ดวงตาของเลี่ยวฉิงเทียนดำทะมึน แต่ในไม่ช้าบนใบหน้าของเขาก็แสร้งปั้นรอยยิ้มออกมา
ผู้ว่าการเฉินยิ่งรู้สึกเป็นห่วงเฮ่อเหลียนเวยเวยเมื่อเขาเห็นท่าทางของเลี่ยวฉิงเทียน เรื่องคงง่ายกว่านี้หากเลี่ยวฉิงเทียนแสดงความโกรธออกมา เพราะสิ่งที่ยากที่สุดในแวดวงข้าราชการก็คือการรับมือกับคนหน้าเนื้อใจเสือเช่นนี้นี่เอง
เพราะไม่มีใครรู้ว่าตอนที่เขายิ้มให้ เขาจะแทงข้างหลังเราเมื่อใดนั่นเอง
เลี่ยวฉิงเทียนแสร้งทำเป็นมิตร แล้วยื่นมือออกไป ”ใต้เท้าเว่ย พวกข้าได้ยินเรื่องผลงานอันยิ่งใหญ่ของท่านมามากมาย เป็นเกียรติยิ่งนักที่ท่านมาที่เมืองหลวงประจำมณฑลของพวกเรา”
เฮ่อเหลียนเวยเวยมองเลี่ยวฉิงเทียนที่ยืนอยู่ตรงหน้า สิ่งแรกที่นางทำคือการสังเกตเสื้อผ้าของเขา
เขาเป็นแม่ทัพ แต่กลับมีสิทธิ์พูดแทนขุนนางพวกนั้น
แค่นี้ก็แสดงให้เห็นแล้วว่าแม่ทัพผู้นี้เป็นคนทะเยอทะยานเพียงใด
เฮ่อเหลียนเวยเวยยิ้ม แล้วเอ่ยว่า ”ข้าเพิ่งเข้ามาใหม่ และเพิ่งเริ่มทำงานการเมืองได้ไม่นานนัก ขอทราบได้หรือไม่ว่าท่านคือใคร”
“คนผู้นี้คือแม่ทัพเลี่ยว” ผู้ว่าการเฉินค่อยๆ เดินเข้ามาพร้อมกับจงใจเน้นคำว่า ’เลี่ยว’ ให้นางได้ยิน
เฮ่อเหลียนเวยเวยเข้าใจได้ในทันที แต่ต่อหน้านั้นนางก็ยังเอ่ยทักทายเขาอย่างสุภาพว่า ”ที่แท้ก็แม่ทัพเลี่ยวนี่เอง ข้าได้ยินชื่อของท่านมานานแล้ว”
เลี่ยวฉิงเทียนหัวเราะในใจเมื่อเขาได้ยินคำพูดของนาง คนประเภทนี้หัวดี แต่ก็ง่ายที่จะจัดการยิ่งนัก เขาได้รับการสนับสนุนจากตระกูลเฉินแล้วอย่างไร สุดท้ายเขาก็ยังต้องไหลไปตามกระแสคลื่นอยู่ดี
เขาจะให้เวลาเจ้าคนแซ่เว่ยนี่อีกหน่อย ถ้าเจ้าหมอนี่ฉลาดพอที่จะขอโทษพี่ชายกับหลานชายของข้าต่อหน้าข้า และกลับคำตัดสินก่อนหน้านี้ของตัวเอง แล้วช่วยข้ากำจัดเจ้าคนแซ่เฉินละก็ ข้าจะยอมทำเหมือนกับว่าทุกอย่างไม่เคยเกิดขึ้นก็แล้วกัน
ถ้าไม่อย่างนั้น เขาจะทำให้เขาต้องเสียใจกับการก้าวเข้ามาในเมืองหลวงประจำมณฑลไปตลอดกาล!
แต่หากดูจากสีหน้าของเจ้าคนแซ่เว่ยผู้นี้ เขาก็คงจะไม่สามารถใช้ลูกไม้อันใดได้เหมือนกัน!
