“ดีมาก” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยค่อยๆ ใช้ตะเกียบคีบกุ้งตัวหนึ่งให้เขา ”กินข้าวเถอะ กินเสร็จแล้วเจ้าค่อยล่วงหน้ากลับวังหลวงไปก่อน”
องค์ชายเจ็ดตัวน้อยทำตาโต ”พี่สาม ข้าไม่อยากกลับ ทำไมท่านถึงบอกให้ข้ากลับวังล่ะขอรับ!”
“ตอนที่เจ้ากลับไปถึงวังหลวง บอกคนที่นั่นว่าเจ้าปวดท้องเพราะกินกุ้งพวกนี้ซะ” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยยื่นมือออกไปจัดเสื้อผ้าให้กับเด็กชายตัวน้อย
ในเวลาเดียวกันนั้นบรรดาองครักษ์เงาต่างพากันคิดขึ้นมาในใจว่า ตั้งแต่องค์ชายเจ็ดตัวน้อยเกิด เขาก็ไม่เคยป่วยหนักมาก่อน นอกเสียจากตอนเป็นไข้ครั้งนั้น แต่คืนนั้นองค์ชายสามก็กอดเขาเอาไว้ทั้งคืน
นอกจากนั้นองค์ชายเจ็ดตัวน้อยก็ยังไม่เคยมีปัญหากับการกินเนื้อมังกรหรือสัตว์อสูรประหลาดๆ เลยด้วยซ้ำ!
จะเป็นไปได้อย่างไรที่เขาจะปวดท้องเพราะกุ้งพวกนี้
ขณะที่พวกเขากำลังครุ่นคิดเรื่องนั้นอยู่นั่นเอง…
เด็กชายตัวน้อยกลับมองแผนการของพี่สามออกอย่างทะลุปรุโปร่ง เขารีบนั่งตัวตรง และเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าหล่อเหลา ”เช่นนั้นข้าคงต้องพยายามแสดงละครให้เหมือนจริงกว่านี้แล้วขอรับ พี่สาม ท่านต้องส่งหมอหลวงกลับไปพร้อมข้านะขอรับ หืม ข้าคงต้องสั่งให้องครักษ์เงาตัวน้อยของข้าช่วยจดชื่อภัตตาคารพวกนี้ให้ข้าด้วย เพื่อข้าจำชื่อผิดขึ้นมา!”
“ไปเถอะ” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยผละมือออก รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าหล่อเหลาทรงเสน่ห์ของเขาก่อนจะหายไปอย่างรวดเร็ว
เด็กชายตัวน้อยพยักหน้าอย่างแรง เขายังเดินได้ไม่แข็งเลยด้วยซ้ำ แต่ทักษะวิชาตัวเบาของเขากลับอยู่ในขั้นสมบูรณ์แบบ เขาสะกิดปลายเท้าเบาๆ ทันทีที่ออกจากภัตตาคาร แล้วกระโดดขึ้นไปบนกิ่งไม้ องครักษ์เงาตามเขามาที่ด้านหลัง
ไม่มีใครเห็นภาพนั้นแม้แต่คนเดียว
เฮ่อเหลียนเวยเวยเลิกคิ้ว แล้วมองชายที่นั่งข้างนาง ”พวกเราเขียนจดหมายส่งไปที่วังหลวงไม่ได้หรือ ทำไมท่านถึงยืนกรานที่จะส่งเจ้าเจ็ดกลับไปด้วยล่ะ”
“เขาเป็นก้างขวางคอพวกเรามาตลอดทาง เจ้าอยากให้เขาอยู่ต่อหรือ” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยตอบคำถามนั้น น้ำเสียงของเขาฟังดูเยือกเย็นราวกับเพิ่งพูดข้อเท็จจริงออกมา
เฮ่อเหลียนเวยเวยคิดหาคำตอบเรื่องนี้มาครู่ใหญ่ แต่ก็เดาไม่ออกเลยว่าสาเหตุที่แท้จริงจะเป็นเช่นนี้ นางรู้สึกตกตะลึงเล็กน้อย
เหล่าองครักษ์เงาพากันเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าโดยพร้อมเพรียงกัน : …
