สืออีเหนียงได้ยินก็ยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ไท่ฮูหยินได้บอกว่าชอบคณะละครงิ้วชุดนั้นหรือไม่”
ที่ไท่ฮูหยินส่งคนมาถามความเห็นของนาง ถือเป็นการให้ความเคารพนางในฐานะนายหญิงใหญ่ของจวน นางเองก็ไม่ควรที่จะละเลยความชอบของผู้หลักผู้ใหญ่เช่นไท่ฮูหยิน
ดวงตาของอวี้ป่านเป็นประกายแวววาว “ไท่ฮูหยินบอกว่า ไม่รู้ว่าจะขับร้องบทเพลง ‘ไป๋ซีเซียง’ เป็นอย่างไรบ้างเจ้าค่ะ!”
สืออีเหนียงยิ้มพร้อมกับพยักหน้าเบาๆ จากนั้นก็ได้ไปยังเรือนของไท่ฮูหยิน
“หากไม่ใช่คณะฉังเซิงปานก็เป็นคณะเต๋ออินปาน ท่านว่าปีนี้ควรจะเปลี่ยนใหม่ดีหรือไม่ ลองเชิญคณะเจี๋ยเซียงตู้มาร้องละครงิ้วดู ถือว่าเป็นการเปลี่ยนประสบการณ์ใหม่ไปในตัวเจ้าค่ะ”
ไท่ฮูหยินยิ้มแล้วพยักหน้าเบาๆ จากนั้นก็ปรึกษาหารือกับสืออีเหนียงว่า “ปลาตะลุมพุกควรจะนึ่งหรือทำเป็นน้ำแดงดี? แล้วโถงบุปผาจะประดับดอกติงเซียงหรือประดับดอกไห่ถังแทน?”
ทั้งสองปรึกษาหารือเรื่องการจัดงานเทศกาลซานเย่ว์ซานจนถึงเที่ยง เป็นอันเสร็จสิ้นในที่สุด
ตกค่ำ ทางฝั่งคุณชายสามสวีลิ่งหนิงก็ได้ส่งข่าวมาว่าได้รับภารกิจต่อเนื่องที่ซานหยางอีกหนึ่งสมัย
ไท่ฮูหยินได้ยินแล้วก็ดีใจเป็นอย่างมาก ฮูหยินสามจึงถือโอกาสนี้ปรึกษาหารือกับไท่ฮูหยินว่า “…หัวหน้าฝ่ายคัดเลือกของทางกระทรวงขุนนางให้ความช่วยเหลือไม่น้อย ข้าเลยอยากจะเชิญฮูหยินของเขามาร่วมดื่มสุราในเทศกาลซานเย่ว์ซานที่จวนของเราด้วยเจ้าค่ะ”
จู่ๆ ทุกคนในเรือนก็เงียบลง
ไท่ฮูหยินก็ยิ้มพร้อมกับยกถ้วยน้ำชาขึ้นมาจิบ จากนั้นก็พูดขึ้นช้าๆ ว่า “พวกเราก็แค่ต้องเตรียมตะเกียบเพิ่มคู่เดียวเท่านั้น เกรงว่าฮูหยินของหัวหน้าผู้นั้นจะทำตัวไม่ถูกเสียมากกว่า! ถึงเวลานั้นจะสวมใส่ชุดอะไร ใช้เครื่องประดับแบบไหน นำของขวัญอะไรมาฝาก…ล้วนแล้วแต่ต้องไปเสียเวลาคิดทั้งนั้น หากเจ้ามีความตั้งใจ ข้าว่าสู้เชิญไปทานอาหารที่หอชุนซีจะดูเหมาะสมมากกว่า”
ฮูหยินสามรู้สึกเสียหน้าจนทำตัวไม่ถูกขึ้นมา
ฮูหยินห้าเหลือบไปมองฮูหยินสามด้วยสีหน้าที่เรียบเฉย จากนั้นก็หันไปควงแขนของไท่ฮูหยินด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม “ท่านแม่ ท่านช่วยพูดกับคุณชายห้าให้หน่อยเถิด ว่าให้ข้าไปฟังละครงิ้วที่โถงเตี่ยนชุนตอนเทศกาลซานเย่ว์ซานด้วยนะเจ้าคะ!”
