บรรดาขุนนางเหล่านั้นพยักหน้าเห็นด้วยว่าเจ้าคนแซ่เว่ยคนนั้นช่างไม่รู้จักเจียมตัวเอาเสียเลย
ขนาดแม่ทัพเลี่ยวยังไม่ทันได้ทำอะไร เขาก็ยังตกที่นั่งลำบากถึงขนาดนี้แล้ว แล้วนับประสาอะไรกับผลที่จะตามมาหลังจากบรรดาผู้อาวุโสได้รับหนังสือฉบับนั้น มันย่อมไม่ใช่สิ่งที่นายอำเภอตัวเล็กๆ อย่างเขาจะสามารถจ่ายได้
รอดูก็แล้วกันว่าจะเป็นอย่างไร
ทางเมืองหลวงจะต้องมีปฏิกิริยากับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่ภัตตาคารไห่ปินอย่างแน่นอน…
คืนนั้น พระจันทร์ส่องแสงอยู่บนฟากฟ้ายามค่ำคืน
ณ จวนแห่งหนึ่งในเมืองหลวง
ผู้อาวุโสของตระกูลเฮ่อเหลียนนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวที่สูงที่สุด แม้เขาจะเป็นเพียงชายชรา แต่ดวงตาลึกลับของเขาก็แฝงไปด้วยบรรยากาศอันไม่เป็นมิตร ทุกคนล้วนมีอาการกระสับกระส่ายหลังจากสบตากับเขาได้เพียงครู่เดียว
ผู้นำคนอื่นๆ ของตระกูลยืนยิ้มอยู่รอบตัวเขา ”เหลือเวลาอีกเพียงไม่ถึงห้าวัน เฮ่อเหลียนเวยเวยอาจมาไม่ถึงหน้าประตูด้วยซ้ำ ห้าวันต่อจากนี้ตระกูลเฮ่อเหลียนจะตกอยู่ในกำมือของพวกเราขอรับ เมื่อถึงเวลานั้นพวกเราจำต้องขอความช่วยเหลือให้ท่านผู้อาวุโสช่วยเลือกประมุขที่สามารถพึ่งพาได้ให้กับพวกเราด้วย”
“เจ้าไม่ต้องห่วง ข้าได้เลือกเอาไว้แล้ว” ผู้อาวุโสเฮ่อเหลียนยกเหล้าขาวขึ้นจิบ ”แต่ระยะหลังมานี้เหมือนจะมีปัญหาเกิดขึ้นเล็กน้อย”
หลังจากได้ฟังคำพูดของผู้อาวุโสเฮ่อเหลียน ผู้นำที่ค่อนข้างหัวไวจำนวนหนึ่งนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในเมืองฟู่ผิงเมื่อสองวันก่อนขึ้นมาได้อย่างรวดเร็ว ”ท่านผู้อาวุโสเป็นกังวลกับการปรากฏตัวของนายอำเภอเว่ยหรือขอรับ”
“นายอำเภอที่ไม่ได้มีความสำคัญอะไรอย่างเขาจะทำให้ข้ากังวลได้อย่างไร” ผู้อาวุโสเฮ่อเหลียนเอ็ดขึ้น แล้วเอ่ยต่อย่างใจเย็นว่า ”แต่ผู้ว่าการเฉินที่ให้การสนับสนุนนายอำเภอเว่ยทำงานให้กับอดีตฮ่องเต้ การรับมือกับเขาคงไม่ใช่เรื่องง่าย”
ชายทั้งสองสนทนากันต่อเล็กน้อย ก่อนบทสนทนานั้นจะถูกขัดเพราะข้ารับใช้คนหนึ่ง
ข้ารับใช้คนนั้นส่งหนังสือฉบับหนึ่งให้กับเขา
ผู้อาวุโสเฮ่อเหลียนอ่านหนังสือฉบับนั้น มุมปากของเขากระตุกขึ้นเป็นรอยยิ้มเย็นชา ”ชายผู้นี้คงคิดว่าตัวเองสำคัญนัก ถึงได้กล้าแตะต้องเรื่องนี้ เขาเป็นแค่นายอำเภอชั้นผู้น้อยแท้ๆ แต่กลับพยายามสอดมือเข้ามายุ่งไปเสียทุกเรื่อง”
คนที่เหลือแอบมองเนื้อหาในหนังสือฉบับนั้นขณะที่ผู้อาวุโสเฮ่อเหลียนกำลังอ่านมันอยู่ ”พวกเขาคิดที่จะปิดภัตตาคารไห่ปินหรือขอรับ”