องค์ชายน้อยผู้น่าสงสาร ท่านถูกพี่สามหลอกเข้าอีกแล้ว
“เอาล่ะ ไปกินข้าวที่ร้านอื่นกันดีกว่า กุ้งไร้วิญญาณพวกนี้ช่างน่ารังเกียจยิ่งนัก” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยนั่งไขว่ห้าง แม้เขาจะไม่ได้แต่งตัวดูดีเท่าใดนัก แต่ท่านี้ก็ทำให้เขาดูเหมือนคุณชายที่เดินออกมาจากตระกูลขุนนางไม่มีผิด
หากว่ากันตามจริงแล้ว ใบหน้าหล่อเหลานั่นต่างหากที่เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด เฮ่อเหลียนเวยเวยเช็ดมุมปากแล้วลุกขึ้นตามไป๋หลี่เจียเจวี๋ย จากนั้นทั้งสองก็เดินออกจากภัตตาคารไห่ปิน สุดท้ายกว่าพวกเขาจะได้ทานมื้อกลางวันของจริงก็ปาไปเสียเย็น
เมื่อผู้ว่าการเฉินได้รับคำสั่งจากไป๋หลี่เจียเจวี๋ยอีกครั้ง เขาก็รู้สึกตื่นเต้นยิ่งนัก ทีแรกเขาคิดว่าองค์ชายสามจะตรงกลับเมืองหลวงเลยเสียอีก แต่นึกไม่ถึงเลยว่าองค์ชายสามจะมาที่เมืองหลวงประจำมณฑลแทน
เมื่อเป็นเช่นนี้เขาจะได้แก้ปัญหาที่เขาแก้ไม่ตกได้เสียที
เมื่อคิดได้ดังนั้น ผู้ว่าการเฉินจึงหันกลับไปสั่งข้ารับใช้ของตัวเองว่า ”นำเรื่องนี้ไปแจ้งขุนนางทั้งหมดในเมืองหลวงประจำมณฑลซะ บอกพวกเขาว่าจะมีคนเข้ามารับตำแหน่งรองผู้ว่าการของเมืองหลวงประจำมณฑล”
“ขอรับ” เด็กรับใช้เงยหน้าขึ้นด้วยความสงสัย ”ใต้เท้า แค่นี้หรือขอรับ เราจะไม่แจ้งให้ทุกคนรู้หรือขอรับว่าเขาเป็นใครมาจากไหน”
ดวงตาของผู้ว่าการเฉินหรี่ลงเล็กน้อย ”บอกแค่นั้นก็พอ” มีแต่วิธีการนี้เท่านั้นที่จะทำให้องค์ชายบรรลุผลลัพธ์ที่ต้องการได้
เหล่าขุนนางในเมืองหลวงประจำมณฑลค่อนข้างรู้สึกเป็นกังวลเมื่อพวกเขารู้ข่าวนี้ อย่างไรเลี่ยวจือฝู่ที่เคยอยู่ในเมืองหลวงประจำมณฑลแห่งนี้ก็เพิ่งเจอปัญหาใหญ่ไปเมื่อวานนี้ อีกทั้งเพื่อนร่วมงานอีกสี่คนของพวกเขาก็ยังมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนั้นด้วย
ตอนนี้มีตำแหน่งทางราชการในเมืองหลวงประจำมณฑลว่างอยู่ก็จริง แต่การที่มีขุนนางคนใหม่เข้ามารับตำแหน่งรวดเร็วถึงเพียงนี้ย่อมไม่ใช่เรื่องปกติ เพราะเลี่ยวจือฝู่ยังไม่ทันถูกส่งตัวไปที่เมืองหลวงเพื่อไต่สวนคดีเลยด้วยซ้ำ
แต่พอมาคิดดูให้ดีอีกที พวกเขาก็พบว่ามันคงไม่มีอะไรให้ต้องเป็นห่วงนัก
ขุนนางบางส่วนเชื่อเป็นอย่างยิ่งว่าเลี่ยวจือฝู่คงไม่ได้รับโทษแต่อย่างใด อย่างมากที่สุดก็คงแค่โยกย้ายตำแหน่งเท่านั้น
ตราบใดที่บรรดาผู้อาวุโสยังมีชีวิตอยู่ ทุกสิ่งที่คนพวกนั้นพยายามทำในเมืองหลวงประจำมณฑลย่อมเสียแรงเปล่าทั้งสิ้น!
