บทกวี ‘ห้วงคำนึงในคืนสงัด’ ไม่ใช่ผลงานที่เรียบง่ายหรือเลิศหรูเกินไป นี่เป็นผลงานที่หลี่ไป๋ถ่ายทอดไปตามความรู้สึก
เช่นเดียวกับที่โจวเจี๋ยหลุนร้องเพลง ‘ลูกโป่งสารภาพรัก’ นั่นล่ะ
หากจะประเมินบทกวีของหลี่ไป๋จริงๆ ควรเลือกผลงานเด่นชิ้นอื่นๆ มากกว่า
ตัวอย่างเช่น ‘เชิญร่ำสุรา’
หรือ ‘หนทางสู่แคว้นฉู่’
หรือ ‘ทางช้างเผือกจากสรวงสวรรค์[1]’ ที่ใครๆ ก็รู้จักอะไรทำนองนั้น
จะไม่ขอยกทีละตัวอย่าง
เพราะบทกวีที่ยอดเยี่ยมของหลี่ไป๋นั้นมีมากมายเหลือเกิน มิหนำซ้ำผลงานบางชิ้นอ่านเพียงครั้งเดียวก็ชวนให้ตกตะลึงได้แล้ว
ไม่อย่างนั้นหลี่ไป๋คงไม่ได้รับสมญานามว่า ‘เซียนแห่งกวี’ หรอก
แน่นอนว่าที่นี่ก็มีหลี่ไป๋ เพียงแต่ผลงานของหลี่ไป๋คนนี้กับหลี่ไป๋บนโลกนั้นไม่เหมือนกัน
ในความจริงแล้ว ฉู่ขวงได้แสดงฝีมือด้านการเขียนตัวอักษรและบทกวี ผลกระทบที่สำคัญที่สุดเห็นจะเป็นการทำให้โลกภายนอกเห็นถึงพรสวรรค์ของฉู่ขวงนอกเหนือจากการเขียนนิยาย อีกทั้งพรสวรรค์นี้ของเขาไม่ธรรมดาอีกด้วย
ภาพจำที่ผู้คนมีต่อฉู่ขวงคือ ‘เชี่ยวชาญการเขียนนิยาย’
คนที่ผ่านเรื่องโคลงคู่มาย่อมรู้ว่าฉู่ขวงและเซี่ยนอวี๋ล้วนเป็น ‘ยอดฝีมือด้านการต่อโคลงกลอน’
และในตอนนี้ ภาพจำที่สองซึ่งฉู่ขวงแสดงให้โลกภายนอกเห็นก็คือ
หนึ่ง ‘นักเขียนตัวอักษรซึ่งงานล่าช้าเพราะการเขียนนิยาย’
สอง ‘กวี’
เมื่อคิดเช่นนี้แล้ว ฉู่ขวงนับว่าเป็นคนที่เก่งกาจจริงๆ
ทั้งเขียนบทกวีได้ ทั้งเชี่ยวชาญการต่อโคลงกลอน สันทัดการเขียนนิยาย นอกจากนั้นฝีมือการเขียนตัวอักษรยังไม่ธรรมดาด้วย
คำเดียว: อัจฉริยะ!
นั่นทำให้ชาวเน็ตนึกเชื่อมโยงถึงเซี่ยนอวี๋ทันที
‘ฉันพูดได้ไหมว่าสมแล้วที่เป็นสหายรัก พวกคุณพวกสังเกตกันไหม ว่าสิ่งที่ฉู่ขวงทำได้ เซี่ยนอวี๋ก็ทำได้!’
‘บ้าน่า จะว่าไปก็จริง!’