“ในเมื่อใต้เท้าเว่ยมาถึงแล้ว เช่นนั้นเราก็มากินข้าวกันให้อร่อยเถอะ” เลี่ยวฉิงเทียนพูดอย่างมีน้ำใจ คำพูดนั้นเหมาะสมกับภาพลักษณ์แม่ทัพของเขายิ่งนัก ”ไปที่ภัตตาคารไห่ปินก็แล้วกัน”
เฮ่อเหลียนเวยเวยกระตุกมุมปากขึ้นเล็กน้อยทันทีที่นางได้ยินชื่อของภัตตาคารไห่ปิน นางเอ่ยอย่างมีเลศนัยว่า ”ร้านนั้นเป็นร้านที่ดีทีเดียว”
“ข้านึกไม่ถึงเลยว่าใต้เท้าเว่ยจะเคยได้ยินชื่อภัตตาคารไห่ปินจากเมืองหลวงประจำมณฑลของพวกเราเช่นกัน ดูเหมือนว่าธุรกิจอาหารทะเลในเมืองหลวงประจำมณฑลกำลังไปได้สวยทีเดียว” เลี่ยวฉิงเทียนลูบเคราด้วยสีหน้าภาคภูมิใจอย่างมาก
ขุนนางจำนวนมากที่นั่งอยู่ข้างเขาส่งเสียงรับเป็นลูกคู่ พร้อมกับคุยโวเรื่องภัตตาคารแห่งนั้นกันอย่างออกรสชาติ
คงรู้ได้ไม่ยากว่าเจ้าของที่แท้จริงของภัตตาคารไห่ปินแห่งนั้นคือใคร
เลี่ยวฉิงเทียนเดินนำทุกคนเข้าไปยังส่วนที่เป็นห้องส่วนตัวของภัตตาคารไห่ปิน พนักงานต้อนรับไม่ใช่คนเดิม ดังนั้นพวกเขาจึงไม่รู้จักเฮ่อเหลียนเวยเวย
เลี่ยวฉิงเทียนคิดแผนรับมือนี้เอาไว้ก่อนที่เขาจะทันได้เจอหน้าเฮ่อเหลียนเวยเวยเสียอีก ใครๆ ต่างก็บอกว่าคนที่มาจากบ้านนอกนั้นล้วนแต่เป็นคนเรียบง่ายสมถะ
แต่คนส่วนใหญ่นั้นไม่รู้ว่าบางครั้งคนพวกนั้นก็ยากจะต่อต้านสิ่งที่ล่อตาล่อใจจากโลกภายนอกได้เช่นกัน
เมื่อเห็นเสื้อผ้าสภาพแทบดูไม่ได้ของเจ้าคนแซ่เว่ยผู้นี้ เลี่ยวฉิงเทียนก็นึกภาพออกว่าคนคนนี้คงยังไม่เคยได้สัมผัสกับโลกภายนอกมาก่อน
หากเขาได้ลองชิมกุ้งมังกรกับหอยเป๋าฮื้อของที่นี่แล้วละก็ เขาจะได้สัมผัสกับประสบการณ์ของการเป็นคนรวยกับตัวเอง และปัญหาทั้งหมดก็อาจจะจบลงอย่างง่ายดายก็ได้
แต่ทันทีที่เลี่ยวฉิงเทียนคิดเช่นนั้นขึ้นมา และขุนนางทั้งหมดนั่งประจำที่เป็นที่เรียบร้อยแล้ว เฮ่อเหลียนเวยเวยกลับยิ้มขึ้น แล้วเอ่ยว่า ”ในเมื่อแม่ทัพเลี่ยวดูจะคุ้นเคยกับพนักงานที่ภัตตาคารไห่ปินเป็นอย่างดี ท่านน่าจะสามารถไขข้อข้องใจของข้าได้”
เลี่ยวฉิงเทียนคิดว่าอีกฝ่ายคงอยากถามเรื่องอาหารที่วางอยู่บนโต๊ะ เพราะเขาคงไม่เคยเห็นมาก่อนว่ากุ้งมังกรหน้าตาเป็นอย่างไร ดังนั้นรอยยิ้มของเขาจึงยิ่งเห็นได้อย่างชัดเจนขึ้น ”เสี่ยวเว่ย ถ้าเจ้ามีคำถามอะไรก็ถามข้ามาได้ตามตรงเลย”
