ผู้ใหญ่จะเข้าใจเจตนาและความคิดของเด็กได้อย่างไรกัน
หลังจากที่ส่งเด็กทั้งสองเรียบร้อยแล้ว สืออีเหนียงก็หาวไปหนึ่งครั้ง
“ไปคารวะท่านแม่เสร็จแล้ว ค่อยกลับมานอนต่อดีกว่า” สีหน้าท่าทีของสวีลิ่งอี๋เรียบเฉย แต่สืออีเหนียงที่ได้ยินข้างหูกลับรู้สึกเหมือนว่าเขากำลังยั่วยุอย่างไรอย่างนั้น
นางตีหน้าซื่อแสร้งว่าไม่เข้าใจ ตอบกลับด้วยความมั่นใจว่า “เจ้าค่ะ” จากนั้นก็เอนตัวพิงหมอนอิงใบใหญ่บนที่นั่ง แต่กลับไม่รู้ตัวเลยสักนิดว่าใบหน้าของนางกำลังแดงระเรื่อ
“พี่ใหญ่ได้ตัดสินใจแล้วหรือยังว่าจะไปรายงานตัวกับทางกระทรวงขุนนางเรื่องกลับไปที่สำนักศึกษาฮั่นหลินตอนไหน” สืออีเหนียงถามขึ้นโดยไม่ค่อยใส่ใจเท่าไรนัก “ท่านโหวและพี่ใหญ่มีนัดอะไรหรือไม่เจ้าคะ”
ตนจะได้สั่งห้องครัวทำอาหารถูก
สวีลิ่งอี๋ยิ้มกว้างมากขึ้นกว่าเดิม ไม่กล้าแกล้งนางต่อ เพราะกลัวว่านางจะอายจนกลายเป็นโกรธเคืองแทน
“เห็นบอกว่าจะไปรายงานตัววันพรุ่งนี้” เขาพูดขึ้นด้วยสีหน้าที่จริงจัง “เดิมทีข้าตั้งใจจะชวนเจิ้นซิ่งไปหาหวังลี่เสียหน่อย แต่เจิ้นซิ่งได้เชิญจินฮั่นหลินเพื่อที่จะถามสถานการณ์ของทางสำนักศึกษาฮั่นหลินเสียก่อน คงต้องไว้คุยกันวันหลัง!”
เช่นนี้ก็แสดงว่าหลัวเจิ้นซิ่งจะไม่อยู่ทานอาหารเที่ยงที่จวนสกุลสวี
สืออีเหนียงจึงยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “วันนี้ข้าให้ทางห้องครัวเก็บข้าวสาลีใหม่ไว้ ตั้งใจจะทำขนมเหอเย่ปิ่ง[1]โดยเฉพาะ”
พึ่งจะพูดจบ หลัวเจิ้นซิ่งก็เข้ามาพอดี
สืออีเหนียงจึงยิ้มพร้อมกับลุกขึ้นไปหยิบห่อผ้าที่เตรียมไว้ตั้งแต่แรกยื่นให้กับหลัวเจิ้นซิ่ง “ได้ยินมาว่าที่เรือนของพี่ใหญ่มีคนเข้ามาใหม่ นี่เป็นน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ จากข้าเจ้าค่ะ!”
ด้านในมีปิ่นทองหนึ่งคู่และเครื่องประดับไข่มุกตงจูอีกหนึ่งคู่
หลัวเจิ้นซิ่งรับมาด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม จากนั้นก็ไปคารวะไท่ฮูหยินพร้อมกับสวีลิ่งอี๋และสืออีเหนียง แล้วจึงกลับไปยังตรอกกงเสียน ส่วนสวีลิ่งอี๋ก็ได้ไปหาหวังลี่ ส่วนสืออีเหนียงก็กลับเรือนไปพักผ่อน
พึ่งจะเอนตัวลงนอน คุณนายสามสกุลหวงก็มาหาพอดี
สืออีเหนียงจึงทำได้เพียงลุกขึ้นมาสวมเสื้อผ้า
คุณนายสามสกุลหวงมาจากจวนของฮูหยินสาม สีหน้าของนางเหลืออดเต็มที “ฮูหยินสามของเจ้านี่จริงๆ เลย…เห็นว่าจวนสกุลฟังคุยง่าย จวนสกุลฟังส่งคนมาดูเรือน แต่นางกลับบอกให้ข้าพาพวกเขาไปดูเรือนที่ตรอกซานจิ่งแทน!”
