“ในทุกๆ ปี กรมขุนนางภายในราชสำนักจะมีข้อกำหนดระบุไว้เป็นลายลักษณ์อักษรอย่างชัดเจนว่าเงินเดือนของขุนนางนั้นจะได้รับการพิจารณาตามตำแหน่งของแต่ละคน” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น แม้มุมปากของเขาจะกระตุกขึ้นเล็กน้อย แต่มันก็ไร้ซึ่งความอบอุ่น ”ใต้เท้าเลี่ยว ท่านเป็นเพียงแค่ขุนนางตัวเล็กๆ เท่านั้น ท่านทำอย่างไรจึงสามารถทำให้บุตรชายสวมชุดผ้าปักที่ผืนหนึ่งราคามากกว่าหนึ่งร้อยตำลึงได้หรือ”
นิ้วของเลี่ยวจือฝู่สั่นเล็กน้อย เขาพยายามใช้ตำแหน่งขุนนางของตัวเองข่มอีกฝ่าย ”ที่ปรึกษาหลง ข้ากำลังคุยกับนายน้อยเฉินอยู่ ไม่ใช่เจ้า เจ้าคิดว่าตัวเองเป็น…”
“ตอบคำถามข้ามา!” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยตัดบทเขาด้วยน้ำเสียงอันเย็นชา ดวงตาของเขาทำให้เลี่ยวจือฝู่เย็นวาบไปทั้งหลัง มันเย็นยะเยือกจนแทบทำให้ผิวหนังของเขาเกือบจะถูกแช่แข็งไปด้วย
ทันใดนั้นเลี่ยวจือฝู่ก็พลันรู้สึกได้ถึงความหวาดกลัวที่เขาไม่เคยรู้สึกมาก่อน...
ผู้ว่าการเฉินสังเกตสีหน้าของไป๋หลี่เจียเจวี๋ย และในที่สุดข้อสันนิษฐานที่เขามีอยู่ในใจก็ได้รับการยืนยัน องค์ชายยังไม่ต้องการที่จะเปิดเผยฐานะที่แท้จริงของตัวเอง ดังนั้นเขาเองก็ต้องควบคุมอารมณ์ตัวเองให้ดีเช่นกัน
การคาดเดาความคิดของผู้มีตำแหน่งสูงกว่านั้นเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างมาก ผู้ว่าการเฉินกำลังพยายามอย่างสุดชีวิตที่จะทำตัวให้เป็นธรรมชาติเมื่ออยู่ต่อหน้าไป๋หลี่เจียเจวี๋ย อย่างน้อยเขาก็ไม่ควรเผยพิรุธอะไรออกมา…
“เจ้าคนแซ่เลี่ยว เจ้ารู้หรือเปล่าว่าเจ้ากำลังพูดกับใครอยู่…” ตรงกันข้าม เฉินเหลียงกลับทนไม่ไหวอีกต่อไป เขาอยากยื่นมือออกไปคว้าคอเลี่ยวจือฝู่ขึ้นจากพื้น
ผู้ว่าการเฉินรีบดึงเขากลับมา แล้วเอ่ยอย่างใจเย็นว่า ”ใต้เท้าเลี่ยว หากที่ปรึกษาส่วนตัวของราชสำนักคนนี้ถามอะไร ท่านก็ควรจะตอบคำถามของเขาโดยละเอียด อย่าได้ตัดทอนรายละเอียดอันใดออกไปจะดีกว่า”
ในเมื่อผู้ว่าการสามมณฑลเป็นคนพูดด้วยตัวเอง เลี่ยวจือฝู่จึงจำเป็นต้องตอบคำถาม เขาพยายามปั้นรอยยิ้มบนใบหน้าอย่างสุดความสามารถ พลางตอบว่า ”ใต้เท้าเฉิน ท่านเองก็รู้ว่าข้าไม่ใช่คนมีความสามารถ โดยปกตินั้นข้าชอบการทำธุรกิจเพื่อจุนเจือตระกูลของตัวเองมากกว่า อีกอย่างหนึ่งบุตรชายของข้าก็มีลุงของเขาตามใจมาตลอด เวลามีของอะไรดีๆ เขาก็มักจะส่งมาเป็นของขวัญให้เด็กคนนี้เสมอ”