ตามหลักของ ‘คัมภีร์เลี้ยงบุตร’ ในสมัยโบราณ สตรีที่ตั้งครรภ์จะต้องพักผ่อนอยู่แต่ในบ้าน
ไท่ฮูหยินรู้ว่าฮูหยินห้ากำลังช่วยฮูหยินสามกู้สถานการณ์ จึงหันไปมองท้องที่เริ่มโตขึ้นของนาง ยิ้มพร้อมกับจิ้มไปที่หน้าผากของนางเบาๆ “เจ้าพักผ่อนอยู่บ้านดีๆ เถิด”
“ท่านแม่!” ฮูหยินห้าแกว่งแขนของไท่ฮูหยินไปมาเบาๆ ด้วยความออดอ้อน “ท่านรับปากเถิดนะเจ้าคะ!”
สวีซื่อเจี่ยนและสวีซื่อจุนเห็นแล้วก็เม้มปากยิ้มตาม แต่ซินเจี่ยเอ๋อร์กลับวิ่งไปกอดแขนอีกข้างของไท่ฮูหยินพร้อมกับดึงชายแขนเสื้อเบาๆ เลียนแบบท่าทีที่ออดอ้อนตามมารดา “ท่านแม่ ท่านรับปากเถิดนะเจ้าคะ”
คนทั้งเรือนพากันหัวเราะไปตามๆ กัน
ไท่ฮูหยินก็หยิกแก้มของฮูหยินห้าด้วยความเอ็นดู “ดูเจ้าสิ ยังไม่โตหรืออย่างไรกัน!”
สวีซื่อเจี่ยนเห็นแล้วก็หัวเราะออกมาด้วยความขบขัน
ส่วนสวีซื่อฉินกลับก้มหน้าที่แดงก่ำลง เพราะรู้สึกอับอายกับการกระทำของมารดาตัวเอง
*****
เมื่อถึงเทศกาลซานเย่ว์ซาน หวงฮูหยินและคุณนายสามสกุลหวงก็ได้มาถึงก่อนเหมือนเช่นเคย หวงฮูหยินนั่งคุยกับไท่ฮูหยิน ส่วนคุณนายสามสกุลหวงก็จูงมือสืออีเหนียงไปคุยเล่นอยู่ข้างๆ แทน “…สองวันก่อนนายท่านซื่อจื่อได้หินปะการังแดงมาหนึ่งคู่ ดูแล้วคงเป็นของหายาก ก็เลยให้ข้าเอามาให้เจ้า ประดับไว้ในเรือนเพื่อเป็นสิริมงคล”
ในสมัยโบราณหินปะการังถือว่าเป็นของมีค่า โดยเฉพาะหินปะการังแดง
นี่เป็นของตอบแทนเพื่อแสดงความขอบคุณต่อสวีลิ่งอี๋ที่ช่วยสกุลหวงตอนจวนสกุลหยางถูกค้นกระมัง!
สืออีเหนียงจึงกล่าวคำขอบคุณด้วยความเกรงใจไปยกใหญ่ รับของฝากมาด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม
หลินฮูหยินและคุณนายใหญ่สกุลหลินก็มาถึงพอดี
“เจินเจี่ยเอ๋อร์ของเจ้าจะแต่งงานเมื่อไรกัน!” สีหน้าของคุณนายใหญ่สกุลหลินแลดูมีชีวิตชีวาเป็นอย่างมาก ใบหน้าของนางเงางามกระจ่างใสและมีเลือดฝาด “ฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์ของข้าตอนนี้ตั้งครรภ์ได้สามเดือนแล้ว!”