‘สิ่งที่เซี่ยนอวี๋เชี่ยวชาญที่สุดก็คือการประพันธ์เพลง แต่ความสามารถในการเขียนบทละครของเซี่ยนอวี๋นั้นไม่ต้องสงสัย บทกวีในเรื่องถังปั๋วหู่ ใหญ่ไม่ต้องประกาศนั้นยิ่งทำให้คนตกตะลึงได้มากกว่า ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงผลงานที่เซี่ยนอวี๋ทำไว้ในมหาสงครามต่อโคลงคู่ครั้งก่อน’
‘เป็นครอบครัวเดียวกัน ก็จะมีอะไรคล้ายๆ กัน’
‘เพื่อนของอัจฉริยะ ส่วนมากก็จะเป็นอัจฉริยะ’
‘ไม่ไหวแล้ว ฉันขอพูดแค่สองคำ อิ่งจือ ถ้าใครรู้ก็ต้องเข้าใจ’
‘ฮ่าๆๆๆๆๆ อิ่งจือที่ปกติแล้วไม่ค่อยมีตัวตนน่ะเหรอ’
‘อิ่งจือเป็นแบบนั้นจริงๆ ไม่มีตัวตนขึ้นทุกวัน’
‘อิ่งจือเป็นอาจารย์ที่นับว่ามีอิทธิพลในวงการการ์ตูนอยู่นะ เรื่องจิตวิญญาณสือจี่ดังมาก น่าเสียดายที่สองคนนี้ฝีมือร้ายกาจเกินไปหน่อย’
‘โมโหแฮะ เมื่อไหร่อิ่งจือจะได้มีหน้ามีตากับเขาบ้างนะ!’
‘…’
ก่อนหน้านี้อิ่งจือแทบไม่ได้มีตัวตนสักเท่าไหร่จริงๆ
ยิ่งตอนนี้ฉู่ขวงกับเซี่ยนอวี๋เข้าขากันมากขึ้นเท่าไหร่ อิ่งจือก็ยิ่งถูกชาวเน็ตสัพยอกมากขึ้นเท่านั้น และกลับทำให้รู้สึกถึงการมีตัวตนที่แปลกพิลึก
อืมมมมม
มีตัวตนอยู่ท่ามกลางเสียงหัวเราะของผู้คน
ถึงขั้นที่มีคนนำเซี่ยนอวี๋และฉู่ขวงไปเรียกคู่กันว่า ‘เซี่ยนอวี๋ใต้ ฉู่ขวงเหนือ’
อย่าได้ถามว่าเหนือใต้แบ่งกันอย่างไร
ทุกคนเพียงแต่คิดว่าการเรียกเช่นนี้คล้องกันดี
หากจะถกเถียงเรื่องนี้จริงๆ คงจะเป็นเพราะชื่อ ‘เซี่ยนอวี๋’ ฟังดูอ่อนโยนอยู่บ้าง ให้ความรู้สึกของชายหนุ่มรูปงามผู้อ่อนโยนจากแดนใต้
ส่วน ‘ฉู่ขวง’ กลับฟังดูค่อนข้างอาจหาญ ให้ความรู้สึกถึงอิสระเสรีของจอมโจรจากทางเหนือ
ปรากฏว่า คำเรียกนี้แพร่หลายออกไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้
คำกล่าวว่า ‘เซี่ยนอวี๋ใต้ ฉู่ขวงเหนือ’ นั้นได้เริ่มหยั่งรากลึกลงในใจของผู้คนแล้ว!
ถึงขั้นที่มีคนอุตส่าห์ใส่ตัวเลือกคำว่า ‘ตะวันออก’ และ ‘ตะวันตก’ เข้าไป
แต่น่าเสียดาย
ทุกคนพบว่า ‘xxxตะวันออก’ และ ‘xxxตะวันตก’ นั้นไม่ได้เข้ากับตัวตนของเซี่ยนอวี๋และฉู่ขวงเอาเสียเลย
ทั้งสองล้วนมีฝีมือระดับปีศาจ!
เพราะฉะนั้นมีเพียงเหนือและใต้เท่านั้น ตะวันตกและตะวันออกอาจปรากฏอีกครั้งในอนาคต หรือไม่ก็ไม่ปรากฏอีกเลยตลอดกาล
……
หลินเยวียนงุนงงไปชั่วขณะเมื่อเห็นหลายคนเขียนว่า ‘เซี่ยนอวี๋ใต้ ฉู่ขวงเหนือ’ บนพื้นที่แสดงความคิดเห็นของเซี่ยนอวี๋
ที่ผ่านมาเขารู้จักแต่ ‘มู่หรงใต้ เฉียวเฟิงเหนือ[2]’ เพิ่งจะเคยได้ยิน ‘เซี่ยนอวี๋ใต้ ฉู่ขวงเหนือ’ ก็ตอนนี้แหละ
ไม่เห็นจะคล้องจองเลยสักนิด
ถึงขั้นมีคนย่อคำเรียกนี้จนกลายเป็น ‘อวี๋ใต้ขวงเหนือ’ มีใครเบียวกว่านี้อีกไหม
หลินเยวียนรู้สึกว่าหากตัวตนของเขาถูกเปิดเผยตอนนี้ คงจะกระอักกระอ่วนจนต้องจิกเท้า
แต่จินมู่กลับมีท่าทีตื่นเต้นสุดๆ
“เซี่ยนอวี๋ใต้ ฉู่ขวงเหนือ เหมาะสมดีเหมือนกันนะครับเนี่ย ตัวตนหนึ่งคร่ำหวอดในวงการนิยาย อีกตัวตนหนึ่งตั้งใจเขียนเพลง ขณะเดียวกันทั้งสองตัวตนก็มีงานเสริม เซี่ยนอวี๋สร้างภาพยนตร์ ฉู่ขวงเขียนตัวอักษร สมบูรณ์แบบ”
หลินเยวียน “…”
ไว้หน้าอิ่งจือสักนิดได้ไหม?
