รู้สึกตัวอีกที ข้าก็เป็นเซียนซะแล้ว [原來我是世外高人] – บทที่ 510 อ๊าก…พิษร้ายนัก! ข้าตายซะแล้ว!

บทที่ 510 อ๊าก...พิษร้ายนัก! ข้าตายซะแล้ว!

บทที่ 510 อ๊าก…พิษร้ายนัก! ข้าตายซะแล้ว!

“พูดจาระวังหน่อย!”

ตงฟางเวิ่นมองนายตำหนักย่อยอย่างมีความหมาย “ปลาหมอตายเพราะปาก ท่านเจ้าตำหนักอย่าทะเล่อทะล่าพูดจาสิ้นคิดดีกว่า มิฉะนั้นท่านต้องจบลงอย่างอนาถ!”

“เสียสติไปแล้วหรือ”

หลังนายตำหนักย่อยได้ยินคำกล่าวของตงฟางเวิ่น ก็หัวเราะไม่หยุด “ถึงอย่างไรเจ้าก็เป็นถึงสมาชิกเครือข่ายข่าวสารขั้นห้า ไม่รู้หรือว่าตำหนักของข้ามิใช่ตำหนักย่อยธรรมดา เป็นรองเพียงฐานหลัก”

“แล้วอย่างไร?” ตงฟางเวิ่นไม่เห็นเป็นเรื่องใหญ่

ท่าทางไม่ยี่หระของตงฟางเวิ่นทำให้นายตำหนักย่อยเดือดดาลเป็นพิเศษ

เขาเอ่ยเสียงเคียดแค้น “แล้วอย่างไรรึ? วันนี้ข้าจะให้เจ้าได้เห็นว่าแล้วอย่างไร!”

สิ้นเสียงของเขา ด้านกลุ่มของตงฟางเวิ่นพลันเกิดเหตุการณ์ประหลาดขึ้น!

เงาดำมากมายบุกออกจากมิติ คล้ายว่าปรากฏขึ้นกลางอากาศ ไม่มีวี่แววมาก่อนเลยสักนิด!

กองกำลังฮวงเฉวียนเชี่ยวชาญด้านลอบสังหาร เงาดำเหล่านี้ล้วนเป็นมือพระกาฬด้านลอบสังหารในองค์กรฮวงเฉวียน ไม่รู้ว่ามียอดฝีมือตั้งมากมายเท่าใดเคยถูกพวกเขาสังหารโดยไม่ทันรู้ตัว

พวกเขาน่ากลัวมากจริง ๆ ก่อนพวกเขาปรากฏตัว เมิ่งจี ไป๋มู่ อันหลานเสวี่ย และพวกอ้ายฉานต่างสัมผัสไม่ได้แม้แต่น้อย ทุกคนล้วนตะลึงกับการปรากฏตัวกลางอากาศอย่างกะทันหันของพวกเขา

ทว่าตงฟางเวิ่นหาได้เป็นเช่นนั้นไม่

เขาเคยเป็นคนของกองกำลังฮวงเฉวียน รู้ดีถึงลูกไม้ของอีกฝ่าย รู้ว่าวิธีลอบสังหารของพวกเขาแกร่งกล้าปานใด เขาจึงระวังตัวไว้แต่แรก สัมผัสถึงการมีอยู่ของเงาดำเหล่านี้ได้ล่วงหน้า

หากเป็นเมื่อก่อน ต่อให้เขาระวังตัวไว้ก่อน ก็ไม่มีทางสัมผัสถึงการมีอยู่ของเงาดำเหล่านี้ได้ก่อน หน้าที่หลักของเขาคือรวบรวมข่าวสาร มิใช่ลอบสังหาร ล่วงรู้วิชาลอบสังหารได้ไม่มากเท่าใด ไม่อาจใช้ข้อมูลเหล่านั้นจับสัมผัสเงาดำเหล่านี้

ทว่าบัดนี้ต่างออกไป

เขาก้าวสู่ขั้นครึ่งก้าวเทียนตี้ได้นานแล้ว อีกทั้งมีการบรรลุในขั้นครึ่งก้าวเทียนตี้ จนมาอยู่ที่จุดสูงสุดของขั้นครึ่งก้าวเทียนตี้ ห่างเพียงเส้นบาง ๆ เท่านั้นก็จะก้าวสู่ขั้นเทียนตี้!