“ยินดีด้วย ยินดีด้วย!” สืออีเหนียงแสดงความยินดีต่อคุณนายใหญ่สกุลหลิน
หลินฮูหยินก็หัวเราะลูกสะใภ้พลางหันไปพูดกับหวงฮูหยินและไท่ฮูหยินว่า “พวกท่านดูสิ เก็บอาการไม่อยู่เลยแม้แต่น้อย”
“เรื่องน่ายินดีขนาดนี้ หากเป็นข้า ข้าก็คงเก็บไม่อยู่เป็นแน่แท้!” ไท่ฮูหยินหัวเราะออกมาเบาๆ จากนั้นก็เรียกคุณนายใหญ่สกุลหลินมาถามไถ่ว่าเป็นอย่างไรบ้าง
กลางคืนหลังจากที่ส่งแขกกลับไปแล้ว สืออีเหนียงก็ปรนนิบัติไท่ฮูหยินเข้านอน ไท่ฮูหยินก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกลังเลใจขึ้นมา “หรือว่าควรจะให้เจินเจี่ยเอ๋อร์แต่งงานเร็วกว่านี้ดี”
“เร็วสุดก็ยังต้องเป็นตอนสิ้นปี ช้าสุดก็ไม่เกินฤดูใบไม้ผลิปีหน้าอยู่ดี” สืออีเหนียงพูดขึ้นด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม “รอฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์คุ้นเคยกับซังโจวแล้ว เราค่อยให้เจินเจี่ยเอ๋อร์ตามหลังไป มีคนคอยชี้แนะตอนไปอยู่ที่โน่น ไม่ดีกว่าหรือเจ้าคะ!”
ไท่ฮูหยินพยักหน้าเบาๆ พร้อมกับพูดขึ้นด้วยรอยยิ้มว่า “คงเพราะข้าแก่ชราแล้ว ก็เลยอยากจะเห็นลูกหลานพร้อมหน้าพร้อมตาเร็วๆ กระมัง” สืออีเหนียงฟังแล้วก็พลอยรู้สึกกังวลใจขึ้นมา
“ท่านแม่อย่าคิดเช่นนี้นะเจ้าคะ” สืออีเหนียงช่วยไท่ฮูหยินเปลี่ยนชุดเข้านอน “ภรรยาของจิ่นเกอเอ๋อร์ของเรายังรอซองแดงจากท่านอยู่เลยเจ้าค่ะ!”
ไท่ฮูหยินได้ยินแล้วก็หัวเราะเสียงดังด้วยความชอบใจ “วางใจเถิด ข้าเตรียมไว้ตั้งนานแล้ว! ไม่ลืมของจิ่นเกอเอ๋อร์อย่างแน่นอน” จากนั้นก็ได้พูดถึงเฉียวฮูหยินขึ้นมา “…ไม่ได้มาร่วมงานเทศกาลซานเย่ว์ซานมาสองปีแล้ว ตอนนั้นเฉิงกั๋วกงกำลังแต่งตั้งเซวียนถงขึ้นเป็นผู้บัญชาการกองทัพทหาร เจ้าสี่พึ่งจะกลับมาจากการไว้ทุกข์ที่บ้านเกิด ครั้งนี้ไม่รู้ว่าเหตุใดถึงไม่มา!”
