เวลาดึกสงัด ณ ด้านในศาลาว่าการ
เฮ่อเหลียนเวยเวยยังไม่รู้ถึงสถานการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้น ดังนั้นสิ่งแรกที่นางทำหลังจากกลับมาจากข้างนอกคือการชำระล้างร่างกาย
ผมของนางยังเปียกชุ่มหลังจากอาบน้ำเสร็จ และเพราะฐานะปัจจุบันที่นางมี นางจึงไม่สามารถผ่อนคลายได้เหมือนตอนอยู่ที่วังหลวง ในเมื่อไม่มีใครช่วยเช็ดผมให้นาง ดังนั้นนางจึงไม่มีตัวเลือกอื่นนอกจากต้องทำมันด้วยตัวเอง
แต่ก่อนที่นางจะทันได้ยกมือ ผ้านุ่มๆๆ ผืนหนึ่งก็คลุมลงมาที่ศีรษะ ตามมาด้วยสัมผัสจากนิ้วมือเย็นเยียบ
“นี่เจ้าเดินออกมาทั้งที่ผมยังไม่แห้งดีหรือ เจ้าอยากเป็นหวัดหรืออย่างไร” คิ้วของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยขมวดเข้าหากัน แต่การเคลื่อนไหวของเขายังเต็มไปด้วยความอดทน
จากมุมที่เฮ่อเหลียนเวยเวยเห็น นางมองเห็นเพียงแค่ช่วงขาเรียวยาวที่ทำให้ชายทุกคนต่างรู้สึกอิจฉา เขาไม่มีแม้กระทั่งไขมันส่วนเกินเลยด้วยซ้ำ องค์ชายช่างเป็นคนที่มีรูปร่างงดงามเสียจริง
คุณพี่ขายาว
ไม่รู้ว่าทำไม แต่ทันทีที่เฮ่อเหลียนเวยเวยนึกถึงคำนี้ขึ้นมา นางก็หลุดหัวเราะออกมาอย่างชอบใจพร้อมกับหรี่ตาลงอย่างมีความสุข ขณะเพลิดเพลินไปกับแรงนวดแสนสบายเหมือนแมวที่ถูกเอาใจ นางเอ่ยขึ้นอย่างเกียจคร้านว่า ”อากาศเช่นนี้ข้าคงไม่น่าจะล้มป่วยได้กระมัง ว่าแต่เมื่อครู่นี้ท่านไปไหนมาหรือ”
มือของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยชะงักไป จากนั้นเขาจึงตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า ”ข้าไปจัดการเรื่องบางอย่างมา”
เฮ่อเหลียนเวยเวยเลิกคิ้วขึ้น แต่ไม่ได้ถามอะไรอีก นางพอจะรู้อยู่ว่าวิธีการของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเป็นเช่นใด แต่เขาไม่อยากให้นางได้รู้ถึงสิ่งที่โหดร้ายเช่นนั้น
“เล่นหมากรุกกันหน่อยไหม”
นอกจากการนอนแล้ว งานอดิเรกอีกอย่างหนึ่งขององค์ชายก็คือการเล่นหมากรุก เมื่ออยู่กันสองต่อสองเช่นนี้ หมากรุกสักกระดานย่อมเป็นตัวเลือกที่ปลอดภัยกว่าสำหรับนาง
เฮ่อเหลียนเวยเวยคำนวณทั้งหมดเป็นอย่างดี
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยดึงผ้าผืนนั้นออก แล้วมองนางจากมุมสูงด้วยท่าทางเหมือนพร้อมจะอุ้มนางขึ้นได้ทุกเวลา เขาถามขึ้นด้วยน้ำเสียงชั่วร้ายว่า ”หมากรุก? เจ้าน่ะหรือ”
“ท่านต้องต่อให้ข้าสิบตา” เฮ่อเหลียนเวยเวยยื่นข้อเสนออย่างไม่สะทกสะท้าน
