ตอนที่ 520 ผู้ช่วยชีวิต
ติงไห่เฟิงรีบพูดว่า “ไม่ต้องรอถึงพรุ่งนี้หรอกครับ ทันทีที่รู้ว่าเกิดเหตุไฟไหม้ ผมสั่งเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยทั้งหมดไปไล่ปิดประตูทางเข้าออกทั้งหมดแล้ว ทั้งยังส่งคนไปลาดตระเวนรอบกำแพงโรงงานด้วย คนวางเพลิงไม่น่าฉวยโอกาสหลบหนีออกไปได้ ต้องซ่อนตัวอยู่สักที่ในโรงงานนี้แหละ เราจะเริ่มทำการค้นหาแบบครอบคลุมทันที ไม่นานต้องเจอตัวแน่”
เจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งสองปรึกษากันสองสามคำ ก่อนจะตกลงทำตามคำขอของติงไห่เฟิง
ถ้าจะทำการค้นหาแบบครอบคลุม การพึ่งพากำลังของเจ้าหน้าที่ตำรวจแค่สองนายไม่เพียงพออย่างแน่นอน
หากประสานงานขอกำลังตำรวจมาเพิ่มก็ดูจะเกินกว่าเหตุ
ถึงคดีลอบวางเพลิงจะเข้าขั้นคดีร้ายแรง แต่ก็ไม่ใช่คดีที่มีความจำเป็นต้องรีบเร่งคลี่คลายในทันที
ต่อให้ตำรวจชั้นผู้น้อยอยากทำแบบนั้น แต่เบื้องบนไม่มีทางอนุมัติง่าย ๆ
เจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งสองนายจึงขอความร่วมมือจากทีมรักษาความปลอดภัยของติงไห่เฟิง
หลินม่ายที่ไม่มีอะไรทำจึงอาสาช่วยพวกเขาค้นหา
เธอและเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยคนหนึ่งขึ้นไปตรวจค้นอาคารสำนักงานทั้งสามชั้น
คนทั้งสองค้นหาจากชั้นล่างขึ้นไปยังชั้นบนพร้อมกัน คาดเดาว่าคนลอบวางเพลิงที่ไร้ทางหนีอาจถูกบังคับให้ต้องขึ้นไปหลบอยู่ชั้นบน ทีนี้การจับกุมตัวอีกฝ่ายก็จะยิ่งง่ายเหมือนจับเต่าใส่ไห
ชั้นแรกถูกตรวจสอบอย่างรวดเร็ว แต่ไม่พบสิ่งผิดปกติ ทั้งสองจึงค้นหาต่อไป แต่ก็ยังไม่พบเบาะแสอะไรบนชั้นสอง
พวกเขาขึ้นไปบนชั้นสามแล้วทำการตรวจค้นอีกครั้ง ไม่นานห้องทำงานทุกห้องบนชั้นสามก็ถูกตรวจสอบอย่างรวดเร็ว
หลินม่ายและเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยทยอยเดินออกมาจากห้องต่าง ๆ
เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยผายมือให้หลินม่าย เป็นเชิงบอกว่าเขาไม่เจออะไร
หลินม่ายก็ผายมือออก บอกว่าเธอเองก็ไม่เจออะไรเหมือนกัน
เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยจึงชี้ไปที่ชั้นล่าง “หัวหน้าหลิน งั้นผมขอลงไปตรวจค้นเพิ่มเติมกับหัวหน้าติงและคนอื่น ๆ นะครับ”
หลินม่ายพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยก็วิ่งลงไปจนไม่เห็นแม้แต่เงา
ทันทีที่หลินม่ายได้ยินว่าไฟไหม้โรงงานตัดเสื้อ ด้วยอารามตกใจ ตอนที่เธอกระวีกระวาดออกมาจากบ้านจึงสวมแค่รองเท้าแตะ ตอนนี้นับประสาอะไรกับวิ่งหนี ต่อให้เดินก็เดินเร็วกว่านี้ไม่ได้แล้ว
แต่พอเธอลากรองเท้าแตะไปหยุดอยู่ตรงหัวมุมของบันได ก็หยุดชะงักฝีเท้าอย่างกะทันหัน
เธอจำได้ว่าครั้งล่าสุดที่ตัวเองไปส่งอาหารมื้อเย็นให้ฟางจั๋วหราน นักศึกษาคนหนึ่งของฟางจั๋วหรานเข้ามาตามหาเขาพอดี
ตอนนั้นเธอกลัวมากว่าถ้าอีกฝ่ายเห็นว่าตัวเองกับฟางจั๋วหรานอยู่ใกล้ชิดกันในห้องสองต่อสอง นักศึกษาแพทย์คงเอาไปนินทากันเสีย ๆ หาย ๆ ดังนั้นจึงเอาแต่ซ่อนตัวอยู่หลังม่านทึบ
เช่นเดียวกันกับตอนที่เธอเดินเข้ามาในห้องทำงานดังกล่าว เธอไม่ทันได้ตรวจสอบหลังม่านด้วยซ้ำ คาดว่าเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยอีกคนก็คงไม่ทันตรวจสอบหลังม่านเช่นกัน
ถ้าคนวางเพลิงซ่อนตัวอยู่หลังม่านพอดีล่ะ ปลาตัวนั้นจะเล็ดลอดหลุดจากตาข่ายไปได้ไหม?
