ตอนที่ 515 สลับตัว
ขั้นตอนต่อไป คือการเลือกรูปภาพจากวิดีโอโฆษณาของUniqueเพื่อนำมาใช้ทำภาพโปสเตอร์
แต่พอหัวหน้าฝ่ายโฆษณาดูวิดีโอโฆษณาของUniqueจนจบแล้ว อยู่ดี ๆ เขาก็เงียบไป
หัวใจของหลินม่ายเต้นแรงจนกระดอนขึ้น ๆ ลง ๆ
เธอกังวลว่าเหตุต่อต้านโฆษณาโดยไร้ความคิดของคนบางกลุ่มจะแพร่กระจายไปยังแวดวงหนังสือพิมพ์และนิตยสารด้วย จึงอาจเป็นเรื่องยากที่โฆษณาจะได้รับการตีพิมพ์ลงในข่าวค่ำปักกิ่ง
ทว่าระหว่างทางก่อนมาถึงที่นี่ เธอก็คิดหาวิธีแก้ต่างมาบ้างแล้วเหมือนกัน แค่ไม่รู้ว่ามันจะได้ผลมากน้อยอย่างไร
หลังจากนั้นไม่นาน หัวหน้าฝ่ายโฆษณาก็พูดด้วยสีหน้าลำบากใจ “เสื้อผ้าของคุณมีรูปแบบทันสมัยเกินไป ผมกลัวว่าผู้อ่านอาจวิจารณ์ว่าเราโปรโมตสินค้าทุนนิยม เกรงว่าคงตีพิมพ์ไม่ได้”
“คำจำกัดความของสินค้าทุนนิยมคืออะไรล่ะคะ?” หลินม่ายพูดอย่างจริงจัง “หมายความว่าประชาชนธรรมดาในประเทศสังคมนิยมของเราต้องแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าเฉิ่มเชยไร้สีสันอย่างนั้นหรือ? แนวคิดนี้ไม่สามารถสะท้อนความสำเร็จของการปฏิรูปและการเปิดประเทศได้เลย หนำซ้ำภาพลักษณ์ของเราในสายตาชาติอื่นก็ยิ่งแย่เข้าไปใหญ่ ดูเหมือนว่าระบบสังคมนิยมจะด้อยกว่าระบบทุนนิยมซะอีก”
หัวหน้าฝ่ายโฆษณาพยักหน้า “ที่คุณพูดมาก็มีเหตุผล แต่เงื่อนไขคือผู้อ่านจะต้องคิดไปในทางเดียวกันกับคุณ ไม่อย่างนั้นต่อให้เราตีพิมพ์โฆษณาของคุณแล้วผู้อ่านเกิดความไม่พอใจ พวกเขาก็จะหาเรื่องร้องเรียนอยู่ดี”
หลินม่ายเสนอ “ถ้าอย่างนั้นลองเขียนประโยคที่ฉันพูดเมื่อกี้เป็นบทความแล้วตีพิมพ์ควบคู่ไปด้วยได้ไหมคะ จะได้ปรับแนวทางความคิดของผู้อ่านเสียใหม่”
หัวหน้าฝ่ายโฆษณาเป็นคนมีไหวพริบ จึงพูดด้วยรอยยิ้ม “คุณกำลังจะบอกว่า ถ้าสำนักหนังสือพิมพ์ของเราเขียนบทความเกี่ยวกับเสื้อผ้าของคุณ แล้วผู้อ่านจะไม่ต่อต้านโฆษณาเสื้อผ้าของคุณสินะ”
กลยุทธ์ของเธอถูกเปิดโปงเข้าแล้ว หลินม่ายได้แต่ยิ้มแก้เขิน “คุณคิดว่ามันจะได้ผลไหม?”
