ในเวลานี้ ข่าวเรื่องที่เฮ่อเหลียนเวยเวยกำจัดคนชั่วเพื่อช่วยเหลือและคืนประโยชน์ให้กับชุมชนของเมืองฟู่ผิงได้แพร่สะพัดไปในหมู่ชาวบ้าน
ทุกคนรู้สึกยินดีกับเรื่องนี้เป็นอย่างยิ่ง พวกเขานำป้ายผ้ามาปักบนไร่นาเรียงต่อกันเป็นทิวแถว ป้ายทั้งหมดนั้นล้วนแต่เต็มไปด้วยถ้อยคำแสดงความซาบซึ้งในบุญคุณของเฮ่อเหลียนเวยเวย
เมื่อผู้ว่าการเฉินเห็นเครื่องสูบน้ำที่ติดตั้งอยู่ริมแม่น้ำ เขาก็รู้สึกตื่นเต้นมากเสียจนเผลอเรียกเฮ่อเหลียนเวยเวยด้วยยศจริงของนางโดยไม่ตั้งใจ ”พระชายาพ่ะย่ะค่ะ! หากอดีตฮ่องเต้ได้มาเห็นสิ่งนี้ เขาจะต้องกล่าวขอบคุณท่านแทนประชาชนทุกคนในจักรวรรดิจ้านหลงอย่างแน่นอน ยังมีพื้นที่ภูเขาอีกหลายแห่งที่ไม่สามารถต้านภัยแล้งได้เพราะนำน้ำขึ้นไปใช้ได้ยาก ดังนั้นในช่วงนี้ของทุกปีจึงมักจะมีผู้คนมากมายมาต่อแถวที่หน้ายุ้งฉางเพื่อขอรับเสบียงฉุกเฉินจากทางเมืองหลวงประจำมณฑลพ่ะย่ะค่ะ! แต่เวลานี้ หากมีสิ่งประดิษฐ์ที่ได้มาจากพระชายาแล้วละก็ ประชาชนของเราก็ไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องอาหารและน้ำอีก…”
ตุ้บ!
หลิวอินทำแตงโมที่หอบอยู่ร่วงลงกับพื้นอย่างแรงจนแตกออกเป็นห้าหกส่วน มิหนำซ้ำเสียงนั้นก็ยังขัดจังหวะบทสนทนาระหว่างผู้ว่าการเฉินกับเฮ่อเหลียนเวยเวยอีกด้วย
เฮ่อเหลียนเวยเวยที่ยังอยู่ในชุดเสื้อคลุมสีขาวดูเรียบง่ายหันหน้ากลับไปมองนาง ปลายหางตาของนางกระตุกขึ้นเล็กน้อย ”มีอะไรหรือ”
“ใต้ ใต้เท้าเฉิน เมื่อครู่นี้เขาเรียกท่านว่าพระชายาหรือเจ้าคะ!?” หลิวอินเริ่มสงสัยว่าหูของนางเพี้ยนไปหรือเปล่า
แต่คาดไม่ถึงว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยกลับเพียงแค่กะพริบตาให้นางอย่างซุกซน แล้วยอมรับอย่างบริสุทธิ์ใจว่า ”ข้าลืมบอกเจ้าไป อันที่จริงแล้วข้าเป็นผู้หญิง”
ไม่ ปัญหามันไม่ได้อยู่ตรงที่ว่าจะเป็นชายหรือหญิงเสียหน่อย!
แต่มันอยู่ตรงที่… พระ พระชายาหรือ!?