คนบ้านฝ่ายหญิงมาดูที่ทางและขนาดของเรือนหอ ก็เพื่อที่จะเริ่มเชิญช่างมาเตรียมเครื่องเรือนที่จะใช้เป็นสินเดิม แต่กลับพาคนบ้านฝ่ายหญิงไปวัดขนาดเรือนที่ตรอกซานจิ่งแทน เกรงว่าทางฝั่งจวนสกุลฟังจะเข้าใจผิดคิดว่าเรือนที่ตรอกซานจิ่งเป็นเรือนหอ…ก็จะเข้าออกเรือนเพื่อเติมเครื่องเรือนให้เต็ม สินเดิมหนึ่งหมื่นตำลึงเงินของทางฝั่งคุณหนูใหญ่สกุลฟังคงจะไม่พอ แต่หากไม่เติมให้เต็มเรือน เกรงว่าจะถูกผู้คนนินทาว่าสินเดิมของทางฝั่งจวนสกุลฟังนั้นน้อยจนเกินไป
สืออีเหนียงรู้สึกว่าการทำเช่นนี้ค่อนข้างเกินไปหน่อย นางจึงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็พูดขึ้นว่า “เราไปคุยเรื่องนี้กับฮูหยินของรองเจ้ากรมหลิวดีหรือไม่”
คุณนายสามสกุลหวงกลับส่ายหน้าเบาๆ “หลิวฮูหยินเคยบอกแล้วว่าคุณหนูใหญ่สกุลฟังถูกเลี้ยงดูโดยไท่ฮูหยินคนก่อนตั้งแต่เล็กจนโต ตอนที่ไท่ฮูหยินคนก่อนเสีย ได้เก็บทรัพย์สมบัติให้กับคุณหนูใหญ่ไว้เป็นสินเดิมจำนวนหนึ่ง ดังนั้นจวนสกุลฟังก็จะไม่คิดเล็กคิดน้อยเรื่องเงินเรื่องทอง กลัวแต่ว่าหลิวฮูหยินผู้นี้ก็ไม่สามารถตัดสินใจอะไรได้เสียมากกว่า”
แต่ทำเช่นนี้ก็ถือว่าไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง หากข่าวลือกระจายออกไป ผู้คนจะเข้าใจผิดคิดว่าจวนสกุลสวีกำลังฉ้อโกงสินเดิมของลูกสะใภ้เอาได้
“ข้าว่าสู้เราไปคุยเรื่องนี้กับทางจวนสกุลฟังให้เข้าใจดีกว่า เรือนที่ตรอกซานจิ่งเป็นทรัพย์สินที่จะมอบให้จิ่นเกอ เรือนหอก็ไม่ได้สร้างอยู่ในจวนหย่งผิงโหว ให้พวกเขาตัดสินใจเอง ว่าจะไปวัดที่ทางและขนาดของเรือนที่ไหน”
คุณนายสามสกุลหวงถอนหายใจออกมาเบาๆ “ข้าเองก็คิดเช่นนี้ จะให้ข้าพาคนของจวนสกุลฟังไปที่ตรอกซานจิ่ง ข้าทำไม่ลงจริงๆ”