“อันที่จริงแล้วก็ไม่มีอะไรมาก” เฮ่อเหลียนเวยเวยพูดขึ้นราวกับไม่ใส่ใจ ”ก็อย่างที่ทุกท่านรู้ ข้าเป็นเพียงบัณฑิตจนๆ คนหนึ่งที่เพิ่งได้รับการเลื่อนขั้นขึ้นมา ข้าจึงไม่ค่อยมีเงินเก็บมากนัก…”
ทันทีที่ได้ยินคำพูดนั้น ขุนนางทุกคนก็แสดงสีหน้าเหมือนกับรู้อยู่แล้วว่าเรื่องต้องเป็นเช่นนี้ออกมา พวกเขาหัวเราะเบาๆ บนใบหน้าของพวกเขาแสดงออกถึงการดูถูก แต่พวกเขาก็ยังพยายามปลอบใจว่า ”ใต้เท้าเว่ย อย่าพูดเช่นนั้นเลย วีรบุรุษจะมีพื้นเพเป็นเช่นใดนั้นหาได้สำคัญไม่ ไม่ว่าท่านจะเป็นใครมาจากไหน พวกข้าทุกคนก็รู้ทุกอย่างที่ท่านทำเพื่อประชาชนเป็นอย่างดี”
ผู้ว่าการเฉินเป็นเพียงคนเดียวที่กระแอมออกมาเล็กน้อยตอนที่ได้ยินเฮ่อเหลียนเวยเวยบอกว่านางเป็นเพียงคนจน
ไม่ต้องพูดถึงทองคำจำนวนกว่าสิบหีบที่องค์ชายสามผู้มีเงินทองเทียบเท่าเมืองทั้งเมืองมอบให้นางเป็นของหมั้นก่อนวันแต่งงานเลย แค่ผลกำไรของร้านเวยเจ๋อเพียงอย่างเดียวพระชายาก็อาจจะได้นั่งนับเงินทุกวี่วันจนหมดแรงแล้วกระมัง ถ้านางบอกว่านางเป็นแค่คนจน แล้วพวกเขาจะไม่เป็นยิ่งกว่าขอทานอีกหรือ
ผู้ว่าการเฉินชำเลืองมองเฮ่อเหลียนเวยเวยอย่างเงียบๆ แล้วถอนหายใจในใจ
เห็นได้ชัดว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยเข้าใจสิ่งที่เขาต้องการพูดเป็นอย่างดี แต่มันก็ไม่ได้มีผลกับความเร็วในการพูดของนางแม้แต่นิดเดียว นางค่อยๆ เอ่ยขึ้นด้วยเสียงที่เบาว่า ”อันที่จริง ข้ามาถึงเมืองหลวงประจำมณฑลตั้งแต่ตอนบ่าย และตั้งใจว่าจะทานอาหารสักมื้อก่อนไปที่ศาลาว่าการ แต่ข้านึกไม่ถึงเลยว่าจะต้องใช้เงินเก็บแทบทั้งหมดของตัวเองไปกับค่าอาหารเพียงมื้อเดียว ข้าจึงอยากถามแม่ทัพเลี่ยวสักข้อหนึ่งว่า ทำไมอาหารทะเลที่ภัตตาคารไห่ปินถึงได้ราคาสูงถึงเพียงนี้หรือ มันแพงกว่าราคาของอาหารทะเลที่ชาวประมงขายกันถึงสิบเท่าเลยทีเดียว”
ขุนนางทุกคนถึงกับชะงักไปเมื่อเขาได้ยินเรื่องนั้น พวกเขาไม่เคยคิดเลยว่าจะมีใครกล้าถามคำถามเช่นนี้ขึ้นมา
เรื่องนี้เป็นสิ่งที่ทุกคนรู้กันดีอยู่แล้ว แต่ไม่มีใครกล้าพูดออกมาตรงๆ ไม่อย่างนั้นละก็…
พวกเขาถือถ้วยชาเอาไว้ในมือพลางลอบมองเลี่ยวฉิงเทียน เป็นอย่างที่คิด สีหน้ายิ้มแย้มของเขาดูแข็งทื่อไปเล็กน้อย