ทันใดนั้นไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก็ย่อตัวลงแล้วกัดริมฝีปากของนางเบาๆ ก่อนถามต่อด้วยน้ำเสียงทุ้มลึกแฝงไปด้วยความสง่างามว่า ”เดิมพันด้วยอะไรล่ะ”
“เงินหมื่นตำลึง” เฮ่อเหลียนเวยเวยพบว่าการห้ามตัวเองไม่ให้เขินนั้นช่างเป็นเรื่องยากยิ่งนัก
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยส่งเสียงตอบรับในลำคอ จากนั้นจึงยืนตัวตรง พร้อมกับมองนางกึ่งยิ้มกึ่งไม่ยิ้ม ”เขินหรือ”
“ก็ท่านเข้ามาจูบข้ากะทันหันนี่” เฮ่อเหลียนเวยเวยพึมพำตอบ
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยอุ้มนางขึ้น ร่างอันสมส่วนของเขาปรากฏให้เห็นอยู่ภายใต้แสงเทียน กลิ่นอายเย้ายวนล่องลอยอยู่ในอากาศเหมือนกับเปลวไฟจากแสงเทียน แม้กระทั่งน้ำเสียงของเขาก็ยังฟังดูทุ้มต่ำกว่าที่เคย ”ทักษะการเล่นหมากรุกของเจ้าไม่ได้เรื่อง แต่ข้าจะสอนเจ้าเอง”
ก่อนที่เฮ่อเหลียนเวยเวยจะทันได้มีโอกาสปฏิเสธข้อเสนอนั้น ทั้งสองก็มานั่งอยู่ตรงหน้ากระดานหมากเสียแล้ว แขนเสื้อสีขาวของเขาเคลื่อนไหวไปรอบๆ ราวกับม้วนภาพวาด
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยสอนนางเล่นหมากรุกจริง แต่เขากลับสอนนางทั้งที่ยังกอดนางเอาไว้จากทางด้านหลัง พร้อมจับมือนางให้หยิบตัวเบี้ยสีดำและขาวเหล่านั้นขึ้นมา ความอบอุ่นที่ทาบทับอยู่บนนิ้วมือนั้นทำให้นางยากจะรวบรวมสมาธิได้
“เจ้าคิดอะไรอยู่หรือ” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยถามนางข้างหู ”ถ้าตานี้เจ้าแพ้อีก เมื่อกลับไปถึงวังหลวงแล้วเจ้าจะต้องยอมตามใจข้าทุกอย่าง ตกลงหรือเปล่า”
เฮ่อเหลียนเวยเวยย่อมรู้ว่าความหมายของคำว่า ’ตามใจ’ นั้นคืออะไร นางรู้สึกเสียววาบไปทั้งร่าง นางรีบผลักเขาออก จัดเสื้อผ้าของตัวเอง แล้วจากนั้นจึงนั่งลงตรงข้ามเขาพร้อมกระตุกมุมปากขึ้นเป็นรอยยิ้มเล็กน้อย ”ใช่ว่าข้าจะแพ้เสมอไปเสียหน่อย” นางวางหมากสีขาวลงบนกระดานทันทีที่พูดจบ
เมื่อไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเห็นว่าหมากกว่าครึ่งกระดานถูกล้อมเอาไว้หมดแล้ว เขาก็ชะงักไป จากนั้นจึงเริ่มหัวเราะออกมาอย่างชั่วร้าย ”เจ้าเป็นลูกศิษย์ที่ดีจริงๆ เรียนรู้ได้ไม่เลว”
ล้อมหมากดำหรือ
ดวงตาของเฮ่อเหลียนเวยเวยเป็นประกายวาววับขณะที่นางยกมือข้างหนึ่งขึ้นเท้าคาง ส่วนมืออีกข้างก็กวักเรียกให้เขาเข้ามาหา
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเลิกคิ้วเมื่อนางเคลื่อนตัวเข้ามาจูบเขาโดยไม่เปิดโอกาสให้ป้องกันตัว
ฝีมือการจูบนี่… ไม่ว่าพวกเขาจะฝึกกันมามากเพียงใด แต่ก็ยังไม่มีการพัฒนาขึ้นเลยแม้แต่นิดเดียว