พอคิดมาถึงตรงนี้ เธอก็หันหลังกลับแล้วเดินขึ้นไปชั้นบนอีกครั้ง ตั้งใจว่าจะตรวจสอบม่านทึบทั้งหมดในห้องทำงานทุกห้องบนชั้นสาม
ไม่จำเป็นต้องตรวจสอบชั้นหนึ่งและชั้นสองให้เสียเวลา
ถ้าคนวางเพลิงซ่อนตัวอยู่หลังม่านทึบในห้องชั้นหนึ่งหรือชั้นสอง ป่านนี้เขาคงหนีออกจากห้องทำงานนั้นไปแล้ว เธอตัดสินใจตรงขึ้นไปบนชั้นสามเพื่อเสี่ยงโชคดู
หลินม่ายเปิดประตูเข้าไปในห้องทำงานแรกบนชั้นสาม เห็นว่าผ้าม่านถูกเปิดกว้างทิ้งไว้
เช่นเดียวกันกับห้องที่สอง
การเปิดผ้าม่านถือเป็นเรื่องปกติในช่วงเวลาทำการ
ถึงตอนนี้จะเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วงแล้ว แต่อากาศตอนกลางวันในช่วงต้นฤดูใบไม้ร่วงก็ยังร้อนมาก
ระหว่างทำงาน ทุกคนจะเปิดผ้าม่านเพื่อช่วยระบายอากาศ ซึ่งหลินม่ายไม่ได้บังคับว่าหลังจากเลิกงานแล้วต้องรูดม่านปิดเสมอไป
ตัดสินจากสถานการณ์ปกติของทั้งสองห้องแล้ว ไม่น่ามีใครรูดผ้าม่านปิดหลังเลิกงาน
ดังนั้นถ้าห้องไหนถูกรูดม่านปิด แสดงว่าคนวางเพลิงอาจซ่อนอยู่ข้างหลังม่านผืนนั้น
ในที่สุดเมื่อหลินม่ายเดินมาจนถึงห้องทำงานของตัวเองแล้วเปิดประตูเข้าไป เธอก็ตกตะลึง
ม่านกำมะหยี่สีแดงขอบทองในห้องทำงานของเธอ ถูกรูดมาปิดผนังห้องทั้งหมด
หลินม่ายเพิ่มความระวังตัวขึ้นทันที รีบก้าวถอยหลังออกไปด้านนอก
ไม่ว่าหลังม่านผืนนี้จะมีคนวางเพลิงซ่อนตัวอยู่หรือไม่ก็ตาม เธอไม่สามารถตรวจสอบด้วยตัวคนเดียว
เพราะถ้าคนวางเพลิงมีอาวุธสังหารอยู่ในมือ การก้าวไปข้างหน้าแล้วชักม่านเปิดอย่างหุนหันพลันแล่นถือเป็นเรื่องอันตราย
เธอกำลังจะหันไปเรียกใครสักคนที่อยู่ชั้นล่าง จู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงเคลื่อนไหวดังมาจากข้างหลัง
ก่อนที่เธอจะหันหน้ากลับไป ก็ถูกของแข็งบางอย่างกระแทกเข้าที่ท้ายทอยอย่างแรง
เธอไม่ทันแม้แต่จะตะโกนขอความช่วยเหลือ ถึงกับหมดสติล้มลงกับพื้นอย่างหมดเรี่ยวแรง
พอตื่นขึ้นอีกครั้ง ก็สำลักควันที่พวยพุ่งเข้ามาเหมือนระลอกคลื่น
กลิ่นฉุนไหม้ของควันไฟรุนแรงมากจนทำให้ดวงตามองอะไรไม่เห็น