แม้ว่าจะเป็นตัวตนของหลินเยวียนเหมือนกัน และไม่มีความลำเอียง แต่หลินเยวียนถูกหยอกล้อมามากแล้ว ยากที่จะหลีกเลี่ยงผลกระทบจากการถกเถียงบนโลกออนไลน์ จนพานให้รู้สึกว่าการมีตัวตนของอิ่งจือนั้นต่ำเกินไป
โชคดีที่เรื่องจิตวิญญาณสือจี่กำลังจะจบลง
เรื่องต่อไปก็คือสมุดมรณะ การ์ตูนเรื่องนี้จะต้องดังเป็นพลุแตกอย่างแน่นอน ยังไม่ต้องเอ่ยถึงเรื่องที่จะให้อิ่งจือใช้โอกาสนี้ตามฉู่ขวงและเซี่ยนอวี๋ อย่างน้อยก็ต้องทำให้อิ่งจือมีตัวตนขึ้นมาบ้างใช่ไหมล่ะ?
เมื่อนึกถึงตรงนี้ หลินเยวียนก็เรียกหลัวเวยและผู้ช่วยในออฟฟิศมา เพื่อพูดคุยเกี่ยวกับการ์ตูนเรื่องใหม่นี้
“การ์ตูนเรื่องใหม่?”
หลัวเวยเอ่ยอย่างกระวนกระวาย “กำหนดแนวหรือยังคะ”
หลินเยวียนหยิบข้อมูลที่เตรียมไว้ล่วงหน้าเรียบร้อยแล้วมา นี่เป็นสิ่งที่เขาทำเมื่อมีเวลาว่างในบริษัท “โครงเรื่อง ทั้งรูปลักษณ์และลายเส้นของตัวละครออกแบบมาหมดแล้ว พวกคุณลองดูก่อนครับ ไม่เข้าใจตรงไหนมาถามผมได้”
“ได้ค่ะ”
หลัวเวยบอก “จิตวิญญาณสือจี่จะจบเดือนหน้า พวกเราเตรียมตัวสักหน่อยก็เริ่มลงการ์ตูนเรื่องใหม่ได้เลย”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ หลัวเวยก็มองไปยังการ์ตูนประเภทใหม่ในมือด้วยความกังวล
เป็นความกังวลเช่นเดียวกับหลังจากที่เรื่องปรินซ์ออฟเทนนิสจบลง
เธอกังวลว่าถ้าเกิดการ์ตูนเรื่องใหม่ไม่ดีขึ้นมา จะทำอย่างไร
ปัญหาที่นักเขียนนิยาย นักเขียนการ์ตูน และผู้สร้างสรรค์งานศิลปะทุกชนิดล้วนหวั่นวิตกก็คือ
ผลงานชิ้นต่อไปจะประสบความสำเร็จเช่นนี้หรือไม่
อย่างไรก็ดี ความกังวลก็ค่อยๆ หายไปเมื่อหลัวเวยเริ่มเปิดอ่านเรื่องสมุดมรณะ
นอกเสียจากว่าจะเป็นผู้ที่ไม่ชื่นชอบงานสายดาร์กอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นผู้ชายซึ่งชอบความเท่ หรือผู้หญิงซึ่งไม่ได้ชื่นชอบเพียงเจ้าหญิงเป็นชีวิตจิตใจ โดยทั่วไปแล้วไม่มีทางต้านทานเสน่ห์ของเรื่องนี้ได้หรอก!
