่อได้ถ่ายงานแบบนี้ กลับสอบผ่านทุกเทค
ความล่าช้าเดียวที่เกิดขึ้นเป็นเพราะการเปลี่ยนเสื้อผ้า รวมถึงการเปลี่ยนเครื่องประดับต่าง ๆ นั้นค่อนข้างเสียเวลา
กว่าจะถ่ายโฆษณาเสร็จสิ้นก็เป็นเวลาห้าทุ่มพอดี
หลินม่ายพาทุกคนไปรับประทานมื้อดึกแสนอร่อย ก่อนจะแยกย้ายกลับไปนอนพักผ่อน
ไม่นานหลังจากเอนตัวลงนอน เธอก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ว่ายังไม่ได้โทรไปรายงานฟางจั๋วหรานถึงความปลอดภัยของตัวเอง
ดังนั้นจึงรีบลุกขึ้นจากเตียง หยิบโทรศัพท์ข้างเตียงขึ้นมาตั้งท่าจะกดโทรออก
แต่แล้วเธอกลับหยุดชะงักหลังจากใช้นิ้วจิ้มหมายเลขบนแป้นโทรศัพท์
ตอนนี้เป็นเวลาเที่ยงคืนแล้ว ถ้าโทรหาฟางจั๋วหรานตอนนี้ จะเป็นการรบกวนการนอนหลับของเขาหรือไม่?
หลินม่ายชั่งใจอยู่พักหนึ่ง แต่สุดท้ายก็ยังเลือกที่จะโทรหาฟางจั๋วหรานอยู่ดี
เธอเชื่อว่าฟางจั๋วหรานไม่มีทางนอนหลับสนิทตราบใดที่เขายังไม่ได้รับสายจากเธอ
เสียงสัญญาณดังขึ้นเพียงครั้งเดียวเท่านั้นก่อนจะเชื่อมต่อปลายสายได้ ก่อนเสียงอันไพเราะของฟางจั๋วหรานที่เหมือนเสียงของนักจัดรายการวิทยุตอนเที่ยงคืนจะดังมาจากโทรศัพท์
ทั้งสองพูดคุยกันสองสามคำ จากนั้นการโทรก็สิ้นสุดลง
ตอนนี้ดึกมากแล้ว ต่างฝ่ายต่างไม่อยากเข้านอนดึกจนเกินไป
ตอนที่กินอาหารมื้อดึกร่วมกันเมื่อคืนนี้ หลินม่ายถามผู้กำกับหวงว่าทีมงานของเขาจะออกไปยังสถานที่ถ่ายทำในวันพรุ่งนี้ประมาณกี่โมง
ผู้กำกับหวงตอบว่าประมาณเก้าโมงเช้า
เช้าวันรุ่งขึ้น หลินม่ายตื่นนอนตั้งแต่เจ็ดโมงตรง เสนอเลี้ยงทีมงานด้วยอาหารเช้าแสนอร่อยเช่นเคย
เนื่องจากมีงานออกกองรออยู่ ทุกคนจึงกินกันเร็วมาก แต่ละคนกินอาหารเช้าเสร็จภายในเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมง
หลินม่ายหยิบเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์ดูแลผิวออกมาแล้วมอบให้กับจางอวี้
จางอวี้รับมันไว้ด้วยความยินดี ตอบกลับด้วยความเขินอายว่า “ฉันไม่มีของขวัญอะไรจะมอบคืนให้คุณเลย”
ดาราในเวลานี้ยังคงมีความคิดอ่านที่ไร้เดียงสา พวกเธอคำนึงถึงความเอื้อเฟื้อซึ่งกันและกันกับอีกฝ่ายเสมอ
หลินม่ายยิ้มพลางพูดว่า “ถ้าคุณจางจะกรุณาถ่ายรูปกับฉันสักรูปหนึ่ง นั่นถือเป็นของขวัญที่ดีที่สุดแล้วค่ะ”
เธอไม่ใช่คนคลั่งไคล้ดารา ที่บอกไปแบบนั้นก็เพราะไม่อยากให้จางอวี้รู้สึกว่าตัวเองเป็นหนี้บุญคุณเธอ
จางอวี้ยินดีเป็นอย่างยิ่ง หันไปเรียกช่างภาพคนหนึ่งจากทีมงาน ให้ช่วยถ่ายภาพคู่ของพวกเธอเป็นจำนวนหลายรูปในคราวเดียว
ผู้กำกับหวงส่งวิดีโอเทปให้หลินม่าย บอกเธอว่าสิ่งที่อยู่ภายในวิดีโอเทปนั้นคือวิดีโอโฆษณาสำหรับเธอ
หลินม่ายประหลาดใจ “พวกคุณทำงานกันเร็วขนาดนี้เชียวเหรอคะ?”
ผู้กำกับหวงตอบกลับสั้น “ขั้นตอนสุดท้ายเป็นแค่การตัดต่อและประมวลผลเท่านั้นเอง ต้องใช้เวลานานแค่ไหนกันเชียว? ไม่เกินหนึ่งชั่วโมงงานก็เสร็จแล้ว”
หลินม่ายปลีกตัวไปที่ห้องของฝ่ายตัดต่ออย่างกะทันหันเพื่อลองเล่นวิดีโอเทปนั้นดู
เพราะเป็นวิดีโอโฆษณาที่ถ่ายทำโดยมืออาชีพ นอกจากสวยงามแล้ว ยังมีความหรูหราระดับไฮเอนด์
โฆษณาดังกล่าวยาวแค่สามนาที แต่จางอวี้เปลี่ยนชุดและเครื่องประดับไปมากกว่าสิบแบบ
เสื้อผ้าทุกชุดเมื่ออยู่บนเรือนร่างของหล่อนแล้วยิ่งดูสวยสะดุดตา กระตุ้นความต้องการซื้อของผู้คนได้เป็นอย่างดี
อีกทั้งการจัดท่าโพสต์เพื่อนำเสนอเครื่องประดับแต่ละชิ้นยังนำสายตาผู้ชมได้ดี
ในช่วงท้ายของโฆษณา โลโก้ของแบรนด์Uniqueค่อย ๆ โผล่ออกมาจากกลุ่มเมฆสีชมพู
จากนั้น เสียงพากย์ก็ดังขึ้นเป็นสโลแกนโฆษณาของUniqueความว่า “ เสื้อผ้าUnique แฟชั่นที่คุณคู่ควร”
หลินม่ายพอใจมาก เธอขอบคุณผู้กำกับหวงครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่ลืมถามว่าเขาคิดค่าถ่ายทำโฆษณาเท่าไร
ผู้กำกับหวงตอบอย่างตรงไปตรงมา “ไม่ต้องขอบคุณหรอก ขอแค่คุณพอใจก็เพียงพอแล้ว คุณเองก็ช่วยพวกเราเอาไว้มากทีเดียว ส่วนค่าถ่ายทำค่าโฆษณานั่นไม่สำคัญเลย แค่เรื่องเล็กน้อย อย่าเก็บมาใส่ใจ”
หลินม่ายรู้สึกเกินคาดมาก อยู่ดี ๆ เธอก็สามารถประหยัดเงินค่าถ่ายทำโฆษณาจำนวนมากได้ง่าย ๆ แบบนี้เนี่ยนะ?!
ไม่อยากจะเชื่อเลย!
ผู้กำกับหวงพูดต่อ “พวกเสื้อผ้าและเครื่องประดับที่คุณให้การสนับสนุน หลังถ่ายทำเสร็จเมื่อไหร่ ผมจะมอบหมายให้คนเอาไปส่งคืนถึงที่โรงงานของคุณทันที”
หลินม่ายโบกมือ “อย่าลำบากเลยค่ะ เอาเสื้อผ้าและเครื่องประดับทั้งหมดให้คุณจางเถอะ”
ที่จริงก่อนหน้านี้หลินม่ายก็เคยเปรยถึงเรื่องนี้ไว้เหมือนกัน แต่ไม่มีใครคิดจริงจังกับคำพูดของเธอเลย แม้กระทั่งจางอวี้เองก็ตาม
ถึงอย่างไรเสื้อผ้ากับเครื่องประดับพวกนั้นก็มีมูลค่ารวมกันถึงหลายพันหยวน
ใครจะไปคิดว่าหลินม่ายจะใจกว้างถึงขนาดนี้ ถึงกับส่งมอบเสื้อผ้าและเครื่องประดับทั้งหมดที่มูลค่าไม่ใช่น้อย ๆ ให้หล่อนฟรี ๆ
จางอวี้รู้สึกเหมือนกับตัวเองกำลังฝันไปอีกครั้ง
เนื่องจากอยู่ในอารมณ์ตื่นเต้น คำพูดคำจาจึงติด ๆ ขัด ๆ “ฉัน… ฉันสามารถตอบแทนคุณยังไงได้บ้างคะ?”