เขาไขข้อข้องใจเกี่ยวกับตัวเองทั้งหมดด้วยการบอกง่ายๆ ว่ามันเป็นเพียงแค่ ’ของขวัญ’ เท่านั้น
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยกระตุกริมฝีปากบางขึ้น ”เลี่ยวจือฝู่บอกว่ามันเป็นของขวัญ แต่จากที่ข้าได้ตรวจสอบมา เลี่ยวจือฝู่ได้รับเงินช่วยเหลือภัยพิบัติของเมืองฟู่ผิงเข้าบัญชีส่วนตัวของตัวเองตั้งแต่วันแรกที่ท่านได้รับเงินก้อนนั้นมา สิ่งที่คุณชายเลี่ยวใส่อยู่ในเวลานี้ก็ล้วนแต่ซื้อมาด้วยเงินจำนวนนั้น มันจะนับว่าเป็นของขวัญได้อย่างไร”
“เงินช่วยเหลือภัยพิบัติหรือ ข้าไม่เห็นเข้าใจเลยว่าเจ้ากำลังพูดเรื่องอะไรอยู่!” เลี่ยวจือฝู่ว่า เขาดูหวาดกลัวว่าจะมีคนรู้เรื่องนั้นอย่างเห็นได้ชัด ดวงตาของเขาสอดส่ายไปมา หัวใจของเขาเต็มไปด้วยความตระหนกตกใจ เขาคิดว่าจัดการเรื่องนี้ได้อย่างแนบเนียนแล้วเสียอีก แล้วอีกฝ่ายรู้เรื่องนี้ได้อย่างไร
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยหัวเราะ แล้วพูดขึ้นว่า ”ท่านไม่รู้หรือ บางทีเลี่ยวจือฝู่อาจจะอยากให้ข้าช่วยเตือนความจำให้กระมัง”
แม้ที่มุมปากของเขาจะมีรอยยิ้มปรากฏอยู่ แต่สีหน้าของเขากลับเย็นชาเสียจนเลี่ยวจือฝู่ถึงกับไม่สบายใจ
ผู้ว่าการเฉินหันหน้าไปจ้องเขา ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความเดือดดาล ”เงินช่วยเหลือภัยพิบัติหรือ เจ้ายื่นมือเข้าไปยุ่งกับเงินช่วยเหลือภัยพิบัติอย่างนั้นรึ!?”
ผู้ว่าการเฉินคิดว่าอย่างมากที่สุดเลี่ยวจือฝู่ก็คงแค่ไม่รักตัวกลัวตายและหน้ามืดตาบอดไปเพียงชั่วครู่เท่านั้น แต่เวลานี้ เขากลับเริ่มคิดขึ้นมาแล้วว่าผู้ชายคนนี้ช่างสมควรตายยิ่งนัก!
“เจ้ายังมีกฎหมายอยู่ในสายตาหรือเปล่า!” ผู้ว่าการเฉินเคยเป็นแม่ทัพมาก่อน ดังนั้นโดยปกติแล้วเขาจึงสามารถควบคุมอารมณ์ของตัวเองได้เป็นอย่างดี และไม่เคยก่อปัญหาให้กับอดีตฮ่องเต้ แต่เขาโกรธจนควันออกหูทันทีที่ได้ยินว่าเลี่ยวจือฝู่นำเงินช่วยเหลือภัยพิบัตินั้นไปใช้อย่างผิดจุดประสงค์ เขายกเท้าขึ้นถีบเลี่ยวจือฝู่เข้าอย่างแรง!
เลี่ยวจือฝู่ไร้ซึ่งหนทางป้องกันตัว เขารู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดที่บริเวณขาข้างซ้าย พร้อมกันนั้นเขาก็ทรุดลงไปนั่งคุกเข่าลงบนพื้นทันที!
คุณชายเลี่ยวรีบเข้ามายืนกางแขนอยู่ข้างหน้าของเลี่ยวจือฝู่เพื่อปกป้องเขา พร้อมพูดกับผู้ว่าการเฉินว่า ”ใต้เท้าเฉิน พวกเราคุยกันดีๆ ก็ได้นะขอรับ คุยกันดีๆ ก็ได้!”