เงาดำเหล่านี้มีวิธีลอบสังหารอย่างชาญฉลาด ทว่าสุดท้ายก็ยังเสียเปรียบด้านขอบเขตพลัง พวกเขาเป็นเพียงตี้หวงเท่านั้น เมื่ออยู่ต่อหน้าเขาในตอนนี้ ไม่อาจเร้นกายได้เลย เขาจับได้ตั้งแต่นาทีแรก!

พริบตาที่เงาดำเหล่านี้เพิ่งปรากฏตัว เขาก็ฟาดฝ่ามือเข้าไป เงาดำทั้งหลายกระเด็นกระดอนกันหมด กระอักเลือดไม่หยุด สูญเสียพละกำลังในการต่อสู้อีกครั้ง

“ครึ่งก้าวเทียนตี้!”

นัยน์ตานายตำหนักย่อยหรี่ลงฉับพลัน สีหน้าเต็มไปด้วยความตกตะลึง ไม่อาจเชื่อได้ลงว่าตงฟางเวิ่นในตอนนี้เป็นถึงครึ่งก้าวเทียนตี้แล้ว!

เป็นไปได้อย่างไรกัน!?

รู้หรือไม่ ก่อนหน้านี้ไม่นานตงฟางเวิ่นยังเป็นเพียงตี้หวง นี่เพิ่งไปได้ไม่กี่เพลา ตงฟางเวิ่นก็บรรลุสองขั้นใหญ่ กลายเป็นครึ่งก้าวเทียนตี้อย่างนั้นหรือ!?

ครึ่งก้าวเทียนตี้บำเพ็ญกันง่าย ๆ เยี่ยงนี้ตั้งแต่เมื่อใด?

‘หลี่จิ่วเต้าผู้นี้ช่าง…ผิดมนุษย์มนาจริง!’

เขาก่นด่าในใจ ตงฟางเวิ่นเป็นเทียนตี้ได้ ย่อมไม่พ้นฝีมือหลี่จิ่วเต้า ลำพังตงฟางเวิ่นเอง ไม่มีทางกลายเป็นครึ่งก้าวเทียนตี้ในเวลาอันสั้นเช่นนี้ได้!

เวลานั้น เขาพลันสังหรณ์ใจไม่ดีขึ้นมา

แม้ตงฟางเวิ่นจะเป็นครึ่งก้าวเทียนตี้แล้ว กระนั้นก็ไม่มีทางทลายผนึกที่นี่ ทว่าเขายังสังหรณ์ใจไม่ดีเท่าใด รู้สึกกลัวว่าครั้งนี้อาจเกิดเรื่องไม่คาดคิด

เขามิได้ลังเล รีบทำการลักลอบติดต่อกับฐานหลัก ขอให้ฐานหลักส่งยอดฝีมือมาช่วย

เตรียมการเผื่อไว้ย่อมดีกว่า!

หากเกิดเรื่องอันใดขึ้นจริง ๆ มียอดฝีมือจากฐานหลักอยู่ด้วย เรื่องไม่คาดคิดเพียงใดก็คลี่คลายลงได้

“ครึ่งก้าวเทียนตี้คนเดียวก็ทำให้เจ้ากลัวถึงเพียงนี้เชียวหรือ เจ้านี่ปอดแหกขึ้นเรื่อย ๆ เลยนะ!”