สืออีเหนียงฟังแล้วก็ยิ้มพร้อมกับปลอบใจนางเบาๆ “มิเช่นนั้น ไท่ฮูหยินจะให้พี่หญิงออกหน้าแทนทำไมกัน ก็เพราะนอกจากพี่หญิงแล้ว ก็คงจะไม่มีใครคนอื่นที่จะสามารถทำได้”
ถึงแม้ว่าจะเป็นคำพูดประจบประแจง แต่สีหน้าของคุณนายสามสกุลหวงก็ดีขึ้นไม่น้อย
“เจ้าอย่ามาหลอกข้าให้มากนัก” พูดจบ นางก็วนไปพูดเรื่องของโจวฮูหยินขึ้นมา “นางเป็นแม่สื่อที่มีชื่อเสียงเรียงนาม และมักจะชอบช่วยเป็นแม่สื่อแม่ชัก…” จู่ๆ นางก็พูดถึงเรื่องฟังเจี่ยเอ๋อร์ให้กำเนิดบุตรสาวขึ้นมาอีกครั้ง “ได้ยินมาว่าจวนสกุลโจวถวายหนังสือขอฮ่องเต้รับสนมให้กับไท่จื่อ ฮ่องเต้ทรงไม่ได้ตรัสอะไร แต่ฮองเฮากลับทรงคัดค้านข้อคิดเห็นนี้ ตรัสว่าทั้งสองพึ่งจะอภิเษกสมรสได้ไม่นาน ไท่จื่อก็พึ่งจะรับตำแหน่งองค์รัชทายาท ควรจะเห็นแก่บ้านเมืองเป็นหลัก จึงปัดเรื่องนี้ตกไป!”
เพื่อการนี้ จวนสกุลโจวจึงได้ส่งผลอิงเถาที่พึ่งจะเริ่มขายในตลาดมาให้
สืออีเหนียงไม่สะดวกจะพูดอะไรมาก จึงยิ้มแล้วชวนคุยเรื่องอื่นแทน “สามปีให้กำเนิดบุตรสาวถึงสองคน ถือว่าหาได้ยากยิ่งในแคว้นต้าโจว”
คุณนายสามสกุลหวงเม้มปากยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ข้าว่า ที่หาได้ยากยิ่งคือความรักใคร่มากกว่ากระมัง”
สืออีเหนียงเองก็พลอยยิ้มตามไปด้วย
ทั้งสองคุยกันราวครึ่งค่อนวันเห็นจะได้ คุณนายสามสกุลหวงจึงค่อยขอตัวลากลับ
ป้าซ่งก็เข้ามาปรนนิบัติสืออีเหนียงเข้านอน
“ช่างเถิด!” สืออีเหนียงเห็นว่าใกล้จะเที่ยงแล้ว จึงให้ป้าซ่งนำน้ำแกงโสมมาให้นางหนึ่งถ้วย “ค่อยไปนอนพักช่วงบ่ายทีเดียวก็แล้วกัน”
ป้าซ่งได้ยินแล้วก็หัวเราะออกมาเบาๆ พร้อมกับพูดขึ้นว่า “ไปนั่งเล่นที่เรือนศาลาริมน้ำฉุยหลุนสักครึ่งวันดีหรือไม่เจ้าคะ!”