แต่นางเป็นคนเริ่มก่อนเช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน
ดวงตาของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยดูลึกล้ำขึ้น จากนั้นเขาก็พลิกกลับมาเป็นฝ่ายควบคุมจูบนั้นแทน เขารั้งนางเข้าสู่อ้อมกอด พร้อมกับใช้ลิ้นของตัวเองเกี่ยวกระหวัดเข้ากับลิ้นของนาง กลิ่นอันหอมหวานโอบล้อมไปทั่วร่างของทั้งสอง
เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้สึกเหมือนร่างกายกลายเป็นวุ้น กระดูกก้นกบของนางเสียวสะท้านด้วยความปรารถนา
ท่ามกลางความมึนเมานั้น เขาอุ้มนางขึ้นอีกครั้งพร้อมกับสอดมือข้างซ้ายเข้าไปใต้เสื้อของนาง แล้วใช้มือข้างขวาบังคับให้นางหยิบหมากสีดำขึ้นมาวางลงบนกระดาน
ตัวหมากกระทบกระดานดังแกร๊ก
เฮ่อเหลียนเวยเวยมองกระดานหมากด้วยใบหน้าที่แดงก่ำ ทั้งที่ก่อนหน้านี้หมากสีดำพวกนั้นถูกล้อมเอาไว้แล้ว แต่เขากลับสามารถพลิกกระดานกลับมาได้ด้วยการเดินเพียงตาเดียว
“ยอมแพ้หรือยัง” น้ำเสียงแหบพร่าของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยแล่นเข้ามาในหูของนาง
เฮ่อเหลียนเวยเวยตัวสั่นไปทั้งร่าง
สิ่งที่ตามมาหลังจากนั้นคือรสจูบดูดดื่มและลึกล้ำ
หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง นางก็กลับมานั่งอยู่ในอ้อมแขนของเขา แล้วมองเข้าไปในดวงตาคู่สวยที่ทำให้นางนึกถึงดวงดาวบนฟ้าพร้อมกับหอบหายใจออกมาเล็กน้อย
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยขยับริมฝีปากเข้าไปใกล้ใบหูของนาง กลิ่นไม้จันทน์ของเขาปกคลุมไปทั่วร่างกายของนาง ”แค่จูบเจ้าก็ลืมวิธีหายใจแล้วหรือ”
“นี่ท่านโกงข้าหรือเปล่า” เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้สึกท้อแท้ใจอย่างยิ่ง นางอุตส่าห์แอบวางหมากเพิ่มเอาไว้ตั้งห้าตัว แต่กลับไม่รู้เลยว่าเขายังชนะได้อย่างไร
นี่ไม่ใช่การแข่งหมากรุกแล้ว มันเป็นการแข่งกันว่าใครจะโกหกและวางกลอุบายได้แนบเนียนกว่ากันต่างหาก
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยมองนาง และตอบอย่างใจเย็นว่า ”เพียงเพราะเจ้าเอาชนะข้าไม่ได้ เจ้าจึงใส่ร้ายหาว่าข้าโกงหรือ เห็นได้ชัดทีเดียวว่าเจ้ายังต้องพัฒนาอีกมาก”
“ข้าจงใจปล่อยให้ท่านชนะเพราะข้ารักท่านต่างหาก” เฮ่อเหลียนเวยเวยเอ่ยพลางหัวเราะออกมาเบาๆ ดูเหมือนว่าระยะเวลาในการซุ่มฝึกซ้อมของนางจะไม่ใช่เรื่องเสียเปล่า เพราะในเวลานี้นางสามารถพูดคำว่ารักและแสดงความรักของตัวเองออกมาได้อย่างใจ ในฐานะประธานจอมเผด็จการ กลยุทธ์เหล่านี้ล้วนแต่เป็นสิ่งที่ต้องมีเสมอ!
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเลิกคิ้วใส่การกระทำของนาง และจากนั้นจึงใช้นิ้วยาวของตนกระชากเสื้อของนางออก แล้วหยิบคู่มือ ’เอาใจภรรยา’ เล่มนั้นออกมา เขาเอ่ยขึ้นเหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้มว่า ”เจ้าฝึกมาดีทีเดียว ดูเหมือนคงจะสำเร็จวิชาทั้งเล่มแล้วกระมัง”
“ข้าเข้าใจมันเพียงคร่าวๆ เท่านั้น” เฮ่อเหลียนเวยเวยเอ่ยด้วยน้ำเสียงถ่อมตัว นางเป็นถึงผู้มีอิทธิพลในธุรกิจการค้าอาวุธ นางไม่จำเป็นต้องเรียนเรื่องนั้นจากตำราเล่มใด เพราะนางเกิดมาเพื่อจะมีอำนาจเหนือทุกคนอยู่แล้ว!
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยหัวเราะ ริมฝีปากอันน่าดึงดูดของเขาเพิ่มความกดดันให้กับนาง ”เช่นนั้นทำไมเจ้าไม่แสดงกลยุทธ์ของตัวเองให้ข้าดูสักสองสามกระบวนท่าล่ะ แสดงให้ข้าดูสิว่าเจ้าเรียนรู้อะไรมาบ้าง...”
แต่น้ำเสียงของเขาขณะที่กล่าวเช่นนั้นกลับค่อยๆ แผ่วเบาลงเรื่อยๆ ดวงตาที่เดิมทีเคยเต็มไปด้วยความซุกซนและดูสบายๆ ของเขาแปรเปลี่ยนเป็นเฉยเมยเย็นชา นางไม่รู้ว่าทำไมความอบอุ่นในดวงตาของเขาจึงเลือนหายไป แต่ในเวลานี้ตาคู่นั้นกลับเรืองแสงวาบราวกับสีของทองคำขาว!
เฮ่อเหลียนเวยเวยก็เลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งเช่นกัน ไม่ใช่ด้วยสาเหตุอันใดแต่เป็นเพราะในเวลานั้นจู่ๆ หยวนหมิงก็พูดขึ้นมาว่า ”แม่นาง ดูเหมือนว่าจะมีคนอยู่ข้างนอก”
“หืม” เฮ่อเหลียนเวยเวยได้ยินเสียงนั้นเหมือนกัน แต่มันก็ไม่ได้ชัดเจนมาก นั่นย่อมหมายความว่าอีกฝ่ายไม่ได้มีคนจำนวนมากนัก
อีกด้านหนึ่งนั้น ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยยืนนิ่งพลางใช้นิ้วจัดเสื้อคลุมตัวยาวของตน แต่ทันใดนั้นร่างสูงโปร่งของเขาก็คว้าตัวหมากขึ้นมาถือไว้ในมือ
ปัง!
ทหารจำนวนหนึ่งบุกเข้ามาข้างใน พร้อมกับหันคมดาบมาที่เขา ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยถูกคนพวกนั้นล้อมเอาไว้ตรงกลาง!
เฮ่อเหลียนเวยเวยหรี่ตาลงอย่างดุร้าย สายตาทิ่มแทงของนางหยุดลงที่ด้านหลังของทหารกลุ่มนั้น นางเอ่ยถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า ”ใต้เท้าจาง เรื่องนี้หมายความว่าอย่างไร”
“พวกเราถูกสั่งให้มาจับกุมตัวเขา ท่านอย่าได้ขัดขวางพวกเราเลยจะดีกว่า ใต้เท้าเว่ย มิฉะนั้นท่านอาจจะไม่สามารถชดใช้ถ้าทำให้พวกเราต้องเสียเวลาได้” ขุนนางแซ่จางเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเสแสร้ง จากนั้นจึงหันไปบอกกับคนที่ยืนอยู่ด้านซ้ายว่า ”พวกเจ้ามัวแต่ทำอะไรอยู่ รีบจับตัวที่ปรึกษาจอมหลอกลวงผู้นี้ไปเสียสิ!”