จากนั้นพวกเขาก็หัวเราะออกมา ”บางทีนายอำเภอคนนี้คงจะมั่นใจในตัวเองเกินไปกระมัง เขาถึงได้บุ่มบ่ามเข้ามายุ่งกับเรื่องของภัตตาคารไห่ปินโดยไม่คิดหน้าคิดหลังให้ดีเช่นนี้”
“ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะเขาได้รับการสนับสนุนจากผู้ว่าการเฉินอย่างไรล่ะ” ผู้อาวุโสเฮ่อเหลียนพับหนังสือฉบับนั้นกลับอย่างระมัดระวัง ”ภัตตาคารไห่ปินเป็นร้านอาหารที่มีชื่อเสียงมาอย่างยาวนานด้วยการขายอาหารทะเล มันก่อตั้งขึ้นก่อนที่อดีตฮ่องเต้จะได้ขึ้นครองราชย์เสียอีก ดังนั้นการที่พวกเขาจะสั่งปิดภัตตาคารไห่ปินจึงเป็นเรื่องที่ไม่มีทางเป็นไปได้ ข้าไม่อยากมีเรื่องกับผู้ว่าการเฉินก็จริง แต่สิ่งนี้อาจจะเป็นข้ออ้างที่ดีในการจัดการเขาก็ได้” พอพูดจบ เขาก็เงยหน้าขึ้น แล้วสั่งกับข้ารับใช้คนที่นำหนังสือฉบับนั้นมาส่งว่า ”บอกฉิงเทียนให้จัดการเรื่องนี้โดยไม่ต้องยั้งมือ นอกจากผู้ว่าการเฉินแล้ว ให้เขาจับกุมตัวทุกคนที่พยายามทำลายชื่อเสียงของภัตตาคารไห่ปิงโดยไม่ต้องสนใจว่าพวกเขาจะมีตำแหน่งอะไร หลังจากข้ารายงานเรื่องนี้ให้อดีตฮ่องเต้ทรงทราบแล้ว ข้าจะไปที่เมืองหลวงประจำมณฑลเพื่อพบกับพวกเขาด้วยตัวเอง”
“ขอรับ” ข้ารับใช้คนนั้นก้มหน้าลงด้วยความเคารพก่อนจะถอยออกไป
ท้องฟ้าที่ด้านนอกมืดลงกว่าที่เคย
ณ ห้องบรรทมภายในวังหลวง เด็กชายตัวน้อยนอนกุมท้องพร้อมกับบิดตัวด้วยความทรมานอยู่บนเตียงของตัวเอง มีหมอหลวงเฝ้าดูอาการของเขาด้วยความกังวล
พวกเขาประหลาดใจยิ่งนักเพราะองค์ชายเจ็ดตัวน้อยไม่ปล่อยให้พวกเขาวินิจฉัยหาสาเหตุของอาการป่วยที่เกิดขึ้น
เห็นได้ชัดว่าเขากำลังไม่สบาย แต่พวกเขาไม่เข้าใจปฏิกิริยาขององค์ชายเลยแม้แต่นิดเดียว เพราะทุกครั้งที่พวกเขาพยายามที่จะเขาไปใกล้ อีกฝ่ายก็จะปาหมอนใส่พวกเขาทันที
เรี่ยวแรงมหาศาลนั้นสามารถปลิดชีพพวกเขาได้อย่างสบายๆ!
ประโยคนี้ไม่ได้พูดเกินจริงเลย!
องค์ชายเจ็ดตัวน้อยมีพละกำลังมากกว่าคนปกติ
การต่อยตีกับคนอื่นนั้นถือเป็นการฆ่าเวลาสำหรับเขาเท่านั้น
บรรดาหมอหลวงยืนอยู่ข้างเตียงด้วยความกระวนกระวาย พร้อมกับสบตากันอย่างเงียบๆ
“คราวนี้ถึงตาเจ้าแล้ว”
“ไม่ๆๆ ข้ายังไม่มีประสบการณ์ หมอหลวงจางลองดูก่อนเถิด” ล้อกันเล่นหรือเปล่า ใครก็ตามที่พยายามเข้าใกล้องค์ชายเจ็ดตัวน้อยจะต้องตกเป็นเป้าหมายถัดไปของเขา! เมื่อครู่นี้ข้าก็ลองขยับตัวเข้าไปหาองค์ชายเจ็ดตัวน้อยดูแล้ว แล้วก็ถูกเขาฟาดด้วยหมอนอย่างไม่ปรานี จนป่านนี้สมองของข้าก็ยังไม่กลับเข้าที่เลย!
เขาอยากจะถามองค์ชายเจ็ดตัวน้อยยิ่งนักว่าเขาซ่อนหมอนเอาไว้กี่ใบกันแน่
นับตั้งแต่ตอนที่พวกเขาเข้ามาในห้อง องค์ชายเจ็ดตัวน้อยก็ทำราวกับว่าพวกเขาเป็นปีศาจดุร้ายไม่มีผิด เขาจะปาหมอนใส่ใครก็ตามที่พยายามเข้าไปใกล้เขา
หากสถานการณ์ยังเป็นเช่นนี้ต่อไป พวกเขาคงไม่มีวันตรวจสอบชีพจรของอีกฝ่ายได้แน่ แล้วนับประสาอะไรกับการจะวินิจฉัยหาสาเหตุอาการป่วยของเขา เวลานี้พวกเขาถึงกับถูกฉากกั้นขวางเขากับองค์ชายเอาไว้เสียด้วยซ้ำ
ขันทีซุนเป็นห่วงองค์ชายยิ่งนัก เขาเดินวนไปวนมาอยู่นอกห้องบรรทมขององค์ชายมาตั้งแต่เช้า ตอนที่บรรดาหมอหลวงเดินออกมาจากห้อง เขาก็รีบเดินเข้าไปถามว่า ”เป็นอย่างไรบ้าง องค์ชายเจ็ดเป็นอะไรหรือ”
เมื่อถูกถาม หมอหลวงเหล่านั้นก็มีสีหน้ากระอักกระอ่วน พวกเขาเกาศีรษะแล้วตอบอย่างรู้สึกผิดว่า ”องค์ชายเจ็ดไม่ยอมให้พวกเราตรวจร่างกายขอรับ”
“เจ้าหมายความว่าอย่างไร” ทันใดนั้นอดีตฮ่องเต้ก็ปรากฏตัวขึ้น เมื่อเขาได้ข่าวว่าหลานชายป่วยหนัก เขาก็รีดรุดมาเยี่ยมเด็กชายทันทีทั้งที่ยังไม่ทันได้เปลี่ยนฉลองพระองค์เลยด้วยซ้ำ เขาถึงกับทิ้งฎีกาที่ยังไม่ได้ตรวจสอบเอาไว้อีกด้วย
ขันทีซุนรออดีตฮ่องเต้มาได้ครู่ใหญ่แล้ว
ใบหน้าของบรรดาหมอหลวงเหล่านั้นซีดเผือด พวกเขาคุกเข่าลงตรงหน้าของอดีตฮ่องเต้
แต่อดีตฮ่องเต้ไม่มีเวลาจะหยุดฟังคำแก้ตัวของหมอหลวงพวกนั้น เขาสาวเท้าเข้าไปในห้อง และเดินผ่านฉากกั้นอันนั้นไป
เด็กชายจอมดื้อรั้นนอนมองเพดานอยู่บนเตียง เขาทำหน้าเครียดเพราะกำลังคิดอยู่ว่าหลังจากนี้จะกินอะไรดี
หัวใจของอดีตฮ่องเต้บีบรัดแน่นเมื่อเขาสังเกตเห็นสีหน้าห่อเหี่ยวบนใบหน้าเล็กๆ อันแสนน่ารักนั้น หลายชายของเขาไม่เคยป่วยมาก่อน เขาเป็นเด็กแข็งแรงและสุขภาพดีมาตลอด นับว่ายากนักที่จะได้เห็นภาพเขานอนนิ่งอยู่เงียบๆ เช่นนี้
เด็กชายมักขึ้นไปเล่นบนภูเขาเป็นประจำและไม่เคยประสบปัญหาใดมาก่อน มันจึงเป็นเรื่องที่น่าตกใจยิ่งนักที่ได้เห็นเขาล้มป่วยลงอย่างกะทันหันทันทีที่กลับจากเมืองหลวงประจำมณฑล
“เจ้าเจ็ด บอกปู่มาสิว่าเจ้าเจ็บตรงไหน”
เด็กชายตอบสั้นๆ ว่า ”ปวดท้องขอรับ”
“เจ้าปวดท้องหรือ” อดีตฮ่องเต้ยื่นมือออกไปลูบพุงเล็กๆ นุ่มๆ นั้น แปลกจริงๆ เขาเลิกคิ้วขึ้น ท้องของเจ้าเจ็ดก็ไม่ได้มีอาการบวมแม้แต่นิดเดียว หรือบางทีเขาอาจจะแค่หิว?
แต่การที่เจ้าเจ็ดจะปล่อยให้ตัวเองหิวนั้นก็ยิ่งเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ เพราะเด็กคนนี้สามารถกินได้กระทั่งปลาสดๆ เลยด้วยซ้ำ
“เกิดอะไรขึ้นหรือ” อดีตฮ่องเต้หันไปถามเงาทมิฬที่ติดตามเขาอยู่อย่างใกล้ชิด
แววตาของเงาทมิฬไหววูบเพราะไม่รู้ว่าจะตอบคำถามนี้อย่างไร…
เด็กชายยังไม่ลืมภารกิจที่พี่สามมอบหมายให้ เขาทำหน้าเศร้าแล้วเอ่ยขึ้นว่า ”มีคนบังคับขายกุ้งเป็นตะกร้าให้ข้ากินขอรับ”
“ยังกินไม่อิ่มหรือ” อดีตฮ่องเต้สรุปโดยอ้างอิงจากนิสัยประจำตัวของหลานชายสุดที่รัก ”นำคำสั่งของข้าไปบอกห้องเครื่อง สั่งให้พวกเขาเตรียมอบกุ้งเสีย!”
เด็กชายยกมือขึ้นปิดปาก เขาน้ำลายแทบไหลเมื่อได้ยินคำว่ากุ้งอบ แต่เขาก็รู้ว่าเขาจะกินอะไรไม่ได้ถ้างานนี้ยังไม่สำเร็จ
“ข้าไม่หิวขอรับ ภัตตาคารแห่งนั้นแย่มาก เขาเอากุ้งเหม็นๆ มาให้ข้ากินขอรับ พอข้ากินเข้าไปจนหมดจาน ข้าก็เริ่มปวดท้องขึ้นมา แต่ตอนที่ข้าพยายามจะต่อว่าพวกเขา พวกเขากลับบอกข้าว่ามีผู้มีอิทธิพลให้การสนับสนุนร้านของพวกเขาอยู่ขอรับ”
เด็กชายม้วนตัวกลับเข้าไปในผ้าห่ม ก่อนจะหันหลังให้กับอดีตฮ่องเต้ จากนั้นเขาก็แสดงสีหน้าน่าสงสารออกมา เหมือนกับกำลังบอกว่าปล่อยข้าไปคนเดียวเถอะขอรับ โลกใบนี้ทำให้ข้าผิดหวังยิ่งนัก
เด็กชายคนนี้เล่นละครเก่งทีเดียว
“มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นด้วยรึ!” อดีตฮ่องเต้โกรธจนควันออกหู เขาไม่ได้เข้าข้างหลานชาย แต่นอกจากเป็นคนกินเก่งแล้ว เจ้าเจ็ดหลานชายคนโปรดของเขาก็ไม่เคยสร้างปัญหาให้กับใครมาก่อน เขารู้สึกตกใจยิ่งนักเมื่อรู้ว่ามีคนบังคับให้เด็กชายกินกุ้งบูดๆ พวกนั้นเข้า!
เมื่อคิดได้ดังนี้ อดีตฮ่องเต้ก็หันไปถามเงาทมิฬเสียงแข็งอย่างไม่พอใจว่า ”เงาทมิฬ เจ้าเจ็ดไปกินข้าวที่ไหนมา”
มันเป็นคำถามง่ายๆ เพียงคำถามเดียวเท่านั้น เงาทมิฬก้มหน้าลงแล้วตอบว่า ”องค์ชายเจ็ดแวะทานอาหารที่ภัตตาคารไห่ปินที่อยู่ในเมืองหลวงประจำมณฑลมาพ่ะย่ะค่ะ…”