ปีนั้นได้ทำการซ่อมแซมแต่งเติมเรือนใหม่ สืออีเหนียงและสวีลิ่งอี๋ได้พักอาศัยที่เรือนศาลาริมน้ำฉุยหลุนอยู่หลายเดือน ต่อมาเมื่อย้ายกลับเข้าเรือนหลักไปแล้ว ข้าวของเครื่องใช้ที่อยู่ที่นั่นยังจัดวางอยู่ที่เดิมไม่ได้เคลื่อนย้ายแต่อย่างใด ยังคงมีบ่าวรับใช้มาคอยเก็บกวาดทำความสะอาดไม่ขาดสาย ที่ป้าซ่งบอกกับนางเช่นนี้ ก็เพื่อจะบอกนางเป็นนัยว่าให้อาศัยข้ออ้างไปนั่งเล่นที่เรือนศาลาริมน้ำฉุยหลุนแล้วนอนพักเสียหน่อย แต่ทว่านางก็ไม่ได้ดูแลธุระในจวนแล้ว หากจะนอนพัก เหตุใดต้องไปนอนถึงเรือนศาลาริมน้ำฉุยหลุนด้วย
“ถึงเวลาค่อยว่ากันอีกทีก็แล้วกัน!” นางปฏิเสธความคิดเห็นของป้าซ่งไปอย่างสุภาพ ขณะที่กำลังคิดว่าจะให้บ่าวรับใช้ไปดูสวีซื่อเจี้ยเสียหน่อยว่าเหตุใดเขาถึงยังไม่กลับมา ซื่อสี่สาวใช้ข้างกายของสวีซื่อเจี้ยก็มาพอดี “ฮูหยิน คุณชายน้อยสี่พาคุณชายน้อยห้าไปที่เรือนของไท่ฮูหยินเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงขมวดคิ้วแน่น
สวีลิ่งอี๋มีข้อกำหนดสำหรับเวลาเรียนและเวลาพักผ่อนของสวีซื่อจุนอย่างชัดเจน เฉพาะยามเช้าและยามค่ำเท่านั้นที่จะสามารถเข้าไปที่เรือนชั้นในได้ นอกเหนือจากเวลานี้ หากไม่ได้รับอนุญาตจากไท่ฮูหยินและสืออีเหนียง ห้ามเข้าไปในเรือนชั้นในตามอำเภอใจโดยพลการอย่างเด็ดขาด
“เจ้าไปรออยู่นอกเรือนชั้นใน หากคุณชายน้อยห้าออกมาแล้วก็รีบพากลับมาทันที!”
ซื่อสี่ขานรับอย่างนอบน้อม จากนั้นก็ไปยังเรือนของไท่ฮูหยินทันที เวลาผ่านไปราวครึ่งก้านธูปซื่อสี่จึงค่อยกลับมา “ฮูหยิน ไท่ฮูหยินให้คุณชายน้อยสี่และคุณชายน้อยห้าอยู่ทานอาหารเที่ยงแล้วก็นอนพักผ่อนที่เรือนชั้นในเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงจึงให้สาวใช้น้อยเตรียมตั้งโต๊ะอาหารเที่ยง ในใจกำลังครุ่นคิดว่าควรจะพูดเรื่องนี้กับสะใภ้หนานหย่งอย่างไรดี
*****
ไท่ฮูหยินหันไปจ้องมองสีหน้าที่จริงจังของสวีซื่อจุนพร้อมกับหัวเราะออกมาเบาๆ “มารดาของเจ้าก็แค่ตื่นสาย ไม่จำเป็นว่าจะต้องป่วยเสียหน่อย! หากเจ้าไม่สบายใจจริงๆ ก็ควรจะถามมารดาของเจ้าออกไปตรงๆ ต่อไปภายภาคหน้าเวลาจะทำอะไรก็อย่าเดาส่งเดชแล้วไปตัดสินเอาเอง เข้าใจหรือไม่”
สวีซื่อจุนขานรับด้วยความเก้อเขิน
จากนั้นไท่ฮูหยินก็ให้เก๋อจินพาสวีซื่อจุนและสวีซื่อเจี้ยไปนอนพักกลางวันที่เรือนหน่วนเก๋อ อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาเสียงดังด้วยความตลกขบขัน
ป้าตู้ที่คอยฟังเหตุการณ์อยู่ข้างๆ ก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะตาม
จากนั้นไท่ฮูหยินก็ให้ป้าตู้ไปหยิบเอาหนังสือ ‘ตีความอักษร’ มา “ข้าจะดูดีๆ เสียหน่อย หากมีหลานคนใหม่จริงๆ ควรจะตั้งชื่อว่าอะไรดี!”
