มีคนจำนวนมากที่รู้สึกไม่เข้าใจ
นี่เป็นครั้งแรกที่เลี่ยวเหวินเหวินถูกรุมมองเช่นนี้ และเรื่องนี้ก็ทำให้นางโมโหจนไม่สามารถหยุดถ้อยคำที่พรั่งพรูออกมาจากปากของตัวเองได้อีกต่อไป ”หวังเถิงอวิ๋น ท่านทำเช่นนี้กับข้าได้อย่างไร! ท่านไม่กลัวท่านพ่อของข้าหรือ!”
สาวใช้ที่ยืนอยู่ข้างนางตะโกนขึ้นเป็นลูกคู่ ”ผู้ดูแลหวัง ท่านควรคิดให้ดีก่อนพูดอะไรออกมานะเจ้าคะ!”
“ข้าคิดดีแล้ว อีกอย่างหนึ่ง พวกเจ้าต่างหากที่ควรจะเป็นฝ่ายขอโทษคุณชายทั้งสองท่านนี้ ถ้าไม่อย่างนั้นก็ออกไปจากร้านเวยเจ๋อซะ!” หวังเถิงอวิ๋นหัวเราะเล็กน้อย ความอบอุ่นอ่อนโยนที่เขาแสร้งแสดงออกมาเมื่ออยู่ในวงการธุรกิจก่อนหน้านี้หายไปจนหมดสิ้น สิ่งเดียวที่เหลืออยู่คือสีหน้าเย็นชาราวกับน้ำแข็ง
เลี่ยวเหวินเหวินคิดไม่ถึงว่าสถานการณ์จะพลิกกลับมาว่านางเป็นฝ่ายผิด ในเสี้ยววินาทีนั้นใบหน้าของนางก็พลันซีดเผือด นางกรีดร้องออกมาว่า ”เจ้าบอกให้ข้าขอโทษเจ้าพวกบ้านนอกสองคนนี้หรือ หวังเถิงอวิ๋น ข้าเดาว่าเจ้าคงไม่กลัวว่าท่านพ่อของข้าจะรู้เรื่องนี้เข้าจริงๆ สินะ!”
“ท่านพ่อของเจ้าหรือ” หวังเถิงอวิ๋นแค่นหัวเราะ ”แม่ทัพเลี่ยวน่ะหรือ ทำไมเจ้าไม่กลับไปถามท่านพ่อของเจ้าดูล่ะว่าเขากล้าต่อกรกับนายน้อยของพวกข้าหรือเปล่า ถ้าเขากล้าพอ ข้าจะกลับไปที่เมืองหลวง แล้วพากองกำลังลับของนายน้อยมาที่นี่เดี๋ยวนี้เลย” คิดจะใช้กำลังทหารมาท้าทายข้าหรือ ข้าบดขยี้เจ้าได้ง่ายดายจะตายไป
“เจ้า… เจ้า…” เลี่ยวเหวินเหวินโมโหยิ่งนัก แม้กระทั่งนิ้วของนางก็ยังสั่นระริกด้วยความเดือดดาล เมื่อตระหนักได้ว่าหวังเถิงอวิ๋นไม่คิดจะถอยให้ นางก็ตวัดสายตาไปหาเฮ่อเหลียนเวยเวยแล้วคำรามว่า ”คอยดูก็แล้วกัน!” พอพูดจบนางก็ทำหน้าคล้ายจะร้องไห้เหมือนคนถูกรังแก แล้วกระทืบเท้าเดินออกจากร้านเวยเจ๋อทั้งน้ำตา
หนึ่งในพนักงานต้อนรับที่เป็นคนท้องถิ่นเตือนหวังเถิงอวิ๋นด้วยความเป็นห่วงว่า ”ผู้ดูแลหวัง บิดาของคุณหนูเลี่ยวคือ…”
“ข้ามีวิธีรับมือกับเรื่องนี้ด้วยตัวเอง” หวังเถิงอวิ๋นตัดบทพนักงานต้อนรับคนนั้นทันที
พนักงานต้อนรับคนนั้นส่ายหน้า แล้วกล่าวว่า ”แม้ตำแหน่งขุนนางของเลี่ยวฉิงเทียนจะไม่สูงนัก แต่เขาก็มีอิทธิพลในเมืองหลวงประจำมณฑลอย่างมาก ผู้ดูแลหวัง ท่านควรจะระวังให้มาก เราไม่จำเป็นต้องเสียมารยาทต่อนางเพียงเพื่อลูกค้าสองท่านนี้เลยขอรับ”
หวังเถิงอวิ๋นอดคิดขึ้นมาในใจไม่ได้ว่า เจ้ารู้หรือเปล่าว่าลูกค้าสองท่านที่ว่านี้คือใคร ถ้าข้าไม่ไล่เด็กสาวตระกูลเลี่ยวออกไปละก็ มีหวังพวกเจ้าทุกคนได้ตกงานกันแน่!