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อลายเส้นของเรื่องสมุดมรณะถูกหลินเยวียนปรับเปลี่ยนเล็กน้อย
ตัวอย่างเช่นรูปลักษณ์ของยมทูตในเรื่อง ก็ถูกหลินเยวียนปรับเปลี่ยนให้คล้ายกับปีศาจในนรกจากตำนานของบลูสตาร์
หรือลายเส้นของตัวละครบางส่วนในเรื่อง หลินเยวียนก็ดัดแปลงเล็กน้อย ทำให้ทั้งเรื่องสอดคล้องกับรสนิยมของบลูสตาร์มากยิ่งขึ้น
สิ่งที่เรียกว่ารสนิยมของบลูสตาร์ อันที่จริงก็คือรสนิยมของชาวแดนมังกรจากโลกเดิม
การ์ตูนจากแดนอาทิตย์อุทัย แม้ว่าจะเป็นศิลปะแบบตะวันออก ทว่าโดยรายละเอียดยังค่อนข้างมีความเป็นญี่ปุ่น เพราะฉะนั้นส่วนที่ปรับเปลี่ยนได้ ก็จำเป็นต้องปรับเปลี่ยน
หลินเยวียนทำจนชำนาญแล้ว
ไม่ใช่แค่หลัวเวยที่ชื่นชอบเรื่องนี้
เมื่อผู้ช่วยคนอื่นๆ ที่เขาจำชื่อไม่ได้ในออฟฟิศได้อ่านสมุดมรณะเวอร์ชันตัวอักษรแล้ว ก็ตื่นเต้นจนดวงตาเป็นประกายวาบ
“เรื่องนี้ดีมากเลย!”
“วาดออกมาต้องสนุกมากแน่ๆ!”
“เรื่องนี้สนุกกว่าจิตวิญญาณสือจี่ซะอีก!”
“เรื่องความนิยมนี่ยังบอกไม่ได้ แต่คำวิจารณ์ไม่แย่แน่นอน เยี่ยเสินเยวี่ยเท่สุดๆ!”
“หลินคนนี้ก็เท่มาก…หลินคือหัวหน้าเหรอ?”
“…”
นี่เป็นความหลงตัวเองเล็กๆ น้อยๆ ของหลินเยวียน เพื่อตอบสนองความปรารถนาอันชั่วร้ายของตน
ในเรื่องสมุดมรณะ ชายหนุ่มคู่รักคู่แค้นของเยี่ยเสินเยวี่ยก็คือ L
การใช้ตัวอักษรแทนชื่อนั้นมาจากอิทธิพลของวัฒนธรรมตะวันตก หลินเยวียนเองก็เคยใช้ แต่กลับรู้สึกว่าไม่คล่องมือเอาซะเลย
บนบลูสตาร์ไม่ค่อยทำเช่นนี้ แม้ว่าบลูสตาร์จะมีตัวอักษรพินอินก็ตาม
เพราะฉะนั้น หลินเยวียนจึงเปลี่ยนจาก ‘L’ เป็น ‘หลิน’
คำว่าหลินก็มี L เป็นพยัญชนะต้น และบังเอิญเป็นนามสกุลของหลินเยวียนพอดี
เขาเองก็อยากรู้สึกว่าตนมีส่วนร่วมในเรื่องสมุดมรณะบ้าง
แต่แน่นอนว่า
เขาไม่ได้ส่งเสริมให้บนโลกนี้มีคนที่ใช้สมุดมรณะลงโทษความชั่วร้ายเพื่อสร้างความดีอย่างเยี่ยเสินเยวี่ย
…………………………………………
[1] ทางช้างเผือกจากสรวงสวรรค์ มาจากวรรคสุดท้ายของบทกวีชื่อดังของหลี่ไป๋ ‘ชมน้ำตกหลูซาน’ เป็นการบรรยายภาพของน้ำตกหลูซานผ่านแนวคิดจินตนิยม และในวรรคนี้เปรียบเปรยความยิ่งใหญ่ของน้ำตกหลูซานว่าเป็นทางช้างเผือกซึ่งไหลรินมาจากสรวงสวรรค์
[2] มู่หรงใต้ เฉียวเฟิงเหนือ เป็นคำเรียกมู่หรงฟู่ และเฉียวเฟิง ซึ่งเป็นยอดจอมยุทธ์ และตัวละครหลักจากนิยายเรื่องแปดเทพอสูรมังกรฟ้า เขียนโดยจินยง (กิมย้ง)