โชคดีที่นางไม่ใช่สาววาย และโชคดีที่นางรู้ถึงความรู้สึกที่หนิงเซ่าชิงมีต่อตัวเอง มิฉะนั้นนางคงได้คิดว่าหนิงเซ่าชิงกำลังถูกใจถงจื่อจิ้งเป็นแน่!
ว่ากันว่าชอบใครก็มักจะไม่ถูกชะตากับคนๆ นั้นก่อนและเริ่มต้นด้วยการจับผิดคนๆ นั้นมิใช่หรือ
แรกๆ นางกับหนิงเซ่าชิงก็เริ่มต้นด้วยการไม่ถูกชะตากันไม่ใช่หรือไร
มั่วเชียนเสวี่ยมองหนิงเซ่าชิงตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า
จู่ๆ กลับทำให้หนิงเซ่าชิงมึนงงไปหมด เขาหุบยิ้มกระแอมแห้งๆ คำหนึ่ง ก่อนถูปลายจมูกตัวเองอย่างกระอักกระอ่วน
คนผู้นี้หน้าตาดีเกินไปก็เป็นโทษเช่นกัน
สืออู่วิ่งพรวดเดียวไปถึงห้องด้านหลังแล้ว
ยามนี้ขอแค่นางนึกถึงที่วันนั้นคุณหนูบอกว่าจะรับหมั้นเตาหนูให้นาง ใจนางก็เต้นระส่ำแล้ว!
ความรู้สึกเช่นนี้ไม่เกี่ยวกับชอบไม่ชอบ
เดิมทีนางก็ไม่มีประสบการณ์ความรักอะไรนี่อยู่แล้ว และไม่เคยคิดเรื่องระหว่างชายหญิงมาก่อนเลย นางเอาแต่คิดจะรับใช้คุณหนูใหญ่ให้ดี อยู่ข้างกายคุณหนูใหญ่ไปชั่วชีวิตไม่แยกจากไปไหน
แม้ว่าหลายคราที่จะได้พูดคุยกับเตาหนู แต่นั่นเป็นเพราะนิสัยของบุรุษผู้นี้เงียบขรึม ทำให้นางอยากแกล้งอย่างอดไม่ได้
ทว่า…ทว่ายามนี้…
“สืออู่”
กรี๊ด!
สืออู่กำลังคิดคนเดียวอย่างใจลอยอยู่ จู่ๆ ด้านหลังมีเสียงเตาหนูลอยมา
แม้เสียงเตาหนูจะนุ่มทุ้ม แม้ว่าจะระมัดระวัง แต่สุดท้ายก็ทำนางตกใจอยู่ดี
สืออู่รีบหันหลังกลับมาถลึงตาใส่เตาหนูอย่างอดไม่ได้!
คนผู้นี้ไม่เฝ้าเจ้านายดีๆ วิ่งมานี่ทำไม
นางจึงโมโหขึ้นมา “เจ้าทำอะไรน่ะ ไม่รู้หรือไรว่าคนเราสามารถตกใจจนตายได้น่ะ”
จนถึงตอนนี้ดวงใจนางก็ยังเต้นตึกตักอย่างแรง นางตกใจนัก!
เตาหนูเห็นแววตาตำหนิของสืออู่ดวงใจก็พลันละลายลง…
“สืออู่…เจ้าเห็นข้าแล้ววิ่งหนีทำไมเล่า”
แม้ว่าใจจะอ่อนยวบเพราะแววตานาง แต่ก็ยังหงุดหงิดที่ทุกครั้งสืออู่เห็นเขาก็มักจะวิ่งหนีเหมือนหนูเห็นแมวร่ำไป
หากเป็นเช่นนี้เขาหงุดหงิดมากเลยทีเดียว
เดิมทีใจสืออู่ก็วิตกหนักแล้ว ยามนี้ได้ยินเตาหนูถามตนเช่นนี้อีก นางพลันวิตกหนักขึ้นไปใหญ่
นางรีบใช้มือข้างหนึ่งผลักเตาหนูที่ยืนอยู่ตรงหน้านาง ก่อนตะโกนเสียงดังว่า “ข้าวิ่งที่ไหนกันล่ะ! ข้าก็แค่อยากจะมาดูทิวทัศน์ตรงนี้เท่านั้นเอง จะได้เก็บผักป่ากลับไปฝากคุณหนูใหญ่ด้วย คุณหนูใหญ่ชอบกินโจ๊กผักป่าเป็นที่สุด!…เจ้า…เจ้าอยู่ห่างๆ ข้าหน่อย!”