“คงจะเพราะงานล้นมือกระมังเจ้าคะ!” สืออีเหนียงเคยได้ยินสวีลิ่งอี๋พูดถึงเรื่องนี้ “เห็นว่านำเงินออกมาสองหมื่นตำลึงไปร่วมปล่อยเงินกู้กับสกุลหยาง ตอนนี้ฮ่องเต้ทรงรับสั่งให้เผาสมุดบัญชีของสกุลหยางที่หน้าประตูพระราชวังไปแล้ว สกุลเฉียวไม่เพียงแต่ขาดทุนย่อยยับเท่านั้น เงินส่วนหนึ่งก็เป็นเงินที่ยืมมาอีกที ทางฝ่ายเจ้าหนี้รู้เรื่องเข้าก็รีบบุกมาทวงเงินกับสกุลเฉียวทันที พอสกุลเฉียวไม่มีเงินจะคืนให้ ก็พากันไปขนภาชนะติ่งสีเขียวเข้มโบราณที่ตกทอดมาจากบรรพบุรุษไปจนหมด หากไม่ใช่เพราะเจ้าหน้าที่ของศาลว่าการไปถึงอย่างรวดเร็ว เกรงว่าแม้แต่โต๊ะพระไม้จื่อถานที่ยาวสามฉื่อและกว้างสองฉื่อก็คงจะถูกยกไปด้วย หลายวันมานี้เฉิงกั๋วกงกำลังรับมือกับเรื่องเหล่านี้อยู่ เฉียวฮูหยินคงจะไม่มีกะจิตกะใจมาร่วมดื่มสุราฟังละครงิ้วหรอกกระมัง”
เพราะเงินกู้ของสกุลหยางนั้นถูกนำไปปล่อยกู้ให้กับขุนนางของหกกรมเสียส่วนใหญ่ หลังจากที่เจี้ยนหนิงโหวและโซ่วชังปั๋วถูกคุมขัง ขุนนางของศาลต้าหลี่จึงไม่ค่อยกล้าที่จะไต่สวนเท่าไรนัก ฮ่องเต้จึงรับสั่งให้คนไปติดประกาศ กำหนดวันเผาสมุดบัญชีทั้งหมดที่ประตูพระราชวัง
ไท่ฮูหยินเองก็เคยได้ยินผ่านหูมาบ้าง เพียงแต่ว่าเรื่องราวไม่ได้ละเอียดเท่าสืออีเหนียง หลังจากที่ได้ฟังสืออีเหนียงเล่าแล้ว ก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ พร้อมกับพูดขึ้นว่า “กองทัพทหารที่แตกพ่าย ก็เหมือนขุนเขาที่พังทลายย่อยยับ การบริหารและปกครองครอบครัวของตระกูลก็ไม่แตกต่างกันแต่อย่างใด ข้าว่าเรื่องนี้คงส่งผลต่อสกุลเฉียวหนักหนาสาหัสไม่น้อย ทั้งๆ ที่สกุลเฉียวก็ไม่ได้มีลูกหลานที่เป็นยอดฝีมือแท้ๆ…” ขณะที่กำลังพูดอยู่นั้น ก็หวนนึกถึงเรื่องที่เคยเกิดขึ้นในอดีต “ข้าจำได้ว่าเฉิงกั๋วกงมีน้องชายที่เป็นบุตรอนุ อายุพอๆ กับเจ้าสี่ ตอนที่ยังเด็กเจ้าสี่และเขาเคยทะเลาะกัน ข้าเองก็จำไม่ค่อยได้แล้วว่าทะเลาะกันเรื่องอันใด เขาไปชวนคนมาจำนวนหนึ่งเพื่อวางแผนหลอกล่อเจ้าสี่ จนเจ้าสี่ไปติดกับเข้า สุดท้ายต้องชดใช้เงินจำนวนห้าตำลึงจึงค่อยจบเรื่อง ถือเป็นคนที่ฉลาดหัวใสไม่น้อย น่าเสียดายที่สุดท้ายถูกเฉียวฮูหยินผู้เฒ่าให้คนล่อลวงให้ไปยุ่งเกี่ยวกับหอนางโลม สุดท้ายก็ถูกขับไล่ออกจากจวนเพราะนักแสดงงิ้วนางหนึ่ง หากตอนนั้นเขาได้รับการอบรมบ่มสอนที่ดี ส่งไปฝึกฝนที่ค่ายทหารสักหน่อย ไม่แน่บางทีเวลานี้อาจจะได้ใช้ความสามารถนั้นมาค้ำจุนครอบครัวก็เป็นได้”
เรื่องนี้ค่อนข้างสลับซับซ้อน สืออีเหนียงจึงไม่สะดวกที่จะพูดออกมา
“นั่นสิเจ้าคะ!” นางตอบไปตามเนื้อผ้า จากนั้นก็ได้พูดถึงเรื่องของสวีซื่อจุนขึ้นมา “ไม่รู้ว่าที่เรือนต้านปั๋วไจเก็บกวาดไปถึงไหนแล้ว พรุ่งนี้คงต้องไปดูเสียหน่อย!”
“เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องเป็นกังวลใจไป” ไท่ฮูหยินยิ้มแล้วพูดขึ้นว่า “ข้าให้ป้าตู้คอยจับตาดูแล้ว หากมีเรื่องอันใด นางจะรีบมารายงานข้าทันที” จากนั้นก็ได้ถามถึงเรื่องของหยางอี๋เหนียงขึ้นมา “เตรียมเงินทำบุญค่าธูปเทียนและน้ำมันตะเกียงของอารามต้าเจวี๋ยแล้วหรือยัง”
เรื่องที่จะส่งหยางอี๋เหนียงไปที่อารามต้าเจวี๋ย สืออีเหนียงไม่ได้พูดอะไรมากนัก สวีลิ่งอี๋เองก็ไม่ได้ถามอะไรมากมาย ได้ยินสืออีเหนียงพูดถึงเรื่องนี้เพียงแค่ครั้งเดียว ก็สั่งให้พ่อบ้านไป๋ไปจัดการทันที
แต่การที่จะส่งคนไปที่อารามต้าเจวี๋ยนั้น ตามหลักแล้วจะต้องถวายเงินทำบุญค่าธูปเทียนและน้ำมันตะเกียงจำนวนหนึ่ง
“ข้าได้ถวายเงินทำบุญค่าธูปเทียนและน้ำมันตะเกียงไปแล้ว ตกลงกันว่าต่อไปจะให้เด็กนำเงินไปถวายในวันที่เก้าของเดือน รวมแล้วปีละสามสิบตำลึงเจ้าค่ะ”
ไท่ฮูหยินพยักหน้ารับรู้เบาๆ จากนั้นสืออีเหนียงก็ส่งนางเข้านอน
หลังจากที่สืออีเหนียงกลับไปถึงเรือน
จู๋เซียงก็ไปนำหินปะการังแดงหนึ่งคู่ที่คุณนายสามสกุลหวงมอบให้มาให้สืออีเหนียงดู
ตัวปะการังเป็นสีชมพู ความสูงราวหนึ่งฉื่อ ส่องแสงประกายระยิบระยับภายใต้แสงไฟของตะเกียง งดงามเป็นอย่างยิ่ง
เหล่าบรรดาสาวใช้ต่างก็รู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก ชิวหงเองก็ได้ลองสัมผัสเบาๆ ด้วยความระมัดระวัง “ฮูหยิน บ่าวได้ยินมาว่าของสิ่งนี้มาจากเขาบนศีรษะพญามังกรแห่งท้องทะเล สามารถปัดเป่าภัยที่กล้ำกรายทั้งปวง เป็นเรื่องจริงหรือเจ้าคะ”
สืออีเหนียงไม่เชื่อเช่นนั้น แต่ก็ไม่ได้แย้งแต่อย่างใด ยิ้มพลางพูดขึ้นว่า “คงใช่กระมัง!”
ถึงแม้ว่าจู๋เซียงจะเป็นคนที่สุขุมและค่อนข้างเงียบ แต่อย่างไรเสียก็เป็นเพียงเด็กสาวที่อายุแค่สิบห้า สิบหกปี เวลานี้จึงตื่นเต้นเป็นอย่างมาก นางพูดด้วยรอยยิ้ม “ตอนที่บ่าวยังเด็ก เคยเห็นผู้อื่นนำไปวางไว้บนโต๊ะพระในศาลบรรพชน คงจะเป็นเรื่องจริงเจ้าค่ะ!”