หลิวอินตกใจจนรีบลงไปนั่งคุกเข่าลงกับพื้นทันที ”หม่อมฉันไม่คิดเลยเพคะว่าพระชายาจะมาที่นี่…”
“ชู่ว์!” เฮ่อเหลียนเวยเวยยกนิ้วขึ้นจุ๊ปาก แล้วดึงนางขึ้นจากพื้น ”ข้าจงใจปลอมตัวก่อนจะมาที่นี่เพราะไม่อยากให้คนจำได้น่ะสิ”
หลิวอินยังคงสับสนอยู่เล็กน้อย แต่นางก็ฉลาดพอที่จะปิดปากเงียบในเวลานี้
มิน่าล่ะ ไม่แปลกใจเลยที่ผู้ว่าการเฉินไม่ได้ดูสง่าผ่าเผยเท่าใดนักเมื่ออยู่ต่อหน้าใต้เท้าเว่ย ตรงกันข้ามเลยต่างหาก เขากลับดูสุภาพนอบน้อมเกินไปเสียด้วยซ้ำ ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะใต้เท้าเว่ยมีฐานะใหญ่โตถึงเพียงนี้นี่เอง
หากคาดเดาโดยอิงจากเรื่องนี้ เช่นนั้นที่ปรึกษาหลงที่ทำให้ผู้ว่าการเฉินเดินตามเขาด้วยความสมัครใจได้ก็คงมีฐานะใหญ่โตเหมือนกันใช่หรือไม่
คนที่ทรงอำนาจยิ่งกว่าพระชายาในปัจจุบัน หรือว่าจะเป็น…
หลิวอินตกตะลึง นางไม่คิดที่จะหาคำตอบกับเรื่องนั้นอีกต่อไป!
อีกด้านหนึ่ง ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยกำลังยื่นมือออกไปช่วยชีวิตนกพิราบส่งสาส์นจากเงื้อมมือของเด็กชายตัวน้อย สายตาของเขาค่อยๆ เย็นชาขึ้นทีละน้อยขณะอ่านกระดาษแผ่นเล็กที่ดึงออกมาจากนกพิราบตัวนั้น
“เกิดอะไรขึ้นหรือ” เฮ่อเหลียนเวยเวยย่อมสังเกตเห็นอารมณ์ที่เปลี่ยนไปของเขาได้เป็นธรรมดา
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยส่งจดหมายในมือให้นาง แล้วพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า ”งูเลื้อยลงรูแล้ว พวกเราเองก็ควรลงมือเหมือนกัน”
เฮ่อเหลียนเวยเวยเลิกคิ้วขึ้นพลางกวาดสายตาอ่านเนื้อหาในกระดาษ รอยยิ้มเสียดสีปรากฏขึ้นที่มุมปากของนาง ขุนนางพวกนี้ช่างเจ้าเล่ห์เสียไม่มี แม้พวกเขาจะถูกขังอยู่ในคุก แต่ก็ยังมีความคิดสกปรกอยู่ในหัวมากมาย
พวกเขาไม่รู้จริงๆ หรือว่าหนึ่งในกฎของการเป็นขุนนางก็คือเมื่อใดก็ตามที่พวกเขาตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ สิ่งที่พวกเขาควรทำก็คือตัดความสัมพันธ์กับคนที่อยู่เหนือกว่าตัวเอง
หากทำเช่นนั้น บางทีพวกเขาอาจจะมีโอกาสรอดชีวิตอยู่ก็ได้
แต่พวกเขากลับเลือกหนทางที่โง่เขลาที่สุด และเลือกที่จะร้องขอความช่วยเหลือจากคนที่อยู่เหนือกว่าตัวเอง การทำเช่นนี้จะต่างอะไรกับการเดินเข้าสู่ทางตันด้วยตัวเองหรือ
เฮ่อเหลียนเวยเวยกระตุกริมฝีปากบางของตัวเองขึ้นเล็กน้อย แล้วเอ่ยว่า ”ท่านจัดการทุกอย่างในเมืองฟู่ผิงเรียบร้อยแล้วหรือ”