*****
ช่วงบ่าย คุณนายสี่สกุลหลัวก็ได้พาอี๋เหนียงคนใหม่มาคารวะสืออีเหนียง
สืออีเหนียงเชิญพวกนางเข้ามานั่งในเรือน ถือโอกาสตอนที่สาวใช้ไปรินน้ำชาสังเกตดูหวังอี๋เหนียงอย่างละเอียดถี่ถ้วน
นางอายุเพียงแค่สิบสี่ สิบห้าปีเท่านั้น หน้าตางดงามสะอาดหมดจด จัดผมทรงมวยกลม ปักด้วยปิ่นเงินดอกเถาฮวา สวมเสื้ออ่าวเล็กผ้าแพรหังโจวสีชมพูและกระโปรงจับจีบจันทราทรงกลดสีน้ำเงินเขียว ร่างน้อยเอวบาง นางกำลังนั่งก้มหน้าเล็กน้อย ดูสงบเสงี่ยมเป็นอย่างมาก
เมื่อเห็นสาวใช้ยกน้ำชามาให้ นางก็รีบลุกขึ้นมาทันที เมื่อเห็นว่าคุณนายสี่สกุลหลัวยังคงนั่งอยู่ที่เดิม ใบหน้าของนางก็ค่อยๆ แดงระเรื่อขึ้นมา แล้วจึงค่อยๆ หย่อนตัวนั่งลงตามเดิม ดูเหมือนว่านางจะถูกเลี้ยงดูมาอย่างเคร่งครัด
คุณนายสี่สกุลหลัวและสืออีเหนียงกำลังพูดคุยถึงเรื่องอิงเหนียง “…นางเป็นหวัด ก็เลยให้นางพักอยู่ที่จวน” จากนั้นนางก็ได้เหลือบไปมองกิริยาท่าทางของหวังอี๋เหนียง ยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “คุณหนูสิบเอ็ดเป็นพระญาติของเชื้อพระวงศ์ ให้ความสำคัญกับกฎเกณฑ์และขนบธรรมเนียมเป็นที่สุด ถึงแม้ว่าเจ้าจะเป็นอนุภรรยา แต่ก็ถือเป็นเจ้านายของจวนคนหนึ่ง ยิ่งไปกว่านั้นเรามาเป็นแขกของคุณหนูสิบเอ็ด ไม่เหมือนกับตอนอยู่ที่จวน มีสาวใช้น้อยยกน้ำชามาให้ เจ้าเพียงแค่น้อมรับก็พอ ไม่จำเป็นต้องลุกขึ้น” คาดไม่ถึงว่านางจะสอนมารยาทและกฎเกณฑ์ให้กับหวังอี๋เหนียง
ใบหน้าของหวังอี๋เหนียงแดงก่ำเข้าไปใหญ่ นางก้มหน้าลงต่ำพร้อมกับขานรับเสียงเบาว่า “เจ้าค่ะ”
คุณนายสี่สกุลหลัวจึงค่อยหันมายิ้มให้กับสืออีเหนียงพร้อมกับอธิบายว่า “นางเหมือนกับข้า เติบโตจากหมู่บ้านในชนบท จึงยังต้องสอนและชี้แนะให้มาก ยังดีที่คุณหนูไม่ใช่คนนอก”
สืออีเหนียงจึงยิ้มพร้อมกับหันไปพูดกับหวังอี๋เหนียงว่า “เจ้าทำตัวตามสบาย” จากนั้นก็หันไปคุยกับคุณนายสี่สกุลหลัวเรื่องเมื่อครู่นี้ต่อ “อิงเหนียงเป็นหวัดหรือ อาการหนักหรือไม่ ได้เชิญหมอมาดูอาการแล้วหรือยัง แล้วหมอสั่งยาอะไรบ้าง”
คำถามถูกถามออกไปอย่างต่อเนื่อง เห็นได้ชัดว่านางค่อนข้างเป็นห่วง
คุณนายสี่สกุลหลัวจึงรีบตอบกลับว่า “อาการไม่ร้ายแรง ได้เชิญหมอหลวงอู๋ของสำนักหมอหลวงมาช่วยตรวจดูอาการอย่างละเอียด บอกว่าทานยาสักสองชุดก็หายดีเป็นปกติ”
“เช่นนั้นก็ดี!”