ยกตัวอย่างเช่นเจ้าคนแซ่เฉินที่คิดว่าตัวเองมีอำนาจเพียงเพราะเป็นผู้ว่าการสามมณฑลผู้นั้น ทันทีที่เขาก้าวเท้าเข้าไปในเมืองหลวง เขาก็จะกลายเป็นเพียงแค่คนธรรมดาเท่านั้น!
ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการดึงขุนนางคนใหม่ที่ว่านั่นเข้ามาอยู่ฝ่ายเดียวกับพวกเขา
ขุนนางเหล่านั้นเดินทางมาที่จวนของจือฝู่พร้อมกับแผนการในใจ รอไม่ถึงครึ่งก้านธูปพวกเขาก็เห็นรถม้าคันหนึ่งมุ่งหน้ามาทางพวกเขาอย่างช้าๆ ไม่มีทหารจากศาลาว่าการติดตามมาด้วย จะมีก็แต่องครักษ์ในชุดสีดำสนิทกับดาบคู่ใจเท่านั้น พวกเขาเดินขนาบข้างรถม้าราวกับกำลังอารักขามันอยู่
“เพื่อนร่วมงานคนใหม่ของพวกเรามาถึงแล้ว!” ใครบางคนเริ่มลงมือตามแผนที่วางไว้ คนคนนั้นคือแม่ทัพจากกองทหารรักษาการณ์ที่ผู้ว่าการเฉินกลัวมาตลอดนั่นเอง แม่ทัพคนนี้ไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นกำลังหลักในกองทัพของผู้อาวุโสเฮ่อเหลียน ชื่อของเขาคือเลี่ยวฉิงเทียน เลี่ยวจือฝู่กับเขาเป็นพี่น้องร่วมมารดาเดียวกัน
ตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ สาเหตุที่ทำให้พวกเขาไม่สามารถตรวจสอบเรื่องในเมืองฟู่ผิงได้แม้จะมาที่เมืองหลวงประจำมณฑลกี่ครั้งก็ตามนั้นมาจากพี่น้องคู่นี้ พวกเขาใช้อำนาจทางการทหารและทางการเมืองควบคุมพื้นที่นั้นเอาไว้ทั้งหมดจนยากจะหาช่องทางบุกเข้าไปได้
ไม่ว่าผู้ว่าการเฉินจะมีตำแหน่งสูงเพียงใด แต่มันก็ไร้ค่าเพราะเขาไม่มีกำลังทหารอยู่ในมือ
เลี่ยวฉิงเทียนเคยคว้าชัยในสงครามจริงมาก่อน ผู้ว่าการเฉินกลัวว่าแม่ทัพจากตระกูลอื่นๆ จะเกิดความสงสัยเอาได้หากเขาทำอะไรเลี่ยวฉิงเทียน และการทำเช่นนั้นอาจทำให้อดีตฮ่องเต้ตกอยู่ในสภาพเสียเปรียบเป็นอย่างมาก
ดังนั้นต่อให้ภายในเมืองหลวงประจำมณฑลจะมีปัญหาเกิดขึ้นมากมาย แต่เขาก็ไม่สามารถทำอะไรรุนแรงได้ตราบใดที่เลี่ยวฉิงเทียนไม่ได้ทำความผิดร้ายแรง
ตอนนี้คงต้องรอดูกันว่าองค์ชายจะใช้วิธีอะไรมาจัดการกับเขา…
ผู้ว่าการเฉินยืนอยู่ด้านข้าง พร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองไปทางรถม้าโดยไม่พูดอะไร
ประตูของรถม้าเปิดออก ทุกคนพร้อมใจกันก้าวออกมาก้าวหนึ่ง สิ่งแรกที่ปรากฏเข้ามาในสายตาของพวกเขาคือเสื้อคลุมตัวยาวสีขาวงาช้าง ตามมาด้วยช่วงขาเรียวยาว และร่างสูงโปร่งร่างหนึ่ง
ตอนที่คนผู้นี้ลงมาจากรถม้า และเปิดเผยใบหน้าหล่อเหลาราวกับเทพบุตรให้ได้เห็นนั้นพวกเขาต่างก็รู้สึกได้ถึงความสง่างามอันแสนเย็นชาของอีกฝ่ายได้เป็นอย่างดี ทุกคนถึงกับตกตะลึงกับภาพนั้น ทำไมว่าที่เพื่อนร่วมงานของเขาถึงได้… หล่อเหลาถึงเพียงนี้?