หัวหน้าฝ่ายโฆษณาครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง แล้วแนะนำว่า “แทนที่จะเขียนบทความเพื่อปรับความคิดผู้อ่าน คงดีกว่าถ้าเราเขียนบทความจากการสัมภาษณ์พิเศษ พูดถึงแรงจูงใจและเส้นทางการเป็นผู้ประกอบการของคุณ สิ่งนี้จะทำให้ผู้อ่านจดจำคุณกับแบรนด์เสื้อผ้าของคุณได้ และจะไม่เกิดการต่อต้านโฆษณาใด ๆ จากพวกเขา”
ตอนนี้หน่วยงานระดับสูงต่างให้ความสนใจและช่วยกันประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับผู้ประกอบอาชีพอิสระที่ประสบความสำเร็จ เพื่อกระตุ้นให้ประชาชนหันมาประกอบอาชีพอิสระกันมากขึ้น
ตอนนี้มีผู้อำนวยการโรงงานเอกชนมาจ่อถึงหน้าประตู ในฐานะที่เขาเป็นหัวหน้าฝ่ายโฆษณาก็ไม่อยากพลาดโอกาสนี้
หลินม่ายเองก็แทบรอไม่ไหวเช่นเดียวกัน
อย่างน้อยบทสัมภาษณ์พิเศษของเธอก็ถือเป็นการโฆษณาให้กับแบรนด์Uniqueทางอ้อม
เธอพยักหน้าเห็นด้วยทันที
หัวหน้าฝ่ายโฆษณาเรียกนักข่าวมาทำการสัมภาษณ์เธออย่างไม่รอช้า
ระหว่างให้สัมภาษณ์ หลินม่ายบอกว่าเหตุผลที่เธอตัดสินใจเปิดโรงงานตัดเสื้อ ก็เพื่อให้ผู้หญิงทั่วประเทศมีโอกาสได้แต่งตัวสวย ๆ
เธอไม่ต้องการให้ชาวโลกเหมารวมถึงผู้หญิงในประเทศจีนว่าเป็นความสวยงามที่ขาดสีสัน มีแค่สีเทา สีดำ และสีกรมท่า
เธอไม่อยากให้สหายร่วมชาติที่มีใจรักสวยรักงามสนใจเฉพาะแฟชั่นที่มาจากฮ่องกง ไต้หวัน หรือประเทศหมู่เกาะเท่านั้น
เธออยากสร้างแบรนด์เสื้อผ้าที่ผลิตภายในประเทศขึ้นมา เพราะไม่ให้ผู้หญิงทั่วประเทศเฝ้าอิจฉาความทันสมัยของฮ่องกง ไต้หวัน หรือชาติอื่น ๆ เพียงฝ่ายเดียว
กล่าวโดยสรุปก็คือ เธอต้องการยกระดับกิจการเสื้อผ้าขนาดเล็กไปสู่สายตาของคนในชาตินั่นเอง
เนื่องจากสำนักหนังสือพิมพ์ข่าวค่ำปักกิ่งให้สัญญาว่าจะลงโฆษณาของUniqueภายในวันพรุ่งนี้ เธอจึงไม่ต้องไปที่สำนักพิมพ์ปักกิ่งรายวันอีกต่อไป
หลังเสร็จสิ้นการสัมภาษณ์ หลินม่ายก็เตรียมตัวกลับเกสต์เฮ้าส์ด้วยรถโดยสาร
ระหว่างทางมาที่นี่ เธอเอาแต่นึกกังวลว่าทางหนังสือพิมพ์จะยอมรับโฆษณาของเธอหรือเปล่า เมื่อได้รับการตอบรับที่ดี ขากลับเธอจึงมีอารมณ์ชื่นชมแสงสีของเมืองหลวงมากขึ้น
ขณะที่เธอยืนอยู่ตรงป้ายรถเมล์พร้อมกับกวาดสายตามองไปรอบ ๆ สายตาของเธอก็เหลือบไปเห็นป้ายชื่อถนนตรงทางเข้าซอยที่อยู่ไม่ไกล
ป้ายชื่อถนนนั้นอ่านว่า ‘ตรอกเสี่ยวหยาง’ (แกะน้อย)
ทันใดนั้นหลินม่ายก็นึกขึ้นได้ว่าตอนที่ไป๋ลู่พูดคุยกับเธอ หล่อนบอกว่าตัวเองกับครอบครัวอาศัยอยู่ที่ตรอกเสี่ยวหยางในเมืองหลวง
พอได้ยินแบบนั้นเธอก็อดหัวเราะในใจไม่ได้ คิดว่าชื่อสถานที่ในเมืองหลวงนั้นช่างแปลกประหลาดจริง ๆ
นอกจากตรอกจินอวี๋(ปลาทอง)แล้ว ยังมีตรอกเม่าเอ๋อร์(หมวก) และอื่น ๆ อีกนับไม่ถ้วน ตอนนี้มีตรอกเสี่ยวหยางโผล่มาอีกอัน
หลินม่ายคิดว่าในเมื่อเธอบังเอิญอยู่ใกล้กับบ้านของไป๋ลู่พอดี ก็ควรแวะเอาของขวัญไปเยี่ยมเยียนหล่อนหน่อย
เธอซื้อติ่มซำจากร้านค้าที่ดำเนินการโดยรัฐในบริเวณใกล้เคียง ก่อนจะเดินเข้าไปในตรอกเสี่ยวหยาง
ไป๋ลู่เคยเล่าให้ฟังไว้ว่าบ้านของหล่อนอยู่ในเรือนสี่ประสานหมายเลข 4 ของตรอกเสี่ยวหยาง
บ้านเลขที่ถูกแขวนไว้ให้เห็นอย่างชัดเจนบนทับหลังของประตูเรือนแต่ละหลัง ไม่นานหลินม่ายก็เจอบ้านสี่ประสานหมายเลข 4
เธอจ้องมองที่ประตูที่ปิดไฟมืดอยู่สองสามวินาที จากนั้นก็ก้าวไปข้างหน้าสองก้าว ยังไม่ทันจะเคาะประตู เธอก็ได้ยินเสียงอันเย็นชาโพล่งถามขึ้นจากด้านหลัง “มาหาใครคะ?”