สืออู่ที่ดันเตาหนูออกเอ่ยจบก็แสร้งทำเป็นหาผักป่าบนพื้น
เตาหนูได้ยินดังนั้นสีหน้าพลันทะมึนขึ้นมา
อยู่ห่างๆ นางหน่อยอย่างนั้นรึ
ยามนี้เขาก็ไม่ได้อยู่ใกล้สืออู่เลยนะ หากต้องห่างออกไปอีก ภรรยาเขาคงได้บินหนีไปเลยกระมัง
อีกทั้งตรงนี้มันมีผักป่าอยู่ที่ไหน แถวนี้โดนหวังเทียนซงให้คนมาจัดการตั้งหลายหนแล้ว หญ้าสักต้นยังไม่มีเลย
เตาหนูคิดมาถึงตรงนี้ก็เหมือนเด็กน้อยดื้อรั้น เพิ่งจะถูกสืออู่ผลักออกก็พลันก้าวไปหาก้าวหนึ่ง
เขากางแขนออกพร้อมกับตรงไปหา
พอสืออู่ลนลานก็รีบลุกขึ้น เดิมทีหมายจะหลบหลีก
จนใจที่ด้านหลังเป็นต้นไม้
พอนางหลบไป หลังนางก็พิงไปกับต้นไม้ เตาหนูเดินไปหา สองแขนโอบเข้าหากันจึงแทบจะกดสืออู่เอาไว้ระหว่างอ้อมอกเขากับต้นไม้
“ข้าไม่ไป!” เตาหนูหอบหายใจ เขาจะถามให้กระจ่างแจ้งไปเลยว่ามีตรงไหนของตนที่ทำให้นางไม่ชอบเช่นนี้
หากยังเอาแต่เดินตามต้อยๆ อยู่เงียบๆ ไม่พูดไม่จาเหมือนเมื่อก่อน เกรงว่าภรรยาคงได้ลอยหายไปจริงๆ แน่
“เจ้าจะทำอะไรน่ะ ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้นะ!”
การกระทำนี้ของเตาหนูและคำว่า ‘ไม่ไป’ ยิ่งทำให้สืออู่ลนหนัก
สีหน้านางพลันแดงขึ้นมา หมายจะผลักเขาออกอีก
ทว่าตรงหน้านางคือแผ่นอกของบุรุษ ซ้ำทั้งสองฝั่งก็เป็นแขนของเตาหนู
นางเขินที่จะแตะต้อง มือที่ยื่นออกไปชักกลับอย่างลังเล
ในระหว่างที่กำลังพิพักพิพ่วนนั้น สืออู่ก็ขดตัวของตัวเอง พยายามไม่แตะต้องร่างกายเตาหนู สองมือไม่รู้จะวางตรงไหน จำต้องดึงชายเสื้อตัวเองไว้ ตะโกนแหบๆ อย่างไร้เรี่ยวแรงว่า
“เจ้าปล่อยนะ…”
สืออู่ยามปกติไม่อินังขังขอบอย่างนั้น แต่ความจริงแล้วภายในใสเป็นเด็กน้อยซื่อบริสุทธิ์ยิ่งและขี้อายมากด้วย
“สืออู่! เจ้าชอบข้าบ้างหรือไม่” สืออู่ปฏิกิริยารุนแรงเกินไป ทำเอาเตาหนูค่อนข้างเสียใจ
เขาไม่เข้าจริงๆ ว่าตัวเองไม่ดีตรงไหน นึกไม่ถึงว่าจะทำให้สืออู่รังเกียจเช่นนี้
ชายหยาบกระด้างคนหนึ่งไหนเลยจะไปคิดถึงสภาพจิตใจของเด็กสาวได้ ที่สืออู่เป็นเช่นนี้ก็เป็นเพราะเขินอายต่างหากเล่า
“ชอบไม่ชอบอะไรกันล่ะ! เจ้าพูดได้ไม่อายปากบ้างรึ รีบปล่อยข้าเดี๋ยวนี้นะ อีกเดี๋ยวใครมาเห็นเข้าจะอธิบายอย่างไร”
“ก็ไม่ต้องอธิบายสิ! ไม่ว่าอย่างไรเจ้าก็เป็นภรรยาข้า!” คนพูดจาไม่เป็นให้พูดด้วยกี่ครั้งก็ยังเป็นประโยคเดิม
“ใครเป็นภรรยาเจ้ากัน เจ้าหุบปากเลยนะ เจ้า…เจ้าไปเลย…อื้อ…”
สมกับเป็นนายบ่าวกันจริงๆ วิธีปราบสตรีใช้กันแต่วิธีนี้ทั้งสิ้น!