เฮ่อเหลียนเวยเวยแสร้งทำราวกับว่ามองไม่เห็นสีหน้าของเลี่ยวฉิงเทียนแม้แต่น้อย จากนั้นนางก็โบกมือแล้วบอกว่า ”อีกอย่างหนึ่ง กุ้งที่ถูกนำมาวางบนโต๊ะก็ยังแตกต่างจากกุ้งที่ถูกเลี้ยงอยู่ในตู้ปลา พวกมันตัวเล็กกว่ามาก ใต้เท้าทั้งหลาย พวกท่านเคยประสบกับสถานการณ์เช่นนี้มาก่อนหรือไม่”
“ไม่ ไม่เคยเลย” พวกเขาทุกคนล้วนแต่รู้ดียิ่งนักว่าเป็นเพราะอะไร พวกเขาคิดในใจว่าพวกเขาย่อมไม่เคยเจอสถานการณ์เช่นนี้มาก่อนเพราะพวกเขาเป็นขุนนางนั่นเอง ภัตตาคารไห่ปินหลอกลวงประชาชนก็จริง แต่พวกเขาไม่เคยหลอกลวงบรรดาขุนนาง เพราะพวกเขาเข้าใจกฎหมายของที่นี่เป็นอย่างดี
พวกเขาคิดเช่นนั้นพร้อมกับชำเลืองมองเลี่ยวฉิงเทียนโดยไม่รู้ตัว ดวงตาของเลี่ยวฉิงเทียนแปรเปลี่ยนเป็นดำทะมึนทันที
เฮ่อเหลียนเวยเวยหัวเราะ แล้วพูดต่อ ”พวกท่านคงจะโชคดีกว่าข้า ข้าเจอเรื่องนี้ทันทีที่เหยียบเข้ามาที่เมืองหลวงประจำมณฑล ตอนแรกข้าต้องการร้องหาความเป็นธรรม แต่เสี่ยวเอ้อร์กลับบอกข้าว่าอย่าหารนหาที่ตายดีกว่า เพราะมีคนจากเบื้องบนคุ้มครองภัตตาคารไห่ปินแห่งนี้อยู่”
เลี่ยวฉิงเทียนนั่งฟังอยู่เงียบๆ แล้วสบถขึ้นในใจว่า เจ้าโง่เอ๊ย! เขากำลังคิดจะชิงลงมือก่อนด้วยการไล่เสี่ยวเอ้อร์คนนั้นออก แล้วค่อยรับเขากลับเข้าทำงานหลังจากเรื่องเงียบลง ทำเช่นนี้จะได้ป้องกันไม่ให้เจ้าคนแซ่เว่ยนี่หาช่องโหว่มาฟ้องร้องเขาได้
เฮ่อเหลียนเวยเวยพูดต่อ ”ข้าคิดเรื่องนี้มาครู่ใหญ่แล้ว แต่ก็ยังไม่มั่นใจว่าคนเบื้องบนที่เสี่ยวเอ้อร์คนนั้นพูดถึงคือใครกันแน่ แม่ทัพเลี่ยวอยู่ที่เมืองหลวงประจำมณฑลมานานแล้ว ท่านคิดว่าคนคนนั้นคือใครหรือ”
“เรื่องนี้ก็ยังยากจะบอกได้” เลี่ยวฉิงเทียนเริ่มชี้แจงว่าตนไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอันใดกับภัตตาคารไห่ปิน ”เสี่ยวเอ้อร์คนนั้นอาจจะแค่อวดอ้างไปอย่างนั้นก็ได้”
เฮ่อเหลียนเวยเวยวางนิ้วไว้ใต้คางเหมือนกำลังไตร่ตรองกับสิ่งที่เลี่ยวฉิงเทียนบอก จากนั้นริมฝีปากบางของนางก็เผยอขึ้น แล้วเอ่ยว่า ”ทำไมข้าถึงไม่คิดเลยนะว่าที่จริงแล้วเสี่ยวเอ้อร์คนนั้นอาจจะอวดอ้างไปอย่างนั้น แม่ทัพเลี่ยว ท่านช่างมีความคิดลึกล้ำยิ่งนัก”
“ไม่หรอกๆ” เลี่ยวฉิงเทียนตอบพร้อมกับรอยยิ้ม หลอกง่ายชะมัด ดูเหมือนว่าเจ้าคนแซ่เว่ยผู้นี้จะรับมือง่ายกว่าที่เขาคิดเอาไว้