“ยังมีอะไรให้คุยด้วยรึ!” เฉินเหลียงขัดขึ้น ”ตอนอยู่ที่เมืองหลวงประจำมณฑล คนที่วิ่งเข้ามาชนลูกพี่ของข้าก็คือเจ้า มิหนำซ้ำตอนนั้นเจ้าก็ยังขอโทษลูกพี่ของข้าทันทีด้วยซ้ำ แต่ตอนนี้พอพวกเรามาอยู่ที่เมืองฟู่ผิง เจ้ากลับกล้าให้การเท็จและคิดจะฟ้องร้องลูกพี่ของข้า! คนจากตระกูลเลี่ยวมันก็ทุเรศและน่ารังเกียจเหมือนกันหมด! เจ้ามันก็เหมือนตัวเรือดที่ดีแต่สร้างความทุกข์ให้กับประชาชน! คนที่มีแต่คำหลอกลวงกับความเมตตาจอมปลอมอย่างเจ้าโดนอัดไปแค่ครั้งเดียวก็นับว่าบุญแล้ว!”
ประชาชนทุกคนต่างลุกฮือขึ้นด้วยความโกรธทันทีที่ได้ยินคำพูดนั้น
“ตัวเองเป็นคนไปชนเขา แต่กลับบอกให้อีกฝ่ายเป็นคนชดใช้เงินให้หรือ ข้าก็เพิ่งเคยเห็นคนหน้าด้านไร้ยางอายขนาดนี้เป็นครั้งแรกนี่แหละ!”
“คงเป็นเพราะใต้เท้าเว่ยดูเหมือนชายจนๆ ไม่มีฐานะ พวกเขาเลยคิดว่าจะสามารถรังแกเขาได้ง่ายๆ! พวกเจ้าดูพวกขุนนางที่มาจากเมืองหลวงประจำมณฑลนั่นสิ พวกเขาปกป้องเจ้าคนแซ่เลี่ยวนั่นเป็นอย่างดี พวกเขาคงรวมหัวกันใส่ร้ายป้ายสีใต้เท้าเว่ยเพื่อเอาเขาเข้าคุกอย่างแน่นอน!”
“สวรรค์ตาบอดหรืออย่างไร คนเช่นนี้ขึ้นมาเป็นจือฝู่ได้อย่างไรกัน คนดีๆ เกือบได้ตายคามือของพวกเขาแล้ว! เจ้าพวกนี้ยังติดค้างคำขอโทษกับใต้เท้าเว่ยอยู่เห็นๆ!”
“ใช่แล้ว! พวกท่านต้องขอโทษใต้เท้าเว่ย!”
“ท่านผู้ว่าการเจ้าคะ!” หลิวอินที่ยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชนอ้าปากขึ้น ”ข้าได้ยินมาว่าท่านเชี่ยวชาญในการกำจัดความอยุติธรรมและมอบความยุติธรรมให้กับประชาชนตาดำๆ ในนามของอดีตฮ่องเต้ เวลานี้ที่นี่มีทั้งคนที่รับสินบน เมินเฉยต่อกฎหมายบ้านเมือง และยังพยายามฆ่าขุนนางมือสะอาดอีกด้วย คนเช่นนี้มีจำนวนไม่น้อยทีเดียว ท่านจะสามารถจัดการพวกเขาได้หรือไม่เจ้าคะ ท่านจะให้คำอธิบายแก่พวกเราได้หรือไม่เจ้าคะ”
ทันทีที่นางพูดจบ ไม่ใช่แค่ใบหน้าของพ่อลูกตระกูลเลี่ยวที่แปรเปลี่ยนเป็นซีดเผือด แต่แม้กระทั่งใบหน้าของบรรดาขุนนางทั้งสี่จากเมืองหลวงประจำมณฑลก็ยังพลอยซีดไปด้วย พวกเขาลุกลี้ลุกลน และพยายามที่จะแก้ตัวให้ตัวเอง ”ใต้เท้าเฉิน…”
พวกเขาคิดในใจว่า ต่อให้ใต้เท้าเฉินจะเป็นผู้ว่าการสามมณฑล แต่เขาก็ไม่สามารถลงโทษพวกเขาพร้อมกันได้ในคราวเดียว เขาจำเป็นต้องชั่งน้ำหนักของเรื่องนี้ให้ดีจากทุกแง่มุมของวงการราชการ ถ้าหากเขาทำเกินเลยไป เบื้องบนจะต้องรู้สึกไม่ชอบใจอย่างแน่นอน
แต่พวกเขาคาดไม่ถึงเลยว่าเขาจะสั่งให้จับกุมพวกเขาทั้งหมดจริงๆ!