หลินม่ายหันหน้ากลับไปมอง เห็นว่าอีกฝ่ายเป็นหญิงสาวแต่งตัวดี สวมหน้ากากผ้า
หลินม่ายถามเธอ “ขอโทษนะคะ คุณไป๋ลู่อาศัยอยู่ที่นี่หรือเปล่า?”
ก่อนหน้านี้ตอนที่หญิงสาวทักทายเธอ น้ำเสียงไม่สู้ดีเท่าไหร่นัก แต่ตอนนี้เมื่อฟังจากคำพูดจาถึงรู้ว่าเธอเป็นคนมีการศึกษา
หล่อนส่ายหน้า “ฉันอยู่บ้านหลังนี้มาตั้งแต่เด็ก รู้จักทุกคนในซอยนี้ แต่ฉันไม่เคยได้ยินใครที่ชื่อไป๋ลู่มาก่อนเลย คุณผู้หญิงมาตามหาคนผิดบ้านหรือเปล่าคะ?”
หลินม่ายจับสัมผัสได้ว่าผู้หญิงคนนี้ดูแปลก ๆ แต่กลับไม่สามารถระบุได้ว่าสิ่งที่แปลกคืออะไร
เธอสบสายตาหญิงสาวอีกคนด้วยความลังเลใจเล็กน้อย สงสัยว่าตัวเองคงจำผิดไปจริง ๆ ในที่สุดก็ขอตัวจากไป
ดูเหมือนว่าโชคชะตาของเธอกับไป๋ลู่จะผูกพันกันแต่เพียงผิวเผิน ฉะนั้นอย่าดันทุรังตามหาอีกฝ่ายต่อไปเลย
ก่อนจะเดินออกไปจากซอย หลินม่ายเหลือบไปเห็นประตูบ้านหลังหนึ่งที่อยู่ทางซ้ายมือ เห็นว่าใครคนนั้นกำลังจ้องมองมาที่เธออยู่เป็นเวลานาน ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายต้องการอะไรกันแน่
เมื่อเห็นว่าหลินม่ายก็กำลังมองมาทางหล่อนเช่นกัน คุณป้าหน้ากลมที่มีปานบนใบหน้าก็ส่งยิ้มให้อย่างเก้อเขิน เดินกลับเข้าไปในบ้านตัวเอง แล้วปิดประตูเล็กลง
หญิงสาวที่สวมหน้ากากผ้าได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวดังมาจากด้านหลัง ก็รีบหันขวับกลับไปดู เมื่อเห็นว่าประตูเล็กของเพื่อนบ้านที่อยู่ทางซ้ายมือปิดสนิท หล่อนจึงไม่คิดอะไรมาก ยืนเฝ้าดูหลินม่ายเดินจากไปอย่างระมัดระวัง
ขณะนั้นเอง ประตูของเรือนสี่ประสานหมายเลข 4 ก็ส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าด ก่อนจะถูกเปิดออกมาจากข้างใน
ไป๋ลู่ก้าวออกมาจากในบ้าน ถามหญิงสาวที่หน้าตาธรรมดาตรงหน้าว่า “ซวงซวง เมื่อกี้เธอคุยกับใครน่ะ?”