“อืม ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดของเมืองฟู่ผิงคือภัยแล้ง ตอนนี้ในเมื่อปัญหานี้ได้รับการแก้ไขแล้ว ในอีกสามวันให้หลังจะมีนายอำเภอตัวจริงมารับตำแหน่งต่อ เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงไป เพราะนายอำเภอคนใหม่นี้เป็นคนของข้า เขาทำงานดีทีเดียว” น้ำเสียงของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยยังคงสง่างามเหมือนอย่างเคย เขามีความสามารถพิเศษในการโน้มน้าวจิตใจคนเสมอ
เฮ่อเหลียนเวยเวยคิดอยู่ครู่หนึ่ง และเห็นด้วยว่าพวกนางควรที่จะดำเนินการในแผนการขั้นถัดไปได้แล้ว
แม้ว่าการอยู่ที่เมืองฟู่ผิงนั้นจะค่อนข้างดีทีเดียว แต่ก็ยังมีเรื่องสำคัญอีกมากที่นางต้องทำในเมืองหลวง…
เป็นเวลาห้าวันแล้วที่ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยกับเฮ่อเหลียนเวยเวยเดินทางออกจากวังหลวง
ในช่วงห้าวันที่ผ่านมานี้ บรรดาผู้นำของตระกูลเฮ่อเหลียนต่างก็แอบทำการแบ่งทรัพย์สินที่เดิมทีเป็นของตระกูลเฮ่อเหลียนกันอย่างลับๆ
คนส่วนหนึ่งตั้งใจทำเรื่องนี้กันด้วยความระมัดระวังเป็นที่สุด
แต่ก็ยังมีคนอีกส่วนหนึ่งที่วางแผนจะเล่นงานนางอย่างโจ่งแจ้ง พวกเขาหารือกันว่าจะลงคะแนนเพื่อถอดถอนเฮ่อเหลียนเวยเวยออกจากตำแหน่งในอีกสองสามวันหลังจากนี้
พวกเขาคิดเพียงแค่ว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยคงไม่มีโอกาสสร้างผลงานได้อย่างแน่นอน น้อยคนนักที่จะรู้ว่าชื่อของ ’ใต้เท้าเว่ยผู้ทรงธรรม’ ได้แพร่สะพัดไปทั่วเมืองหลวงประจำมณฑลใกล้เคียง และมีเพียงแค่เนินเขาขวางกั้นมันกับเมืองหลวงเอาไว้เท่านั้น
เพราะมีเรื่องที่ต้องส่งต่อก่อนออกเดินทางอยู่อีกมาก เฮ่อเหลียนเวยเวยจึงเรียกนายอำเภอสองคนที่เหลืออยู่หลังจากจบ ’การกวาดล้างคนทุจริต’ เข้ามา แล้วบอกพวกเขาว่านางกำลังจะไปจากที่นี่
นายอำเภอทั้งสองคนเพิ่งคิดว่าในที่สุดพวกเขาก็สามารถสบายใจได้เสียทีเพราะมีขุนนางที่เก่งกาจอยู่ในเมืองฟู่ผิงไปหมาดๆ ใครเล่าจะคิดว่าพวกเขาจะได้รับข่าวเช่นนี้เข้า
“เป็นเพราะคนพวกนั้นมีอำนาจล้นเหลือจนมีผลกระทบต่ออาชีพขุนนางของใต้เท้าเว่ยหรือ” หนึ่งในนายอำเภอเหล่านั้นถามขึ้นอย่างเป็นกังวล
เฮ่อเหลียนเวยเวยยิ้ม แล้วส่ายหน้า ”แทนที่จะบอกว่ามีผลกระทบต่อข้า ข้าคงต้องบอกว่าข้าได้รับการเลื่อนตำแหน่งมากกว่า ข้าได้เลื่อนตำแหน่งให้เข้าไปอยู่ในราชสำนัก”
“เร็วถึงเพียงนี้เชียวหรือ” นายอำเภอนายนั้นรู้สึกว่ามันยากที่จะเชื่อ ใต้เท้าเว่ยเพิ่งมาถึงเมืองฟู่ผิงได้ไม่กี่วันเอง เขาได้รับการเลื่อนขั้นอีกแล้วรึ มันออกจะไม่สมเหตุสมผลไปหน่อยกระมัง ไม่ว่าเขาจะมีฝีมือเพียงใด แต่ก็ต้องมีใครสักคนรายงานเรื่องของเขาให้เบื้องบนรู้มิใช่หรือ!