ขณะที่กำลังพูดอยู่นั้น สวีลิ่งอี๋ก็เข้ามาพอดี
“ใครให้มาหรือ”
“คุณนายสามสกุลหวงมอบให้เจ้าค่ะ!” สืออีเหนียงช่วยสวีลิ่งอี๋เปลี่ยนชุดด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม
สวีลิ่งอี๋จ้องมองอยู่ครู่หนึ่ง “สูงเท่ากันทั้งสองกิ่ง รูปร่างใช้ได้ทีเดียว ถือว่าเป็นของหายากไม่น้อย” จากนั้นก็พูดต่อไปว่า “ประดับที่ระเบียงหน้าต่างของเจ้าหนึ่งกิ่ง วางคู่กับปลาทอง อีกกิ่งก็เอาไปวางไว้ที่หัวเตียงของเตียงเตาห้องจิ่นเกอเอ๋อร์ก็แล้วกัน”
ดูท่าแล้ว เขาเองก็คงจะเชื่อว่าปะการังมีคุณสมบัติช่วยขจัดปัดเป่าภัยร้ายที่จะเข้ามากระมัง
สืออีเหนียงจึงยิ้มพร้อมกับขานรับเบาๆ วันที่แปดเดือนสี่เป็นวันพระ สืออีเหนียงจึงให้บ่าวรับใช้นำงาช้างสลักลายพระอรหันต์ห้าร้อยองค์ไปมอบให้กับคุณนายสามสกุลหวงหนึ่งกิ่ง ถือว่าเป็นการตอบแทนน้ำใจ
วันรุ่งขึ้น สืออีเหนียงก็ได้ไปที่ต้านปั๋วไจ
เก๋อจินได้ย้ายเข้าไปอยู่แล้ว นางเดินคุยเป็นเพื่อนสืออีเหนียงที่ต้านปั๋วไจอยู่ครู่ใหญ่
ถึงแม้ว่าจะใช้คำว่า ‘ไจ’ แต่กลับเป็นเรือนสามประตูทางเข้าห้าด้าน ทั้งสองฝั่งของขั้นบันไดถูกล้อมรอบไปด้วยต้นเซียงชุน ฉาบผนังกำแพงใหม่ เครื่องเรือนถูกทาสีใหม่ ฉากผ้าม่านและเบาะรองนั่งถูกเปลี่ยนใหม่จนหมด แจกันดอกไม้และชุดกาน้ำชาล้วนเป็นของโบราณทั้งสิ้น ดูเรียบง่ายและเป็นธรรมชาติ สบายตาและสง่างาม เหมาะสมกับตำแหน่งฐานะของสวีซื่อจุนเป็นอย่างมาก
สืออีเหนียงพึงพอใจ ใช้เวลาไปหลายวันในการจัดการที่พักให้สวีซื่อจุน ในที่สุดก็มีรับสั่งเรื่องตัดสินคดีของสกุลหยางจากฮ่องเต้
“ไม่ยึดทรัพย์สมบัติ แต่เนรเทศไปที่หลิงหนานหรือ?”
สวีลิ่งอี๋พยักหน้าเบาๆ “ฮ่องเต้ทรงเห็นแก่มิตรภาพในอดีต จึงละเว้นชีวิตคนสกุลหยาง”
“แล้วเก๋อเหล่าทั้งสองท่านล่ะเจ้าคะ”
“คงจะไม่รอดแล้ว!” สวีลิ่งอี๋พูดขึ้นเสียงเบา “แต่คนในตระกูลจะโดนรากแหไปด้วยไม่ได้”
สืออีเหนียงค่อยๆ ถอนหายใจออกมาเบาๆ
พอตกค่ำ ก็ได้ยินข่าวว่าป้าหยางมาขอเข้าพบนาง
“ฮูหยิน บ่าวอยากจะขอติดตามหยางอี๋เหนียงไปบำเพ็ญเพียรที่อารามต้าเจวี๋ยด้วย ขอฮูหยินเมตตาบ่าวด้วยเถิดเจ้าค่ะ!” พูดจบ นางก็คุกเข่าพร้อมกับโขกศีรษะลงกับพื้น
ไม่โทษนางที่นางมาหาตน
สกุลหยางตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ นางกลับไปก็ไร้ซึ่งที่ซุกหัวนอน ก็แค่มีคนกินข้าวเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งคนก็เท่านั้น