ช่างกล้าดียิ่งนักที่สั่งให้นายน้อยของพวกเขาออกไปจากร้านเวยเจ๋อ!
นางเป็นคนที่ยิงปืนใส่เท้า และยังขอให้ตบหน้าตัวเองด้วยต่างหาก!
โชคดีที่เขาไม่ได้สนิทสนมอะไรกับเด็กสาวตระกูลเลี่ยวคนนั้น ไม่อย่างนั้นละก็…
หวังเถิงอวิ๋นถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก แล้วหันไปบอกกับพนักงานต้อนรับคนนั้นว่า ”ข้าเข้าใจแล้ว พวกเจ้ากลับไปทำงานเถอะ…”
พนักงานต้อนรับขานรับ ก่อนจะลดม่านลง
เมื่อมั่นใจว่ารอบๆ ไม่มีคนอื่นอยู่อีก ในที่สุดหวังเถิงอวิ๋นจึงเดินเข้าไปที่โต๊ะของพวกเฮ่อเหลียนเวยเวย
เฮ่อเหลียนเวยเวยยิ้ม ”ผู้ดูแลหวังช่างเนื้อหอมในหมู่สตรียิ่งนัก”
“นายน้อย อย่าล้อข้าเล่นเลยขอรับ” หวังเถิงอวิ๋นแทบจะร้องไห้ออกมา
เฮ่อเหลียนเวยเวยเลิกคิ้วขึ้น ”จากที่ข้าเห็น คุณหนูผู้นี้ปฏิบัติกับเจ้าค่อนข้างดีทีเดียว นางถึงกับตัดสินใจเรื่องภายในร้านเวยเจ๋อแทนเจ้าเชียวนะ เจ้าน่าจะรีบจับมือนางเข้าสู่พิธีสมรสแล้วพากลับบ้านเสียเลยไม่ดีหรือ”
“นายน้อย…” หวังเถิงอวิ๋นยืนหลังตรงทันที ”ข้ากับเลี่ยวเหวินเหวินไม่มีความสัมพันธ์อันใดกันแม้แต่น้อยขอรับ เพียงแต่เป็นเพราะว่าเลี่ยวฉิงเทียนบิดาของนางกำลังพยายามที่จะซื้ออาวุธเพิ่มจากร้านเรา พวกเราจึงได้ติดต่อกันอยู่บ่อยๆ ต่างหากล่ะขอรับ นายน้อย ข้าทุ่มเทร่างกายให้กับร้านของพวกเราถึงเพียงนี้ ท่านจะเข้าใจข้าผิดเช่นนี้ไม่ได้นะขอรับ”
ริมฝีปากของเฮ่อเหลียนเวยเวยกระตุกขึ้นเป็นรอยยิ้ม ”เจ้าพูดอย่างกับว่าร้านเวยเจ๋อเป็นหอนายโลมไม่มีผิดหากการทำธุรกิจกับเขาไม่เป็นที่น่าพอใจ เช่นนั้นก็แค่ย้ายชื่อเขาออกจากรายชื่อซะ ทำเช่นนั้นสาขาก็จะไม่ขายอาวุธให้กับตระกูลเลี่ยวเช่นกัน จำใส่ใจไว้ให้ดีล่ะว่ามันเป็นกฎ!”