ทุกคนพูดคุยกันอยู่ครู่หนึ่ง คุณนายสี่สกุลหลัวก็ได้พาหวังอี๋เหนียงขอตัวลากลับ
ตกค่ำ ก็ไปคารวะไท่ฮูหยิน ไท่ฮูหยินจับมือของสืออีเหนียงมาสังเกตดูเสียยกใหญ่ จากนั้นก็ได้ถามว่าสุขภาพร่างกายของนางเป็นอย่างไรบ้าง ได้ทานรังนกวันละสองถ้วยตามที่หมอหลวงแนะนำหรือไม่ ยังได้ถามอีกว่ารังนกที่ห้องเก็บของพอหรือเปล่า หากว่าไม่พอก็ให้มาเอาที่นาง ให้สืออีเหนียงเอาไปทาน แล้วยังบอกอีกว่าให้บำรุงรักษาร่างกายให้ดี จากนั้นก็หันไปตำหนิสวีลิ่งอี๋ว่า “นางนิสัยใจคอว่านอนสอนง่าย เจ้าก็ควรจะเป็นคนตัดสินใจแทนถึงจะถูก เจ้าดูสืออีเหนียง ตาช้ำไปหมดแล้ว…ตอนนี้นางอายุยังน้อย ย่อมไม่มีปัญหาอะไร ผ่านไปอีกไม่กี่ปี หากร่างกายอ่อนแอลง! หรือเจ้าอยากจะแบกคำครหาที่ว่ามีดวงที่ส่งผลร้ายต่อภรรยาหรือ”
นานมากแล้วที่สวีลิ่งอี๋ไม่โดนมารดาตำหนิติเตียนเช่นนี้ เขาจึงค่อนข้างทำตัวไม่ถูก กลับเรือนไปก็กลัวว่าสืออีเหนียงจะไต่ถามเขา แต่นึกไม่ถึงว่าป้าซ่งจะมาบอกว่าสืออีเหนียงเข้านอนตั้งแต่หัวค่ำแล้ว
เขาค่อยๆ ขึ้นไปบนเตียง สืออีเหนียงไม่ได้ขยับตัวเลยแม้แต่น้อย
สวีลิ่งอี๋รู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมาก
เขาจ้องมองใบหน้าของนางอย่างพินิจ
ก็ไม่เห็นว่าจะช้ำตรงไหน แต่เหตุใดถึงรู้สึกว่านางผอมลง
เขาค่อยๆ โอบกอดนางไว้ในอ้อมแขน
“อืม” สืออีเหนียงเอื้อนเอ่ยเสียงเบาโดยที่ไม่ได้ลืมตาขึ้นมา จากนั้นนางก็หนุนศีรษะไว้ที่แขนของเขา แล้วจึงนอนหลับต่อ
สวีลิ่งอี๋รู้สึกว่าไท่ฮูหยินพูดเกินจริงไปหน่อย แต่เมื่อเห็นว่าสืออีเหนียงหัวถึงหมอนเป็นหลับเช่นนี้ติดต่อกันหลายวัน ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเสียใจขึ้นมา
หากรู้ว่าจะเป็นเช่นนี้ เขาก็คงจะไม่ตามใจตัวเองขนาดนั้น เท่ากับว่าตอนนี้เขาได้ทานข้าวสารที่กักตุนจนหมดเกลี้ยงแล้ว สู้ทานทีละน้อยแต่ทานได้นานเสียยังดีกว่า จะได้หยอกเล่นกับสืออีเหนียงวันละนิดวันละหน่อยก็ยังดี
สืออีเหนียงกลับไม่ได้คิดอะไรมาก
นางได้พักผ่อนไปหลายวัน รู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาก นางยังคงฟังคุณนายสามสกุลหวงบ่นถึงฮูหยินสามทุกวัน ถือโอกาสนี้ฟังความคืบหน้าเรื่องงานแต่งของสวีซื่อฉินว่าเดินหน้าไปถึงไหนแล้ว ไม่นานก็ถึงปลายเดือนสี่
ทางฝั่งซื่อเหนียงก็ได้มีข่าวดีมาแจ้ง
“ฮูหยินของบ่าวให้กำเนิดคุณชายน้อยอีกแล้ว เนื้อตัวอ้วนกลมและผิวขาว หนักแปดชั่งเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงก็ได้ให้เงินตอบแทนน้ำใจให้กับคนที่มาแจ้งข่าว จากนั้นก็ได้ไปร่วมพิธีสรงสาม ตามมาด้วยงานเลี้ยงดื่มสุราครบเดือน สืออีเหนียงดูแลเด็กๆ และทำถุงเท้าฤดูร้อนให้กับสวีลิ่งอี๋…ยุ่งวุ่นวายเช่นนี้ทุกวัน ไม่นานก็ถึงเทศกาลไหว้บ๊ะจ่าง แต่ละจวนก็ได้นำของขวัญมาฝากตามขนบธรรมเนียม แล้วก็ผ่านเลยไปถึงกลางเดือนหก
ฮูหยินห้าคลอดบุตรชายได้อย่างราบรื่น!
ไท่ฮูหยินดีใจจนหุบยิ้มไม่ได้ นางทั้งกอดทั้งหอมจิ่นเกอที่เอาแต่พยายามคลานลงจากเตียงไม่หยุดไม่หย่อน “เป็นความโชคดีที่จิ่นเกอนำมาให้ มาคนเดียวไม่ว่า แต่ยังพาน้องชายมาด้วย!” จากนั้นสายตาก็จับจ้องไปยังท้องของสืออีเหนียง
ใบหน้าของสืออีเหนียงพลันแดงระเรื่อขึ้นมาทันที ยังดีที่ว่าสายตาของทุกคนกำลังจดจ่อไปยังสวีลิ่งควนที่กำลังอุ้มบุตรชายพร้อมกับหัวเราะเสียงดังด้วยความดีใจ และกำลังพากันพูดคุยถึงหน้าตาของทารกแรกเกิดคนนี้
ฮูหยินห้าที่กำลังนอนอยู่บนเตียงก็ได้หันไปมองสามีด้วยสีหน้าท่าทีที่ภาคภูมิใจ
“พอดีเลย!” ฮูหยินสามที่เข้าเมืองเยี่ยนจิงเพราะเรื่องงานแต่งของบุตรชายก็ได้พูดขึ้นด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม “รอจัดงานเลี้ยงครบเดือนเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็พอดีกับงานแต่งของฉินเกอ หลังจากที่จัดงานแต่งของฉินเกอเสร็จเรียบร้อยแล้วก็พอดีกับงานเลี้ยงครบร้อยวัน เด็กคนนี้เลือกวันเกิดได้ดีจริงเชียว”
สืออีเหนียงกลับนึกถึงสวีซื่อเจี้ยตัวน้อยๆ ที่กำลังนั่งตัวตรงคัดอักษรด้วยพู่กันอยู่บนโต๊ะของเตียงเตาขึ้นมา
———————————————
[1]เหอเย่ปิ่ง หรือ ชุนปิ่ง เป็นอาหารจีนที่หาทานได้เฉพาะทางตอนเหนือของประเทศจีนเท่านั้น วิธีการทำคือ การนำแผ่นแป้งบางๆ มาห่ออาหารไว้ภายใน แล้วม้วนให้มีลักษณะคล้ายปอเปี๊ยะบ้านเรา โดยอาหารที่นำมาทำเป็นไส้จะเป็นกับข้าว แล้วแต่ผู้ทานจะสั่ง