สืออีเหนียงสั่งให้บ่าวรับใช้หยุดนาง “หยางอี๋เหนียงออกบวช ถือว่าเป็นคนนอกแล้ว ป้าหยางติดตามไปด้วยไม่ค่อยเหมาะสมเท่าไรนัก หากว่าป้าหยางไม่รังเกียจ ข้าจะให้ตำแหน่งงานกับป้าหยางสักงาน หน้าที่เฝ้าดูแลเรือน ป้าหยางคิดอย่างไรบ้าง”
ป้าหยางได้ยินแล้วก็ค่อนข้างรู้สึกผิดหวัง แต่สิ่งที่สืออีเหนียงพูดมานั้นมีเหตุผล นางจึงรีบกล่าวขอบคุณสืออีเหนียงด้วยความตื้นตันใจ ค่ำคืนของวันที่แปด ป้าหยางก็ได้ไปช่วยเก็บข้าวของของหยางอี๋เหนียงพร้อมกับป้ารับใช้ที่สืออีเหนียงส่งมาเฝ้าหยางอี๋เหนียง
จู๋เซียงก็ได้เข้าไปกระซิบข้างหูสืออีเหนียงด้วยสีหน้าที่จริงจังว่า “ตั้งแต่เริ่มขังหยางอี๋เหนียงไว้ในเรือน นางก็ไม่ร้องไม่โวยวายอีก ข้าวของจัดเก็บเป็นระเบียบเรียบร้อย เมื่อครู่นี้ยังสั่งให้ป้าหยางเอาฉากภาพวาดแขวนผนังสี่ฉากในห้องชั้นในออก นางบอกว่าชอบมาก จึงอยากจะนำติดตัวไปที่อารามด้วย”
มีเพียงคนที่จิตใจเข้มแข็งเท่านั้น จึงจะสามารถนิ่งและสงบภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ได้ ไม่แปลกที่จู๋เซียงจะรู้สึกเป็นกังวลใจ
เป้าหมายของสืออีเหนียงก็คือให้นางออกจากจวนสกุลสวีไป
สืออีเหนียงได้ยินแล้วก็ตอบกลับเสียงเบาว่า “ข้าวของในห้องนางมีแค่นิดเดียว นางอยากเอาอะไรติดตัวไปด้วยก็ตามใจนางเถิด เงินทำบุญค่าธูปเทียนและน้ำมันตะเกียงสามสิบตำลึงแบ่งให้สามครั้ง ให้ตอนเทศกาลไหว้บ๊ะจ่างหนึ่งครั้ง เทศกาลไหว้พระจันทร์หนึ่งครั้งและเทศกาลตรุษจีนหนึ่งครั้ง ในเมื่อมีคนในจวนไปอยู่ที่นั่นแล้ว ไม่ว่าจะเป็นความรู้สึกของอารมณ์จิตใจหรือเหตุผล ก็ควรจะไปเยี่ยมนางบ้างถึงจะถูก”
จู๋เซียงจึงเข้าใจขึ้นมา หลังจากที่หยางอี๋เหนียงเดินทางไปแล้ว นางก็ได้จดรายการข้าวของที่หยางอี๋เหนียงนำติดตัวไปลงในสมุดบัญชี เขียนหมายเหตุไว้ที่ด้านข้างของรายการข้าวของ จากนั้นก็ให้ป้ารับใช้งานหยาบสองสามคนมาทำความสะอาดอีกรอบ แล้วจึงค่อยลงกลอนทองแดงที่ประตูใหญ่ของลานสวน
ทางป้าหยางก็ได้เดินทางไปส่งหยางอี๋เหนียงที่อารามต้าเจวี๋ยพร้อมกับป้ารับใช้งานหยาบของจวนสกุลสวี และก็ได้ย้อนกลับมาคำนับสืออีเหนียงที่จวนในวันเดียวกัน จากนั้นนางก็ถือห่อผ้าตามผู้ดูแลของสกุลสวี เดินทางไปเป็นคนเฝ้าเรือนที่สวนไร่นาแห่งหนึ่งของสกุลสวีในมณฑลส่านซี