หญิงสาวหน้าตาธรรมดาคนนั้นไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นไป๋ซวง น้องสาวของไป๋ลู่
พอได้ยินคำถามของพี่สาว หล่อนก็รีบหลบตา ซ่อนแววตาซึ่งเต็มไปด้วยความตื่นตระหนกเอาไว้
จากนั้นก็ยกมือขึ้นลูบผมปอยผมไปทัดไว้ข้างหูเพื่อกลบเกลื่อนสีหน้าตัวเอง “เมื่อกี้มีคนเดินผ่านมาถามทาง ฉันก็เลยบอกทางให้หล่อน”
ได้ยินแบบนั้นแล้วไป๋ลู่ก็ชะเง้อคอมองตามแผ่นหลังของหลินม่ายไป ก่อนจะพูดว่า “รีบเข้าเร็ว เธอยังไม่หายจากหวัดเลย อย่ายืนตากลมอยู่นอกประตูนานเกินไป สุขภาพเธอใช่ว่าจะดี คนอื่นอาจยืนตากลมตากน้ำค้างได้ แต่เธอทำอย่างนั้นไม่ได้”
ไป๋ซวงเดินแทรกตัวเข้าไปในบ้านโดยไม่อิดออด ตรงดิ่งไปที่ห้องนอนของตัวเองเพื่อพักผ่อนโดยอ้างว่าเหนื่อย
ความจริงแล้วหล่อนแค่อยากอยู่คนเดียวเพื่อทบทวนเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับชีวิตตัวเอง
ประมาณหนึ่งชั่วโมงก่อน พี่สาวคนโตของหล่อนมีภาวะคลอดยากและตกเลือดอย่างรุนแรง ต้องการรับบริจาคเลือดอย่างเร่งด่วน โชคร้ายที่เลือดกรุ๊ปโอในธนาคารเลือดของโรงพยาบาลมีไม่เพียงพอ
แม่ของหล่อนรู้เข้าเลยพาพี่สาวคนรองและน้องชายไปบริจาคเลือดให้พี่สาวคนโต ในฐานะที่เป็นพี่น้อง หล่อนเองก็ตามไปด้วยเช่นกัน แต่ผลปรากฏว่าหล่อนมีเลือดกรุ๊ปบี
ในเวลานั้นพ่อ แม่ พี่สาว และน้องชายของหล่อนล้วนมีสีหน้าซับซ้อน
ควรรู้ก่อนว่า ถ้าทั้งพ่อและแม่มีเลือดกรุ๊ปโอกันทั้งคู่ บรรดาลูก ๆ ของพวกเขาต้องมีเลือดกรุ๊ปโอเท่านั้น เป็นไปไม่ได้เลยที่ลูกของพวกเขาจะเกิดมามีกรุ๊ปเลือดอื่น
ในเมื่อผู้เป็นแม่ไม่เคยมีพฤติกรรมนอกใจ ความเป็นไปได้จึงเหลือเพียงอย่างเดียว คือหล่อนไม่ใช่ลูกแท้ ๆ
ตอนอยู่ที่โรงพยาบาล หล่อนแอบฟังพ่อแม่พูดคุยกัน ทั้งสองกำลังสงสัยว่าตอนที่พวกเขาไปคลอดหล่อนที่โรงพยาบาลแห่งนั้น ทางโรงพยาบาลทำผิดพลาดโดยสลับตัวหล่อนกับลูกสาวแท้ ๆ ของพวกเขาหรือเปล่า
หลังจากกลับจากโรงพยาบาล จนถึงตอนนี้หัวใจของหล่อนก็เต็มไปด้วยความกระวนกระวาย เพราะไม่รู้ว่าชะตากรรมของตัวเองจะเป็นอย่างไรต่อไป
ขณะที่กำลังนอนเหยียดยาวอยู่บนเตียงและคิดฟุ้งซ่าน หล่นอก็ได้ยินเสียงของไป๋ลู่พี่สาวคนรองดังมาจากลานหน้าบ้าน “แม่กลับมาแล้วเหรอคะ แล้วใครอยู่เฝ้าไข้พี่สาวล่ะ?”
“แม่สามีกับสามีของเธอน่ะสิ” แม่ไป๋ส่ายหน้าด้วยความไม่พอใจ “แม่เกือบระงับอารมณ์ไว้ไม่อยู่ตอนเห็นหน้าแม่สามีของพี่สาวลูก พี่สาวลูกเข้าโรงพยาบาลตั้งแต่เมื่อวาน วันนี้หล่อนกลับอยู่ที่โรงพยาบาลไม่ถึงห้าชั่วโมงด้วยซ้ำ เวรเฝ้าไข้ตอนกลางคืนก็เป็นพี่เขยของลูกกับแม่นี่แหละที่ผลัดกันเฝ้า หล่อนแทบไม่ย่างกรายมาดูดำดูดี ก่อนแม่จะกลับมาที่บ้าน หล่อนเอาแต่บ่นว่าปวดเอวบ้าง เจ็บขาบ้าง ดูออกเลยว่าหล่อนผิดหวังที่พี่สาวของลูกคลอดลูกสาว!”
ไป๋ลู่ปลอบโยน “ช่างเถอะค่ะ ไม่ต้องกังวลไป ขอแค่พี่เขยปฏิบัติต่อพี่สาวดีเสมอต้นเสมอปลายก็พอแล้ว”
ไป๋ซวงเงี่ยหูฟังอย่างกระตือรือร้นอยู่ในห้อง แต่แล้วเสียงของแม่และพี่สาวคนรองของหล่อนกลับเงียบหายไปเสียดื้อ ๆ
หล่อนรู้สึกสับสนเล็กน้อย พวกหล่อนกำลังคุยกันอย่างออกรสแท้ ๆ อยู่ดี ๆ ก็เงียบไปเสียอย่างนั้น
หรือแม่กับพี่สาวรองกำลังพูดในสิ่งที่พวกหล่อนไม่อยากให้หล่อนได้ยิน?
ก่อนหน้านี้ความสัมพันธ์ของหล่อนกับพี่สาวคนรองไม่ค่อยดีนัก บวกกับภูมิหลังของหล่อนถูกเปิดเผยโดยบังเอิญ เท่ากับว่าในตอนนี้หล่อนไม่ใช่ลูกสาวคนที่สามของตระกูลไป๋อีกต่อไป
บางทีนังไป๋ลู่นั่นอาจฉวยโอกาสนี้ยุยงให้พ่อกับแม่ไล่หล่อนออกจากบ้านก็เป็นได้
เมื่อคิดถึงความเป็นไปได้นี้ขึ้นมา ไป๋ซวงก็ลุกพรวดขึ้นจากเตียงทันที
หล่อนเดินย่องไปที่หน้าต่างห้องพร้อมกับมองออกไปข้างนอก เห็นว่าไป๋ลู่กำลังดึงแขนแม่ของหล่อนเข้าไปในห้องนั่งเล่น
ไป๋ซวงหันมองไปทางห้องครัว เห็นว่าสถานการณ์ภายในห้องครัวเงียบสงบ จึงเดาว่าคุณป้าแม่บ้านอาจกำลังยุ่งอยู่กับงานครัว
ตั้งแต่พี่สาวคนโตเข้าโรงพยาบาล ป้าแม่บ้านก็งานยุ่งกว่าเดิมหลายเท่า เพราะต้องทำซุปบำรุงต่าง ๆ สำหรับพี่สาวคนโตมากมาย
ไป๋ซวงเห็นว่าทางสะดวกจึงย่องออกจากห้องนอน แล้วไปยืนแอบอยู่ข้างหน้าต่างห้องนั่งเล่นเพื่อแอบฟัง
หล่อนได้ยินเสียงไป๋ลู่ดังมาจากห้องนั่งเล่น “แม่คะ เราควรพาน้องสาวที่ถูกสลับตัวในโรงพยาบาลกลับมาดีไหม?”
ไป๋ซวงเผลอขบฟันแน่นด้วยความโกรธจัดจนกรามแทบหัก
หล่อนเดาผิดเสียที่ไหน นังสารเลวไป๋ลู่แอบใช้เล่ห์เหลี่ยมลับหลังหล่อนจริง ๆ ด้วย!
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
เดี๋ยวก็จะมีปมเรื่องม่ายจื่อเป็นลูกสาวที่พลัดพรากของตระกูลไป๋ขึ้นมาอีกล่ะสิเนี่ย เตรียมจุดเตาต้มมาม่าเลย
ไหหม่า(海馬)