ถึงอย่างนั้นหลินม่ายก็ยังพยายามลืมตาขึ้น เพื่อดูว่าตอนนี้ตัวเองอยู่ที่ไหน
อาศัยแสงจากเปลวเพลิงที่สว่างจ้า ดูเหมือนว่าตอนนี้เธอจะติดอยู่ในห้องทำงานของตัวเอง
หลินม่ายคลำหาทิศทางของประตู แล้วพยายามคลานไปทางนั้น
ถ้าเกิดไฟไหม้ การคลานไปกับพื้นเป็นวิธีที่ถูกต้องที่สุดในการเอาตัวรอด สามารถเลี่ยงการสูดควันให้น้อยที่สุด
หลายครั้งที่ผู้เสียชีวิตในกองเพลิงไม่ได้ถูกไฟคลอกตาย แต่เสียชีวิตจากการสูดดมควันไฟมากเกินไปจนขาดออกซิเจน
ถึงหลินม่ายกำลังคลานอยู่ แต่เธอกลับรู้สึกหายใจลำบาก ราวกับมีฝ่ามือใหญ่ที่มองไม่เห็นเข้ามาบีบคอของเธอไว้แน่น
ในที่สุดเมื่อเธอคลานไปถึงบานประตูและพยายามจะเปิดประตู ก็พบว่ามันถูกล็อกจากด้านนอก ไม่ว่าออกแรงแค่ไหนก็ไม่สามารถเปิดได้
ความคิดหนึ่งผุดขึ้นในใจ คนวางเพลิงต้องการเผาเธอให้ตายสินะ
ถึงอย่างนั้นเธอก็ไม่ตื่นตระหนกจนเกินไป ฟังจากเสียงที่ดังมาจากชั้นล่าง เธอรู้ว่าตอนนี้มีหลายคนที่กำลังพยายามหาทางช่วยเธออยู่
สาเหตุที่พวกเขาไม่ผลีผลามขึ้นมาโดยตรง คงเป็นเพราะเปลวเพลิงลุกลามใหญ่โตเกินจะฝ่า ทุกคนจึงคิดหาวิธีอื่นเพื่อจะช่วยเธอออกมา
ถึงอย่างนั้นเธอก็ไม่สามารถนั่งรอความช่วยเหลืออยู่เฉย ๆ ต้องหาตำแหน่งที่ปลอดภัยเพื่อเอาตัวรอดก่อน
เธออยู่ในห้องทำงานตัวเองต่อไปไม่ได้แน่ เปลวเพลิงพุ่งสูงขึ้นสู่ท้องฟ้า ขืนฝืนอยู่ต่อไป เธอคงตายเพราะขาดออกซิเจนหรือไม่ก็ถูกไฟคลอก
หลินม่ายจับกำแพงเพื่อพยุงตัวขึ้น พอยืนได้ก็ถอยหลังไปสองสามก้าว เปลวเพลิงที่ลุกไหม้อยู่ด้านหลังแทบจะโลมเลียเสื้อผ้าของเธออยู่แล้ว
จากนั้นก็โถมตัวไปข้างหน้าสุดแรง เตะไปที่บานประตูไม้ของห้องทำงาน
ประตูไม้โดนแรงเตะเข้าก็สั่นคลอนจนเปิดออกในที่สุด
ชั้นล่างเต็มไปด้วยคนงานและเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของโรงงานตัดเสื้อ และตำรวจสองนายที่อยู่ในอาการตื่นตระหนกไม่แพ้กัน
ทุกคนโห่ร้องทันทีเมื่อเห็นหลินม่ายเดินโซซัดโซเซออกมาจากห้องทำงาน
คนงานหลายคนตื่นเต้นมากจนร้องไห้ “สวรรค์ทรงโปรด คุณหลินยังไม่ตาย!”