หากว่ากันตามตรงแล้ว การที่ใครสักคนจะได้รับการเลื่อนขั้นขึ้นมาเป็นขุนนางในเมืองหลวงประจำมณฑลได้นั้นย่อมต้องใช้เวลาพอสมควร ดังนั้นคนส่วนมากที่ได้ขึ้นมาจึงล้วนแต่มีอายุมากแล้ว คนที่อยู่รอบตัวพวกเขานั้นไม่มีใครดูดีแม้แต่คนเดียว ทุกคนล้วนแต่อ้วนลงพุงกันทั้งนั้น
แต่เพื่อนร่วมงานคนใหม่ผู้นี้กลับหล่อเหลาเสียจนเหมือนไม่มีอยู่จริง
แถมเขายังหนุ่มแน่นเกินไปเสียด้วยซ้ำ!
เป็นไปได้หรือไม่ว่าเขาจะมีเบื้องลึกเบื้องหลังอะไรเป็นพิเศษ
แต่ชุดที่เขาสวมอยู่กลับบ่งบอกอีกอย่าง
ขณะที่บรรดาขุนนางเหล่านั้นกำลังคาดเดาอยู่ในใจ ชายสวมถุงมือสีขาวก็ใช้มือซ้ายของตัวเองเลิกผ้าม่านรถม้าขึ้น แล้วเอ่ยเสียงต่ำว่า ”ใต้เท้าเว่ย ถึงแล้วขอรับ ท่านลงมาจากรถม้าได้แล้ว”
ใต้เท้าเว่ยหรือ
ทันทีที่ได้ยินชื่อนั้น ขุนนางทุกคนก็หันหน้าไปมองเลี่ยวฉิงเทียนที่กำลังยิ้มอยู่ตรงนั้น
เป็นอย่างที่คิด ใบหน้าของเขาดำทะมึน ดวงตาของเขาแสดงความเป็นศัตรูออกมาอย่างเห็นได้ชัด
ตอนนี้เฮ่อเหลียนเวยเวยก้าวเท้าลงมาจากรถม้าเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และกำลังเดินเข้าไปทางพวกเขา ใบหน้าติดจะคล้ำเล็กน้อยของนางปรากฏขึ้นสู่สายตาของทุกคน มันห่างจากคำว่าหล่อเหลายิ่งนัก
“ยินดีที่ได้รู้จักใต้เท้าทุกท่าน จากนี้ข้าคงต้องขอฝากเนื้อฝากตัวกับพวกท่านด้วย” ริมฝีปากของเฮ่อเหลียนเวยเวยกระตุกขึ้นเล็กน้อย แต่มันก็เห็นได้ไม่ชัดนัก
ขุนนางเหล่านั้นมองนาง และเริ่มรู้สึกว่าข่าวลือที่พูดกันมาปากต่อปากนั้นกล่าวเกินจริงไปมาก เด็กวัยรุ่นที่อายุยังไม่ถึงสิบแปดดีเช่นนี้จะไปมีฝีมืออะไร ทุกอย่างก็แค่คำโม้!
พวกเขาคิดว่าเขาคงได้รับความช่วยเหลือจากผู้ว่าการเฉิน บางทีเลี่ยวจือฝู่อาจไม่รู้เรื่องนี้ ดังนั้นเขาจึงตกหลุมพรางของอีกฝ่ายเข้า
คนประเภทนี้ย่อมไม่สามารถสร้างผลงานทางการเมืองได้ และเมื่อถึงเวลานั้น สุดท้ายฝ่ายที่จะได้คุมเมืองหลวงประจำมณฑลก็ยังเป็นพวกเขาอยู่ดี