“ได้เลยขอรับ!” หวังเถิงอวิ๋นถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก ”ว่าแต่นายน้อยมาทำอะไรที่เมืองหลวงประจำมณฑลหรือขอรับ” ไม่ใช่ว่าเวลานี้นายน้อยควรจะอยู่ที่วังหลวง และคิดหาวิธีการรับมือกับผู้ดูแลคนอื่นๆ ของตระกูลเฮ่อเหลียนหรอกหรือ
เฮ่อเหลียนเวยเวยส่งเสียงตอบอย่างไม่ใส่ใจว่า ”ข้ามาที่นี่ในฐานะจือฝู่”
“มาในฐานะจือฝู่หรือขอรับ” หวังเถิงอวิ๋นอ้าปากค้างเล็กน้อย เมื่อเขาลองคิดดูให้ดีแล้ว เขาก็นึกขึ้นมาได้ว่าตำแหน่งจือฝู่นั้นต่ำต้อยเพียงใด เขาจึงหันหน้าไปมองใบหน้าหล่อเหลาอันยากจะมองข้ามได้ของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยอย่างเงียบๆ บอกตามตรงว่าทุกครั้งที่เขายืนอยู่หน้าองค์ชายสาม เขามักจะรู้สึกได้ถึงความกดดันอันยากจะอธิบายเป็นคำพูดเช่นนี้ได้อยู่เสมอ ”แล้วองค์ชายสามล่ะขอรับ”
เฮ่อเหลียนเวยเวยยิ้มออกมาอีกครั้ง ”ตอนนี้เขาไม่ใช่องค์ชาย แต่เป็นที่ปรึกษาส่วนตัวของข้า”
น้ำเสียงของนางฟังดูโอ้อวดเกินไปหรือเปล่า เขาก็เป็นแค่ที่ปรึกษาส่วนตัวมิใช่หรือ… เดี๋ยวก่อนนะ นายน้อยบอกว่าอะไรนะ ที่- ที่ปรึกษาส่วนตัวหรือ
หวังเถิงอวิ๋นกลืนน้ำลายเสียงดังเอื๊อก องค์ชายรัชทายาทมาที่เมืองหลวงประจำมณฑลแห่งนี้ในฐานะที่ปรึกษาส่วนตัวหรือ
อดีตฮ่องเต้ทรงรู้เรื่องนี้หรือเปล่า?!
“ตอนแรกข้านึกว่าการเป็นขุนนางของราชสำนักจะเป็นเรื่องง่ายเสียอีก” เฮ่อเหลียนเวยเวยยกมือขึ้นเท้าคาง พร้อมกับถอนหายใจออกมา ”ข้านึกไม่ถึงเลยว่าไปที่ไหนก็จะมีแต่คนกลั่นแกล้งเช่นนี้”
มุมปากของหวังเถิงอวิ๋นถึงกับกระตุก ”ท่านถูกกลั่นแกล้งหรือขอรับ” นายน้อย ท่าทางสูงส่งยากจะหาใครเทียมของท่านเป็นเพียงแค่เครื่องประดับหรือขอรับ มิหนำซ้ำหากท่านถูกกลั่นแกล้งจริง คนคนนั้นที่อยู่ข้างกายท่านก็สามารถวางแผนฆ่าคนพวกนั้นได้ในเวลาไม่กี่นาทีเลยด้วยซ้ำ วิธีการขององค์ชายสามนั้นโหดเหี้ยมกว่าวิธีการของท่านอีกนะขอรับ!
เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่ยอมรับว่าตัวเองก็โหดร้ายใช่เล่น นางคิดว่าตัวเองเป็นเพียงแค่คนตัวเล็กๆ อ่อนแอคนหนึ่งเท่านั้น นางเอ่ยอย่างเกียจคร้านว่า ”เมื่อครู่นี้คนรักของเจ้าก็ยังคิดจะไล่ข้าออกไปจากที่นี่เลยมิใช่หรือ”
“นายน้อย ท่านปล่อยเรื่องนี้ให้เป็นอดีตไปเถอะขอรับ” หวังเถิงอวิ๋นอยากจะร้องไห้แต่ไม่มีน้ำตา นี่ต้องเป็นช่วงเวลาที่มืดมนที่สุดในชีวิตเขาอย่างไม่ผิดแน่ ถ้าบรรดาพี่ชายของเขาที่อยู่ในกองกำลังลับรู้เรื่องนี้เข้า เขาจะมีความเห็นเช่นใดกัน
หลังจากเฮ่อเหลียนเวยเวยแกล้งเขาเสร็จ น้ำเสียงของนางก็แปรเปลี่ยนไปเป็นเคร่งเครียดจริงจัง ”ในเมื่อเลี่ยวฉิงเทียนคิดจะสร้างปัญหาให้ข้า เช่นนั้นจงไปบอกให้พี่น้องของเรามาที่เมืองหลวงประจำมณฑล และเตรียมตัวทำสงครามขนาดย่อมซะ”
“สร้างปัญหาให้ท่านหรือขอรับ” หวังเถิงอวิ๋นขมวดคิ้ว ”ทำไมล่ะขอรับ ถึงเลี่ยวฉิงเทียนจะเป็นคนเฮงซวย แต่เขาก็เป็นคนที่ให้ความสำคัญกับบรรดาขุนนางมาก ในเมื่อท่านเป็นจือฝู่ที่เพิ่งได้รับการแต่งตั้งมาใหม่ สิ่งแรกที่เขาควรทำก็คือการเอาชนะใจท่านมิใช่หรือขอรับ”
เฮ่อเหลียนเวยเวยยิ้มอย่างน่ามอง ”ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าก่อนที่ข้าจะมาถึงเมืองหลวงประจำมณฑล ข้าแวะไปที่เมืองฟู่ผิง และจับพี่ชายกับหลานชายของเขาน่ะสิ”
หวังเถิงอวิ๋น : …
“อีกอย่างหนึ่ง…” เฮ่อเหลียนเวยเวยเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนที่มุมปากของนางจะกระตุกขึ้นเล็กน้อย ”ข้าก็ตั้งใจจะสั่งปิดภัตตาคารไห่ปินด้วย”
หวังเถิงอวิ๋นเคยได้ยินเรื่องเกี่ยวกับภัตตาคารไห่ปินมาเหมือนกัน เขาเงยหน้ามองฟ้าอย่างอับจนปัญญา แล้วกล่าวว่า ”ข้ากล้าเดิมพันเลยขอรับว่านายน้อยคงปรากฏตัวขึ้นในฝันของเลี่ยวฉิงเทียนทุกคืนเป็นแน่ เขาคงรอที่จะได้บีบคอท่านให้ตายคามือแทบไม่ไหวแล้ว”
“ขอบใจ แต่คนแบบเขาไม่ใช่รสนิยมของข้าหรอก” เฮ่อเหลียนเวยเวยเอนตัวพิงไป๋หลี่เจียเจวี๋ย พลางเอ่ยขึ้นเสียงดังฟังชัดว่า ”เจ้าเองก็ควรไปเตรียมตัวได้แล้ว ข้าว่าพี่น้องของเราคงแทบรอที่จะลงมือไม่ไหวแล้วเหมือนกัน”
หวังเถิงอวิ๋นก้มหน้าลง แล้วตอบด้วยน้ำเสียงเต็มไปด้วยความอบอุ่นอย่างที่สุดว่า ”ขอรับ…”
ค่ำคืนนี้คงจะไม่ใช่คืนที่สงบสุข
สิ่งแรกที่เลี่ยวเหวินเหวินทำทันทีหลังจากกลับมาถึงจวนคือการวิ่งไปร้องไห้กับเลี่ยวฉิงเทียน นางเล่าว่า ’มีคนบ้านนอกสองคนเข้ามาขวางทางนาง และเป็นเพราะสองคนนั้นนั่นเองที่ทำให้หวังเถิงอวิ๋นที่มีใจให้นางไล่นางออกจากร้านเวยเจ๋อ’
หลังจากได้ยินเรื่องที่บุตรสาวสุดที่รักเล่า เลี่ยวฉิงเทียนก็หรี่ตาลง ”เมื่อครู่นี้เจ้าบอกว่าหนึ่งในสองคนนั้น คนหนึ่งแซ่เว่ยหรือ”
“เจ้าค่ะ” เลี่ยวเหวินเหวินสูดน้ำมูก พร้อมกับพยายามเช็ดน้ำตาของตัวเอง
เลี่ยวฉิงเทียนลูบหลังของนางเพื่อปลอบใจ แล้วหัวเราะออกมาอย่างเย็นชา ”เขาไม่ได้เป็นแค่คนบ้านนอกธรรมดา แต่เป็นจือฝู่ที่เพิ่งถูกแต่งตั้งมาใหม่ต่างหาก”
“จือฝู่ที่เพิ่งถูกแต่งตั้งมาใหม่หรือเจ้าคะ เช่นนั้น…” เลี่ยวเหวินเหวินลังเล
แต่น้ำเสียงของเลี่ยวฉิงเทียนกลับแปรเปลี่ยนเป็นโหดเหี้ยม เขาเอ่ยว่า ”แต่อย่างไรเขาก็มาจากชนบทอย่างที่เจ้าว่า ไม่ต้องห่วง ทันทีที่วันพรุ่งนี้สิ้นสุดลง เจ้าเด็กจากตระกูลเว่ยผู้นี้มันจะไม่ได้เป็นอะไรไปมากกว่าสามัญชนไร้ค่าและเจ้าจะได้ระบายความโกรธได้มากเท่าที่ต้องการ!”
เวลานี้ทหารที่เขาส่งไปจับกุมที่ปรึกษาหลงน่าจะเริ่มเคลื่อนไหวแล้ว หากเสียมือขวาไป เจ้าคนแซ่เว่ยผู้นั้นย่อมไม่สามารถยื้อสถานการณ์เอาไว้ได้นานนัก….