ติงไห่เฟิงรายงานสถานการณ์ให้หลินม่ายฟังผ่านโทรโข่ง ว่าเปลวไฟบนชั้นสองหนาทึบเกินไป จนพวกเขาไม่สามารถวิ่งฝ่าขึ้นไปได้ ทั้งยังถามเธอว่าพอจะวิ่งฝ่าเปลวเพลิงลงมาได้ไหม
ไฟลุกโชนสูงขนาดนี้ก็จริง แต่ถึงวิ่งฝ่าขึ้นไปจากด้านล่างไม่ได้ ก็ใช่ว่าจะวิ่งฝ่าลงมาจากด้านบนไม่ได้เสียเลย
ตอนนี้หลินม่ายอ้าปากตอบกลับอะไรไม่ได้เนื่องจากขาดออกซิเจน หลังจากได้ยินคำแนะนำ เธอก็หันหลังกลับแล้ววิ่งไปที่บันได
ทว่าพอเธอวิ่งไปถึงบันไดแล้ว ร่างกายก็พลันแข็งทื่อ
ตอนแรกที่ซื้อโรงงานนี้มา ประตูลูกกรงเหล็กที่อยู่ตรงบันไดทางขึ้นชั้นสามของอาคารโรงงานถูกปล่อยทิ้งไว้ เพราะมันมีน้ำหนักมากเกินกว่าจะเปิดปิดบ่อย ๆ
แต่ตอนนี้ ประตูลูกกรงเหล็กอันเดียวกันกลับถูกคล้องไว้ด้วยโซ่เหล็กขนาดใหญ่
หลินม่ายรู้สึกถึงความสิ้นหวัง
โซ่เหล็กหลายเส้นซึ่งคล้องอยู่บนประตูเหล็กทั้งหนาและมีน้ำหนักมากจนเธอไม่สามารถยกมันออกจากกันได้
แต่ในเมื่อคิดว่าพอจะทำลายได้ เธอก็พยายามออกแรงอย่างสุดความสามารถเพื่อคลายพันธนาการ ถึงแม้สภาพของเธอจะไม่น่ามองก็ตามแต่
เปรียบเทียบกับชีวิตแล้ว ความอับอายไม่มีค่าพอให้พูดถึงสำหรับเธอ
โซ่เหล็กพวกนั้นหนามาก ต่อให้หวงเฟยหงกลับชาติมาเกิดใหม่ก็ไม่มีทางดึงไหวแน่
หลินม่ายคิดจะเดินย้อนกลับไปที่ทางเดิน เพื่อบอกคนที่อยู่ชั้นล่างว่าเธอถูกขังอยู่บนชั้นสาม และขอให้ติงไห่เฟิงส่งคนไปหากุญแจมาเปิดล็อก
ทันใดนั้นเธอก็จำได้ว่าไฟบนชั้นสองรุนแรงเกินไป ไม่มีใครสามารถฝ่าขึ้นมาได้ทั้งนั้น
คงโหดร้ายเกินไปถ้าเธอตะโกนขอให้คนที่อยู่ชั้นล่างวิ่งฝ่าไฟขึ้นมาส่งกุญแจให้เธอ
หลินม่ายต้องคิดหาวิธีอื่น
ขณะนั้นเอง เสียงฝีเท้าที่เร่งรีบก็ดังขึ้นมาจากชั้นล่างจากที่ไกล ๆ
อะไรกัน? มีคนวิ่งฝ่าเปลวไฟขึ้นมาเหรอ!
หลินม่ายพลันกระตือรือร้นขึ้นทันที คว้าโซ่เหล็กสองเส้นที่คล้องอยู่บนประตูเหล็ก แล้วออกแรงเขย่าประตูอย่างบ้าคลั่ง
เธอเขย่าประตูลูกกรงเหล็กเสียงดัง ทำให้เกิดเสียงโลหะกระทบกันโครมคราม ระหว่างนั้นก็ตะโกนไปด้วย “ประตูเหล็กถูกล็อกไว้ นายมีกุญแจไหม? ถ้าไม่มีกุญแจก็หาค้อนหนัก ๆ มาทุบเอาก็ได้”
ทันทีที่เธอพูดจบ ฟางจั๋วหรานที่ห่อตัวเองด้วยผ้านวมชุ่มน้ำก็วิ่งฝ่าเปลวเพลิงออกมา
เมื่อเห็นว่าคนที่อยู่ตรงหน้าเป็นเขา หลินม่ายก็ตื่นเต้นมากจนน้ำตาไหล
ทันทีที่ฟางจั๋วหรานมาถึง เขาก็ยัดผ้าขนหนูเปียกและผ้านวมชุ่มน้ำให้เธอผ่านประตูลูกกรงเหล็กโดยทันที
จากนั้นก็ออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด “ใช้คลุมตัวไว้เร็ว!”