ใช้จูบปิดปาก!
ทว่าสถานการณ์จริงนั้น
เตาหนูเงอะๆ งะๆ ไม่รู้ว่าต่อจากนี้ควรจะพูดอะไรต่อดี
เขาถูกบังคับให้ฟังเจ้านายสองคนมาไม่ใช่ครั้งสองครั้งแล้ว มักจะได้ยินคุณหนูใหญ่โกรธขึ้นมา แล้วก็เอาแต่พูดๆๆๆ ไม่หยุด นายท่านไม่เถียงสักคำ แต่ใช้ไม้นี้แทน
ดังนั้น…
เขาจึงแอบลอกเลียนมา!
อันที่จริงใจเตาหนูยามนี้ลนลานจะแย่
ไม่ว่าจะทำเป็นหรือไม่ อย่างไรเสียเขาก็ไม่อาจให้สืออู่พูดต่ออีกแล้ว! ยามที่สตรีนางนี้เวลาฉะคนนั้น ทำเอาโมโหจนตายได้เลย!
แต่สืออู่กลับมึน…งง…สมองละเลือนไปหมด…
ด้านนี้อากาศแจ่มใสดี อีกด้านหนึ่งอุณหภูมิกลับต่ำลงเล็กน้อย
“ท่านว่าอะไรนะ” มั่วเชียนเสวี่ยลุกพรวดขึ้นจากที่นั่ง ก่อนมองหนิงเซ่าชิงอย่างเหลือเชื่อ
ถงจื่อจิ้งกลับไปแล้ว หนิงเซ่าชิงหุบยิ้ม ก่อนจะเริ่มพูดเรื่องสำคัญ
ทว่าข่าวที่เขานำมาให้นางมันช่างใหญ่หลวงนัก ทำเอาใจนางที่สงบนิ่งอยู่ดีๆ พลันพลุ่งพล่านขึ้นทันใด
หนิงเซ่าชิงพยักหน้าแสดงให้เห็นว่ามั่วเชียนเสวี่ยไม่ได้หูฝาดไป
“เจิ้นหนานอ๋องถูกฝ่าบาทเรียกไปพบอย่างลับๆ ข่าวนี้จริงแท้แน่นอน”
หนิงเซ่าชิงก็ตกใจสำหรับข่าวนี้เช่นกัน เขาไม่คาดคิดเลยจริงๆ ว่าฝ่าบาทจะเรียกเจิ้นหนานอ๋องเข้าเฝ้าในเวลานี้
ทว่า สามารถมองออกได้จากเรื่องนี้เลยว่า ฝ่าบาทร้อนพระทัยจริงๆ แล้ว ทรงรอเรื่องพวกนั้นไม่ไหวเสียแล้ว!
“แล้ว…ฝ่าบาทเรียกเจิ้นหนานอ๋องกลับมา จะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นรึ” ยามนี้สิ่งที่มั่วเชียนเสวี่ยกำลังกังวลที่สุดก็คือเรื่องนี้นี่แหละ
เจิ้นหนานอ๋องผู้นี้น่ะจะว่าอย่างไรดีล่ะ…
แม้ว่ามั่วเชียนเสวี่ยจะไม่เคยพบมาก่อน แต่ก็ได้ยินคนอื่นๆ พูดถึงอยู่บ้างว่าเจิ้นหนานอ๋องผู้นี้เป็นคนที่ใช้วิธีเหี้ยมโหดทารุณยิ่งนัก