ด้านฐานหลักตอบกลับมาอย่างรวดเร็ว มิได้ใส่ใจคำขอของนายตำหนักย่อยนัก

สำหรับสิ่งมีชีวิตในกองกำลังอื่น เทียนตี้เป็นการดำรงอยู่สูงส่งของผู้เก่งกล้าสามารถ ทว่าสำหรับกองกำลังฮวงเฉวียนของพวกเขา ครึ่งก้าวเทียนตี้ไม่ถือเป็นภัยคุกคามแต่อย่างใด

อย่าว่าแต่ครึ่งก้าวเทียนตี้เลย แม้กระทั่งเทียนตี้จริง ๆ ยังไม่อาจทำอันตรายกองกำลังฮวงเฉวียนของพวกเขาแม้แต่น้อย

รากฐานพวกเขาลึกล้ำเกินหยั่ง เทียนตี้ไม่ถือเป็นภัยคุกคามสำหรับพวกเขา

แต่พวกเขาก็ยอมรับคำขอของนายตำหนักย่อย ส่งยอดฝีมือมาจำนวนหนึ่ง

‘หมายความว่าอย่างไรที่ว่าข้าปอดแหก ข้ารอบคอบต่างหากเล่า!’

นายตำหนักย่อยเคืองขุ่นสุด ๆ บ่นกะปอดกะแปดในใจ

แต่ไม่ว่าอย่างไร ด้านฐานหลักก็ตอบตกลงแล้ว หัวใจตุ้ม ๆ ต่อม ๆ ของเขากลับมาเต้นเป็นจังหวะปกติได้ในที่สุด ปราศจากความวิตก

“ครึ่งก้าวเทียนตี้? ตงฟางเวิ่น เจ้าคิดว่าตัวเองได้เป็นครึ่งก้าวเทียนตี้แล้วจะทำตามอำเภอใจที่นี่ได้อย่างนั้นหรือ”

นายตำหนักย่อยทอดมองตงฟางเวิ่น เอ่ยถากถางด้วยรอยยิ้มเย็น

“ไม่นี่ ต่อให้ไม่เป็นครึ่งก้าวเทียนตี้ข้าก็ยังคิดว่าข้าทำตามอำเภอใจที่นี่ได้อยู่ดี”

ตงฟางเวิ่นมิได้พูดปด

กล่าวตามตรง ขอบเขตพลังมิใช่ไพ่ตายของเขา ไพ่ตายของเขาคือวิถีหมากล้อม!

เขาเล่นหมากกับคุณชายอยู่บ่อยครั้ง ความสำเร็จในวิถีหมากล้อมของเขาสูงขึ้นเรื่อย ๆ ต่อให้เขามิใช่ครึ่งก้าวเทียนตี้ ก็สามารถย่างกรายในที่แห่งนี้ได้อย่างไร้อุปสรรค อยากทำอะไรก็ได้

“ระยำเอ๊ย! วางภูมิปานนี้เชียวหรือ!?”

นายตำหนักย่อยหน้าตาอึมครึม วาจาของเขาเมื่อครู่เป็นการแดกดันตงฟางเวิ่น หารู้ไม่ ตงฟางเวิ่นดันวางภูมิกลับ ลั่นวาจาว่าต่อให้มิใช่ครึ่งก้าวเทียนตี้ก็ยังทำตามอำเภอใจได้!

บัดซบ!

ตงฟางเวิ่นดูถูกเหยียบย่ำตำหนักย่อยของเขาปานนี้เชียวหรือ!?

“ไอ้เวร ไปตายซะ!”

เขาบันดาลโทสะ ปลุกผนึกในพื้นที่แห่งนี้ ควันเขียววงแล้ววงเล่าผุดออกมาอย่างรวดเร็ว ก่อนจะโถมเข้าใส่ตงฟางเวิ่นในพริบตา

ควันเขียวแผ่ขยายออกไปอย่างว่องไว แทบจะไปถึงพวกตงฟางเวิ่นในเสี้ยวอึดใจ นี่คือควันพิษชนิดหนึ่ง กองกำลังฮวงเฉวียนของพวกเขาทุ่มเทกายใจอย่างหนักกว่าจะคิดค้นสำเร็จ ต่อให้เป็นเทียนตี้ก็ต้านทานไม่ไหว!