เมื่อเฮ่อเหลียนเวยเวยเห็นว่าคงไม่สามารถโกหกพวกเขาได้ นางจึงเอ่ยขึ้นโดยไม่ลังเลว่า ”ข้าให้ตระกูลของตัวเองช่วยใช้เส้นสายให้”
นายอำเภอทั้งสองต้องประหลาดใจอีกครั้งเมื่อได้ยินเช่นนั้น พวกเขาคิดมาตลอดว่าใต้เท้าเว่ยเป็นเพียงแค่คนธรรมดา
อย่างไรเลี่ยวจือฝู่ก็น่าจะเคยสืบเรื่องทั้งหมดของใต้เท้าเว่ยมาแล้ว หากใต้เท้าเว่ยเป็นคนมีฐานะจริง เช่นนั้นตระกูลเลี่ยวก็ไม่น่าจะตรวจสอบเรื่องนี้พลาดได้
อีกอย่างหนึ่ง หากดูจากท่าทางของบรรดาขุนนางจากเมืองหลวงประจำมณฑลพวกนั้นแล้ว พวกเขาดูไม่กังวลเลยแม้แต่น้อย และยังพยายามอย่างเห็นได้ชัดที่จะเอาใต้เท้าเว่ยลงจากตำแหน่ง
ทุกอย่างชี้ชัดว่าใต้เท้าเว่ยเป็นคนธรรมดา ไม่มีฐานะอันใด
แต่ตอนนี้ใต้เท้าเว่ยกลับบอกพวกเขาด้วยตัวเองว่า ”ให้ตระกูลของตัวเองช่วยใช้เส้นสายให้”
เส้นสายของตระกูลไหนกันที่จะสามารถทำให้เขาได้รับการเลื่อนขั้นจากตำแหน่งนายอำเภอตัวเล็กๆ ขึ้นไปอยู่ในตำแหน่งที่สูงที่สุดเช่นนั้นได้ มิหนำซ้ำยังใช้เวลาเพียงแค่หกวันเท่านั้น นอกจากนี้ เลี่ยวจือฝู่ที่มีเครือข่ายอยู่ในเมืองหลวงมากมายก็ยังไม่สามารถสืบหาฐานะที่แท้จริงของใต้เท้าเว่ยได้อีกด้วย…
ใต้เท้าเว่ยคงเลือกที่จะโกหกพวกเขา เพราะไม่อยากให้พวกเขากังวล
นายอำเภอทั้งสองสบตากัน จากนั้นพวกเขาจึงมองไปที่เฮ่อเหลียนเวยเวย ความลังเลปรากฏขึ้นในดวงตาของพวกเขา ”ใต้เท้าเว่ย หากท่านมีเรื่องลำบากใจละก็ เล่าให้พวกข้าฟังได้นะ”
เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้ว่าพวกเขาคงเข้าใจผิดทันทีที่นางได้ยินคำพูดนั้น
แต่อย่างไรมันก็ช่วยทำให้นางไม่ต้องเปลืองแรงแก้ตัวต่อ
นางพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม แล้วอธิบายวิธีการในการพัฒนามณฑลใกล้เคียงต่อจากนี้ให้พวกเขาฟัง
นายอำเภอทั้งสองคนตั้งอกตั้งใจฟังราวกับกำลังรับฟังประสบการณ์ชีวิตอันล้ำค่าอยู่ก็ไม่ปาน
ตั้งแต่เครื่องสูบน้ำถูกประดิษฐ์ขึ้น ทุกครั้งที่พูดถึงเฮ่อเหลียนเวยเวย พวกเขาก็อดที่จะรู้สึกประทับใจไปเสียไม่ได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงสิ่งที่เขากำลังส่งต่อให้ทั้งสองอยู่ในเวลานี้เลย แน่นอนว่าสิ่งที่อีกฝ่ายสอนมีประโยชน์เป็นอย่างยิ่ง
เฮ่อเหลียนเวยเวยออกจากเมืองโดยไม่ร่ำลาใครแม้แต่คนเดียว
ผู้ว่าการเฉินกลับไปก่อนหน้าพวกเขาหนึ่งวัน เพราะเขาจำเป็นต้องนำตัวขุนนางเหล่านั้นออกจากที่คุมขังไปขึ้นศาลนั่นเอง…