หลินม่ายมองผ่านไปยังเปลวเพลิงที่กำลังลุกลามเข้ามาใกล้เรื่อย ๆ ได้ยินเสียงฉู่ฉ่าเมื่อสิ่งของต่าง ๆ ถูกไฟเผา แต่ชายหนุ่มกลับใช้ผ้าขนหนูเปียก ๆ แค่ผืนเดียวปิดปากและจมูกตัวเองเอาไว้ “คุณต่างหากที่ควรเอาผ้านวมห่อร่างตัวเองไว้ ไฟกำลังจะลามมาคลอกตัวคุณอยู่แล้ว”
“เอาผ้านวมคลุมตัวเดี๋ยวนี้!” เส้นเลือดบนหน้าผากของฟางจั๋วหรานปูดโปนแทบจะระเบิดออก “หลินม่าย คุณอยากทำให้ผมเป็นบ้าตายหรือไง?”
สาวน้อยคนนี้มีไหวพริบในการจัดการสิ่งต่าง ๆ เป็นเลิศ แต่ทำไมวันนี้เธอถึงไม่ฉลาดเอาเสียเลย?
เมื่อเห็นว่าเขายืนกรานเสียงแข็งว่าจะส่งผ้านวมชุ่มน้ำให้เธอ หลินม่ายก็ไม่กล้าลังเลอีกต่อไป รีบยื่นมือไปรับมันไว้แล้วเอามาห่อรอบร่างตัวเอง
ถ้ามัวแต่เกี่ยงกันไปมา บางทีพวกเขาอาจจมทะเลเพลิงด้วยกันทั้งคู่
ขณะที่หลินม่ายห่อผ้านวมชุ่มน้ำไว้รอบร่าง ฟางจั๋วหรานก็เอื้อมไปถอดกิ๊บเหล็กตัวเล็กออกจากเส้นผมของแฟนสาว ยืดมันให้ตรง แล้วใช้มันแหย่เข้าไปในรูกุญแจ
หลินม่ายให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี หดไหล่ให้มากที่สุด ห่อตัวเองด้วยผ้านวมจนไม่ต่างจากเส้นก๋วยจั๊บ พร้อมที่จะบีบตัวออกไปทุกเมื่อ
ฟางจั๋วหรานออกแรงสะกิดมันสองสามครั้ง ในที่สุดลูกกุญแจอันใหญ่ก็คลายล็อก
ทันทีที่ประตูลูกกรงเหล็กถูกเปิดออกจนเกิดช่องว่างแคบ ๆ หลินม่ายแทบทนรอต่อไปไม่ได้อีก
ทันทีที่ยกมือขึ้นจับลูกกรงเหล็ก ความร้อนฉ่าก็ลวกไปทั่วฝ่ามือจนสะดุ้งโหยง ก่อนที่มือเล็กของเธอจะถูกมือใหญ่ของฟางจั๋วหรานดึงไปกุมไว้ แล้วโอบร่างบอบบางของเธอเข้าไปอยู่ในอ้อมแขนเขา
“ไป” ฟางจั๋วหรานพูดเสียงแผ่วต่ำ แต่น้ำเสียงกลับหนักแน่น ใช้ร่างกายตัวเองเป็นโล่คอยปกป้องเธอขณะเดินผ่านกลุ่มควันหนาทึบ ฝ่าเข้าไปในกองไฟ แล้วรีบวิ่งลงไปสู่ชั้นล่าง
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
ร้ายกาจมากคนวางเพลิง ขนาดจงใจให้โดนไฟคลอกตายแบบนี้นี่โดนโทษประหารแล้วมั้ง
พี่หมอนี่สุดยอดวีรบุรุษจริงๆ ค่ะ
ไหหม่า(海馬)
โอ๊ยยย นางเอกโคตรโง่ ถ้าไม่มีความช่วยเหลือจากพระเอกหรือคนรอบข้างนี่คือคนโง่ธรรมดาๆคนนึงอ่ะ