ฟึ่บ!

ตงฟางเวิ่นอ้าปาก ดูไม่วิตกกับควันพิษนี้สักนิด สูดควันพิษทั้งหมดเข้าไปในปากของเขา

“เจ้า???”

นายตำหนักย่อยตะลึง ตงฟางเวิ่นมาจากกองกำลังฮวงเฉวียน ไม่มีทางไม่รู้ในความรุนแรงของพิษนี้ แล้วเหตุใดตงฟางเวิ่นถึงสูดควันพิษทั้งหมดเข้าไปในกาย

ควันพิษมากมายขนาดนี้เข้าไปในตัว แม้กระทั่งเทียนตี้ตัวจริงก็ต้องถูกพิษตายในบัดดล ไม่มีทางกลายเป็นอื่น

“อ๊าก…พิษร้ายนัก! ข้าตายซะแล้ว!”

อีกด้าน ตงฟางเวิ่นล้ม ‘ตึง’ กับพื้น น้ำลายฟูมปาก ก่อนจะขาแข็ง เสมือนว่าตายไปแล้วจริง ๆ

เขาก็นึกว่าตงฟางเวิ่นเก่งกล้าสามารถปานใด

ที่แท้เท่านี้เองหรือ!

นายตำหนักย่อยคิดในใจ เมื่อครู่เขาโดนตงฟางเวิ่นหลอกเอาเสียแล้ว ทึกทักไปว่าอีกฝ่ายมีฝีมือฉกาจ มิจำเป็นต้องแยแสความร้ายแรงของควันพิษจริง ๆ

“ไอ้โง่!”

เขาด่าออกมาอย่างอดไม่ได้ ที่แท้เขาวิตกกังวลไปเอง ตงฟางเวิ่นผู้นี้ดักดานราวกับไร้ซึ่งสมอง

หืม!?

อะไรกันนี่!?

อีกด้าน พวกเมิ่งจีก็คิดไม่ถึงว่าจะมีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้น

พวกเขามีสีหน้าประหลาด ตงฟางเวิ่นคงมิใช่ว่าอวดอ้างตนเกินไปจนทำให้ตัวเองถึงแก่กรรมกระมัง!

รู้สึกตัวอีกที ข้าก็เป็นเซียนซะแล้ว [原來我是世外高人]

รู้สึกตัวอีกที ข้าก็เป็นเซียนซะแล้ว [原來我是世外高人]

Status: Ongoing

‘หลี่จิ่วเต้า’ ชายหนุ่มผู้ถูกส่งตรงจากดาวเคราะห์สีฟ้ามายังโลกแห่งการฝึกตน ทว่ากลับไร้ซึ่งคุณสมบัติใด ๆ ในการเข้าสู่วิถีผู้ฝึกตน เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากหันมาตกปลา วาดภาพและเขียนกลอนขาย

อันที่จริงหลี่จิ่วเต้ารู้เพียงเล็กน้อยว่า เจ้าแมวน้อยที่มาหาตนเป็นครั้งเป็นคราวเพื่อขอปลากินนั้น แท้จริงแล้วคือพยัคฆ์ขาว ส่วนชายผมขาวที่แข่งเขียนพู่กันกับเขาเป็นตัวตนระดับบรรพกาล และที่จะลืมไปไม่ได้ สตรีผู้งดงามที่มาร้องขอให้เขาช่วยวาดรูปอยู่ทุกวัน นางถึงกับเป็นเซียนในตำนาน!

ชายหนุ่มนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง “เอาล่ะ…เช่นนั้น ข้าเป็นใครกัน?”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท