ภัตตาคารไห่ปินหรือ
อดีตฮ่องเต้ขมวดคิ้ว มันคือภัตตาคารที่ส่งอาหารทะเลให้กับวังหลวงมิใช่หรือ
ภัตตาคารแห่งนี้มีชื่อเสียงค่อนข้างดีทีเดียวในหมู่เสนาบดี
ตามเมืองติดชายฝั่งแทบทุกเมืองล้วนแต่มีร้านสาขาของภัตตาคารนี้กันทั้งนั้น
สมัยยังหนุ่ม เขาเคยไปที่ภัตตาคารไห่ปินมาก่อน และค่อนข้างประทับใจกับการเยี่ยมเยือนครั้งนั้นทีเดียว พวกเขาใช้กุ้งมังกรตัวใหญ่สดๆ มาทำอาหาร และการบริการของพวกเขาก็ยังยอดเยี่ยมไร้ที่ติ เขาเคยปลอมเป็นสามัญชนไปสัมภาษณ์ความคิดเห็นของประชาชนในพื้นที่ที่มีต่อภัตตาคารแห่งนี้อีกด้วย ทุกคนล้วนแต่พึงพอใจกับภัตตาคารไห่ปินยิ่งนัก
เป็นไปได้อย่างไรที่ภัตตาคารที่มีชื่อเสียงเช่นนี้จะใช้กุ้งไม่สดมาปรุงอาหาร
เขามองภัตตาคารแห่งนี้ผิดไปหรือ
มีใครบางคนบงการภัตตาคารแห่งนี้อยู่เบื้องหลังหรือ
สมัยนี้กิจการภัตตาคารก็เข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องกับการเมืองแล้วหรือ
อดีตฮ่องเต้โมโหยิ่งนัก เขานวดท้องของหลานชายเบาๆ แล้วเอ่ยว่า ”เจ้าเจ็ด เอาไว้เจ้าค่อยเล่าสิ่งที่เกิดขึ้นในภัตตาคารไห่ปินให้ข้าฟังทีหลัง ตอนนี้ให้หมอหลวงมาตรวจชีพจรและสั่งยาให้เจ้าก่อน”
“ข้าไม่อยากกินยาขอรับ” เด็กชายหัวแข็ง เขายังคงปฏิเสธอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุด ไม่มีทางเสียล่ะ หมอหลวงคงได้ทำความแตกพอดีถ้าพวกเขาเข้ามาตรวจ ทุกคนจะรู้ว่าตลอดเวลาที่ผ่านมานี้เขาโกหกเรื่องที่ปวดท้องน่ะสิ ฮึ่ม! เขาไม่ยอมแพ้หรอก!
อดีตฮ่องเต้พยายามเกลี้ยกล่อมหลานชาย ”เด็กดี เจ้าป่วยแล้วจะไม่กินยาได้อย่างไร อย่าห่วงไปเลย ยาไม่ได้ขมเสมอไปหรอก”
องค์ชายตัวน้อยนอนคว่ำทำเป็นแกล้งป่วย เมื่อบวกกับสีหน้าซุกซนที่เขามักทำอยู่เสมอแล้ว เวลานี้เขาจึงยิ่งดูน่าเอ็นดูขึ้นไปอีก หลังจากได้ยินคำพูดของอดีตฮ่องเต้ เขาก็ตอบอย่างดื้อรั้นว่า ”เสด็จปู่ ถึงข้าจะอายุยังน้อย แต่ข้าก็มีสติปัญญานะขอรับ ยาที่ไหนก็ขมเหมือนกันหมดนั่นแหละ”
อดีตฮ่องเต้ : …
“เช่นนั้นเจ้าอยากได้อะไรหรือ” เมื่อครู่นี้อดีตฮ่องเต้เพิ่งรู้สึกสงสารเด็กชายไปหยกๆ แต่ตอนนี้อดีตฮ่องเต้กลับรู้สึกอยากตีเจ้าหลานชายคนนี้ขึ้นมาเสียแล้ว
หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง เด็กชายก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียดว่า ”พี่สามเคยบอกข้าว่านกกระเรียนมีพลังเซียนขอรับ การกินเนื้อกระเรียนสามารถช่วยเพิ่มพละกำลังและยังช่วยบำรุงร่างกายให้แข็งแรงขึ้นอีกด้วย เสด็จปู่สั่งให้ห้องเครื่องเอานกกระเรียนไปต้มเป็นน้ำแกงดีไหมขอรับ เสด็จปู่จะได้กินด้วย เราจะได้แบ่งสรรพคุณของมันด้วยกัน”
ขันทีซุนถึงกับตกตะลึงกับคำขอขององค์ชาย ในเวลานี้องค์ชายเจ็ดตัวน้อยยังอยากกินนกกระเรียนของอดีตฮ่องเต้อยู่อีกหรือ
องค์ชายลืมไปแล้วหรือว่าเหตุใดเขาถึงถูกไล่ออกจากวัง
บรรดาองครักษ์เงาแกล้งทำเป็นหูทวนลมกับบทสนทนานั้น พวกเขาพร้อมใจกันมองเพดานโดยพร้อมเพรียงกัน
สีหน้าของอดีตฮ่องเต้เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว เขาคำรามออกมาว่า ”เจ้าเด็กนี่!”
“ใจเย็นๆ พ่ะย่ะค่ะ อดีตฮ่องเต้ ใจเย็นๆ ก่อนพ่ะย่ะค่ะ!” ขันทีซุนรีบเข้าไปยื้ออดีตฮ่องเต้เอาไว้ ”ฝ่าบาท องค์ชายน้อยยังทรงประชวรอยู่…”
อดีตฮ่องเต้หายใจเข้าลึกๆ แล้วเอ่ยว่า ”เขาดูไม่เหมือนคนป่วยเลยสักนิด!” ทั้งที่ปวดท้อง แต่เด็กชายก็ยังถามหาอาหารอยู่เลย
“เอ่อ… ฝ่าบาท ท่านก็รู้ว่านิสัยขององค์ชายน้อยเป็นอย่างไรนี่พ่ะย่ะค่ะ” ขันทีซุนไม่มีทางเลือกนอกจากช่วยหาข้ออ้างให้กับเจ้านายตัวน้อยของเขา
เด็กชายทำปากยื่น แล้วพูดขึ้นอย่างขมขื่นว่า ”เสด็จปู่ ท่านเองก็ไม่ใช่หนุ่มๆ แล้วนะขอรับ โมโหบ่อยๆ เช่นนี้จะไม่ดีต่อสุขภาพเอาได้”
เจ้าเด็กคนนี้พยายามจะยั่วโมโหใครกันแน่ อดีตฮ่องเต้รู้สึกหงุดหงิด แต่เขาก็ทำอะไรไม่ได้เช่นกัน เขามองเด็กชายแล้วถามว่า ”บอกข้ามาตามตรง เจ้าปวดท้องจริงๆ หรือ”
“จริงสิขอรับ” เด็กชายยื่นพุงให้เขาดู ”ตอนที่ข้าอยู่กับท่านลุง ข้ายังไม่เคยกินเนื้อที่มีกลิ่นเลยนะขอรับ” เขาพูดความจริง ทุกอย่างที่เขากินล้วนแต่ได้รับการปรุงขึ้นแบบสดใหม่ทั้งสิ้น
อดีตฮ่องเต้เคยยุ่งเสียจนไม่มีโอกาสได้ดูแลองค์ชายสาม ดังนั้นเพื่อเป็นการชดเชย เขาจึงทุ่มเทความรักทั้งหมดของตัวเองให้กับเจ้าเจ็ดแทน แต่เพราะเขารู้ดีว่าวังหลวงเป็นสถานที่ที่อันตรายเกินไป ดังนั้นเขาจึงโล่งใจกว่าหากส่งองค์ชายเจ็ดตัวน้อยออกจากวังเพื่อความปลอดภัยของตัวเขาเอง
เด็กชายแตกต่างจากองค์ชายคนอื่นๆ เขาไม่เคยเลือกกิน และนั่นทำให้เขาเป็นคนที่เลี้ยงดูได้ง่าย
อดีตฮ่องเต้ได้ยินมาว่าเด็กๆ ที่สำนักไท่ไป๋ไม่ค่อยได้กินเนื้อเท่าใดนัก
เมื่อเขาได้ยินเสียงบ่นจากเจ้าเจ็ด เขาก็รู้สึกสงสารเด็กชายขึ้นมาอีกครั้ง
“ตอนนี้เจ้ายังกินนกกระเรียนไม่ได้ เพราะเจ้ากำลังปวดท้องอยู่ เจ้าควรกินอาหารอ่อนๆ ก่อน” อดีตฮ่องเต้ลูบศีรษะโล้นขององค์ชายตัวน้อยเบาๆ แต่ก่อนที่เขาจะทันได้เรียกข้ารับใช้จากห้องเครื่องเข้ามา ขันทีคนหนึ่งก็ถือหนังสือฉบับหนึ่งเข้ามาพร้อมบอกว่ามันเป็นรายงานสำคัญ
อดีตฮ่องเต้รับหนังสือฉบับนั้นมา ก่อนจะกวาดสายตามองมันคร่าวๆ จากนั้นเขาก็เยาะเย้ยขึ้นว่า ”มิน่าล่ะ คนพวกนั้นถึงบอกว่ามีคนอยู่เบื้องหลังภัตตาคารแห่งนั้น! เป็นเรื่องจริงนี่เอง เจ้าเจ็ด เล่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นที่ภัตตาคารไห่ปินให้ข้าฟังสิ”
เด็กชายหัวโล้นพยักหน้าขึงขัง และบรรยายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเมืองหลวงประจำมณฑลให้เขาฟัง พอเล่าจบ เขาก็เริ่มลูบท้องของตัวเองอีกครั้ง
ปัง!
อดีตฮ่องเต้ฟาดหนังสือฉบับนั้นลงกับโต๊ะ ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความเย็นชา ”ขันทีซุน ไปเก็บของ วันพรุ่งนี้เราจะออกจากวังทันทีที่ฟ้าสาง”
“พ่ะย่ะค่ะ” ขันทีซุนเก็บหนังสือฉบับนั้นขึ้นมาอย่างระมัดระวัง ตอนแรกเขายังงุนงงอยู่ แต่พอได้อ่านหนังสือฉบับนั้น เขาก็เข้าใจเหตุผลที่อยู่เบื้องหลังโทสะของอดีตฮ่องเต้ได้ทันที
มันเป็นข้อร้องเรียนที่ตั้งใจจะฟ้องผู้ว่าการเฉิน
แต่ที่แย่ยิ่งกว่านั้นคือข้อความที่กล่าวพาดพิงถึง ’ใต้เท้าเว่ย’ ตามที่เขียนอยู่ในหนังสือฉบับนั้น ใต้เท้าเว่ยใช้อำนาจในทางมิชอบเพื่อกลั่นแกล้งภัตตาคารแห่งนั้น และปลุกปั่นประชาชนด้วยพฤติกรรมอันไม่เหมาะสมของตนเอง
ขันทีซุนที่รับใช้อดีตฮ่องเต้อย่างใกล้ชิดย่อมรู้ถึงฐานะที่แท้จริงของ ’ใต้เท้าเว่ย’ ดี
ใต้เท้าเว่ยไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นพระชายานั่นเอง!
ต่อให้ไร้ซึ่งฐานะพระชายา แต่ภายในเวลาเพียงแค่สองวัน นางก็ทำคุณประโยชน์ให้กับเมืองฟู่ผิงยิ่งกว่าบรรดาขุนนางไร้ความสามารถที่ประจำอยู่ที่นั่นเสียอีก
อดีตฮ่องเต้พอใจเป็นอย่างยิ่งตอนที่เขาได้รับหนังสือจากผู้ว่าการเฉิน
อันที่จริง การที่อดีตฮ่องเต้จะแสดงความกังวลออกมาอย่างชัดเจนถึงเพียงนี้ก็ถูกต้องแล้ว เพราะภัยแล้งเป็นสิ่งที่มาเยี่ยมเยือนที่นี่ทุกปี
เพราะมีข้าวสารไม่เพียงพอ ประชาชนจึงแห่กันมาที่เมืองหลวงเพื่อร้องขออาหาร สำหรับอดีตฮ่องเต้นั้นนั่นเป็นภาพที่น่าหดหู่ที่สุด
แต่พระชายากลับสามารถประดิษฐ์สิ่งที่เรียกว่าเครื่องสูบน้ำขึ้นมาได้สำเร็จ!
มันเป็นสิ่งประดิษฐ์ที่สามารถสร้างประโยชน์ให้กับจักรวรรดิจ้านหลงได้ทั้งจักรวรรดิ!
เป็นเพราะองค์ชายกับพระชายายังไม่กลับมา การที่อดีตฮ่องเต้จะเปิดโปงฐานะที่แท้จริงของพวกเขานั้นย่อมเป็นสิ่งที่ไม่สมเหตุสมผลยิ่งนัก ถ้าเขาคิดที่จะทำเช่นนั้นจริง ป่านนี้อดีตฮ่องเต้คงจัดงานเฉลิมฉลองให้กับความสำเร็จของนาง และมอบตำแหน่งพระชายาให้นางอย่างเป็นทางการไปแล้ว
นางถูกกล่าวหาว่าเป็นคนไม่มีหัวนอนปลายเท้าได้อย่างไร
ยิ่งขันทีซุนคิดเรื่องนี้มากเพียงใด เขาก็ยิ่งรู้สึกโมโหขึ้นเท่านั้น สุดท้ายเขาก็เริ่มลงมือเก็บสัมภาระอย่างรวดเร็ว
แม้อดีตฮ่องเต้จะดูสงบเยือกเย็น แต่เขาก็ตั้งใจว่าจะกำจัดตระกูลเฮ่อเหลียนให้ราบคาบ
ความจริงแล้วเขาคงไม่โกรธถึงเพียงนี้หากผู้อาวุโสเฮ่อเหลียนไม่ได้ส่งหนังสือฉบับนี้มาหาเขา
แต่การรักษาสมดุลทางอำนาจก็เป็นสิ่งสำคัญในราชสำนัก การกดดันใครคนหนึ่งมากเกินไปนั้นย่อมไม่ใช่สิ่งที่ดี
แต่มันก็เป็นเพียงแค่ภัตตาคารเล็กๆ แห่งหนึ่งเท่านั้น
กล้าดีอย่างไรถึงหลอกลวงผู้คนเช่นนั้นได้
ต้องมีคนในราชสำนักจำนวนไม่น้อยที่มีส่วนช่วยให้ภัตตาคารแห่งนี้กล้าสร้างเรื่องโกหกพวกนั้นขึ้นมาได้ แม้กระทั่งเขาเองก็ยังโดนหลอก!
หึ อาหารโปรดของเขาคืออาหารทะเลอย่างนั้นหรือ
ขนาดเขาเองยังไม่รู้เรื่องนี้เลยด้วยซ้ำ!
อีกด้านหนึ่งนั้น เลี่ยวฉิงเทียนที่อยู่ในเมืองหลวงประจำมณฑลกำลังตื่นเต้นกับหนังสือที่ได้รับกลับมา ”เป็นอย่างที่ข้าคิดเอาไว้ เจ้าคนแซ่เว่ยรนหาเรื่องเสียไม่มีที่ตัดสินใจมาหาเรื่องกับภัตตาคารไห่ปิน! ผู้อาวุโสส่งหนังสือไปถึงอดีตฮ่องเต้แล้ว อดีตฮ่องเต้น่าจะมาถึงที่นี่ในบ่ายวันพรุ่งนี้”
“แม่ทัพเลี่ยวช่างเป็นชายที่มีวิสัยทัศน์ยิ่งนัก” ขุนนางคนอื่นๆ ที่นั่งอยู่ข้างเขาพากันยกนิ้วให้ พวกเขาหัวเราะอย่างเบิกบาน ก่อนจะเอ่ยว่า ”ทีนี้เจ้าคนแซ่เว่ยคงได้รู้สึกเสียใจกับการกระทำของตัวเองอย่างสุดซึ้งแน่เลยขอรับ!”
“เสียใจหรือ อดีตฮ่องเต้ย่อมไม่ทนอยู่เฉยแน่หากเขารู้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเข้า” เลี่ยวฉิงเทียนเผยรอยยิ้มอันเย็นชาออกมา พลางกล่าวว่า ”เขาต้องไล่เจ้าหมอนั่นออกจากตำแหน่ง และจับกุมตัวที่ปรึกษาส่วนตัวที่ติดตามเว่ยเวยไปด้วยแน่ๆ!” ในเมื่อผู้อาวุโสอนุญาตให้เขาจัดการเรื่องนี้ได้อย่างเต็มที่ เช่นนั้นเขาก็จะทำหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายนี้อย่างไม่ลังเล