“ผู้ว่าการเฉิน ท่านไม่กลัวหรือว่าการทำเช่นนี้จะทำให้มีคนไม่พอใจเอาได้” หนึ่งในขุนนางเหล่านั้นคำรามขึ้น ”ท่านกล้าจับพวกเราอย่างไม่เกรงกลัวเลยหรือ เหล่าผู้อาวุโสย่อมไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้แน่”
แต่มันไม่เป็นไปตามที่พวกเขาคิดเอาไว้ ครั้งนี้ผู้ว่าการเฉินไม่มีทีท่าว่าจะสนใจเหล่าผู้อาวุโสพวกนั้นเลยด้วยซ้ำ เขาเอ่ยขึ้นเพียงสามคำว่า ”พาตัวไป”
เวลานี้บรรดาขุนนางทั้งหมดนั้นต่างก็รู้สึกสับสนเป็นอย่างยิ่ง
แม้พวกเขาจะเอาชื่อของเหล่าผู้อาวุโสมาอ้าง แต่ก็ไม่ได้ผลหรือ
คนที่มอบความกล้าให้ผู้ว่าการเฉินทำเช่นนี้ได้คือใครกัน
ขุนนางเหล่านั้นคิดไม่ออก
คุณชายเลี่ยวทำตัวเป็นศัตรูอย่างไม่คิดปิดบัง ”เฉิน ข้าก็แค่พูดจานอบน้อมกับเจ้าและประจบเอาใจเจ้าเพื่อช่วยเจ้ารักษาชื่อเสียงของตัวเองเอาไว้เท่านั้น เจ้ากล้าดีอย่างไรถึงได้จับกุมข้าเช่นนี้! คอยดูก็แล้วกัน!”
พวกเขาไม่เคยเห็นคนที่จองหองอวดดีถึงเพียงนี้มาก่อนเลย
เกือบทุกคนที่อยู่ตรงนั้นได้ยินคำขู่ครั้งสุดท้ายของคุณชายเลี่ยวอย่างชัดเจน
เลี่ยวจือฝู่เป็นคนที่สุขุมเยือกเย็นที่สุดในหมู่พวกเขา แม้มือของเขาจะถูกใส่กุญแจไว้ แต่เขาก็ยังมีแผนการอยู่ในใจ
ตราบใดที่พวกเขาไม่ได้ฆ่าใคร เบื้องบนย่อมไม่ทนอยู่เฉยและมองดูพวกเขาตายอย่างแน่นอน
ต่อให้อีกฝ่ายจะเป็นผู้ว่าการสามมณฑลก็ตาม แต่ผลลัพธ์ที่ออกมาย่อมไม่ต่างกัน
ไม่ว่าผู้ว่าการสามมณฑลจะมีอำนาจเพียงใด แต่เขาจะมีอำนาจเหนือไปกว่าสี่ผู้อาวุโสในเมืองหลวงได้อย่างไร
เจ้าคนแซ่เว่ยนั่นก็แค่ได้รับการสนับสนุนจากตระกูลเฉินเท่านั้น คดีนี้ยังมีโอกาสที่จะพลิกกลับมาได้ทันทีที่พวกเขาถูกส่งตัวไปที่เมืองหลวง…
เมื่อถึงเวลานั้น เขาจะได้เห็นว่าผู้ชนะที่แท้จริงในครั้งนี้คือใครกันแน่!
บรรดาขุนนางทั้งสี่ก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน ดังนั้นทันทีที่พวกเขาถูกนำตัวเข้าห้องขัง พวกเขาก็เริ่มสั่งให้ผู้ใต้บังคับบัญชาของตัวเองที่อยู่ไกลออกไปจัดเตรียมทุกอย่างเอาไว้ และให้พวกเขานำเงินทั้งหมดไปส่งยังสถานที่ที่มันควรอยู่ โดยมีจุดประสงค์เพียงอย่างเดียวนั่นก็คือการสอนบทเรียนให้กับเฮ่อเหลียนเวยเวยและพรรคพวกในวันที่พวกเขาได้กลับไปที่เมืองหลวง!