หลินม่ายยิ้มพร้อมพูดว่า “ถ้าคุณจางต้องการตอบแทนฉันจริง ๆ รบกวนบอกผู้กำกับให้หน่อยสิคะ ให้เขาช่วยเพิ่มประโยคที่ว่า ‘เครื่องแต่งกายที่ใช้ในภาพยนตร์เรื่องนี้ ตัดเย็บโดย บริษัท Unique Clothing จำกัด’ และ เครื่องประดับที่ใช้ในภาพยนตร์เรื่องนี้ จัดทำโดย ไป๋เหอ จิวเวลรี่ ในตอนท้ายของภาพยนตร์ เท่านั้นก็เพียงพอแล้วค่ะ”
ผู้กำกับหวงที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ทำมือเป็นสัญลักษณ์ OK ให้เธอ “ไม่มีปัญหาครับ”
หลินม่ายขอบคุณพวกเขาอีกหลายครั้ง
เพียงแต่ครั้งนี้ไม่ได้ขอบคุณด้วยวาจาแค่อย่างเดียว แต่เธอยังบริจาคเงินจำนวนหนึ่งหมื่นหยวนให้ทีมงานอีกด้วย ซึ่งทำให้ผู้กำกับหวงตกใจมาก
ก่อนหน้านี้ไม่เคยมีกองถ่ายไหนเลยที่ได้รับค่าสปอนเซอร์จากบริษัทเอกชน การสนับสนุนของหลินม่ายถือเป็นธรรมเนียมบุกเบิกเลยก็ว่าได้
กลับกลายเป็นผู้กำกับหวงที่ต้องเป็นฝ่ายขอบคุณเสียเอง
เมื่อมีเงินหนึ่งหมื่นหยวนนี้อยู่ในมือ งบประมาณของทางกองถ่ายก็จะไม่อยู่ในสภาพจำกัดจำเขี่ยอีกต่อไป แถมยังช่วยส่งเสริมให้ภาพยนตร์ที่ผลิตออกมามีการใช้เทคนิคที่ซับซ้อนมากขึ้น
ผู้กำกับหวงได้รับค่าสปอนเซอร์ก็มีความสุขมาก ด้านหลินม่ายเองก็มีความสุขยิ่งกว่า
เธอเตรียมการไว้ก่อนจะเดินทางมาที่นี่แล้ว ตั้งใจว่าจะจ่ายเงินให้จางอวี้สามหมื่นหยวนสำหรับการถ่ายทำโฆษณาในครั้งนี้
ถึงยุคสมัยนี้จีนแผ่นดินใหญ่จะมีการออกอากาศโฆษณาบ้างประปราย แต่ยังไม่มีโฆษณาตัวไหนที่ใช้นักแสดงภายในประเทศเป็นพรีเซนเตอร์
เศรษฐกิจโดยรวมของจีนแผ่นดินใหญ่ยังล้าหลังอยู่ก็จริง แต่ถ้าใจป้ำอยากจ้างดารามาถ่ายโฆษณา อย่างน้อยต้องมีเงินในมือไม่ต่ำกว่าสามหมื่นหยวน
ไม่คาดคิดว่าผู้กำกับหวงจะปฏิเสธไม่รับค่าจ้าง ทั้งยังยินดีถ่ายทำโฆษณาให้เธอฟรี ๆ เธอคงรู้สึกไม่สบายใจแน่ถ้าไม่มอบเงินค่าสปอนเซอร์ให้พวกเขาสักหนึ่งหมื่นหยวน
ไม่ควรเอาเปรียบผู้อื่นโดยการตักตวงผลประโยชน์แต่เพียงฝ่ายเดียว
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
เหนือความคาดหมายมาก ประหยัดไปสองหมื่นหยวนโดยไม่คาดคิดเลย
ไหหม่า(海馬)