“จอมหลอกลวงหรือ” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยหันไปมองข้างตัว น้ำเสียงของเขาช่างไพเราะในยามที่เขาวางหมากในมือลงบนกระดาน แม้ท่าทางของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยจะเปี่ยมไปด้วยบรรยากาศแห่งความเป็นบัณฑิต แต่มันก็ยังแฝงไปด้วยกลิ่นอายอันชั่วร้ายเกินกว่าจะอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้ เขายืนอยู่ใต้แสงจันทร์สุกสว่างพร้อมกับใบหน้าอันหล่อเหลาสมบูรณ์แบบที่ฟ้าดินยังต้องอาย และเอ่ยขึ้นมาว่า ”เจ้าคิดจะจับข้าด้วยเหตุผลเพียงแค่นี้น่ะหรือ”
เมื่อเผชิญหน้ากับชายผู้นี้ ย่อมไม่มีนายทหารคนใดกล้าก้าวขาออกมา
อาจเป็นเพราะกลิ่นอายแห่งความสูงศักดิ์ที่แผ่ออกมาจากร่างของเขานั้นรุนแรงเกินไป จึงทำให้ทหารเหล่านั้นรู้สึกว่าเขาไม่ได้เพียงแค่เล่นหมากรุก แต่กลับกำลังทำศึกเพื่อประเทศชาติของตัวเองอยู่
ยิ่งกว่านั้น เมื่อตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ย่อมมีน้อยคนนักที่จะสามารถตั้งสมาธิอยู่กับการเล่นหมากรุกได้
ที่ปรึกษาหลงคนนี้ต่างจากคนอื่นจริงๆ
สายตาดุดันในดวงตาคู่นั้นทำให้พวกเขารู้สึกหนาวสั่น…
ใต้เท้าจางสับสนกับภาพที่เห็น แต่เมื่อเขาตั้งสติกลับมาได้ ประโยคแรกที่เขาเอ่ยขึ้นก็คือ ”หลังจากนี้เจ้าจะแก้ตัวอย่างไรก็ตามใจ แต่ตอนนี้ เจ้าควรตามพวกข้ามาเงียบๆ ซะ ไม่อย่างนั้นก็อย่าหาว่าข้าไม่ปรานีก็แล้วกัน!”
“เจ้าไม่จำเป็นต้องรุนแรงกับข้าหรอก” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยหัวเราะ ความชั่วร้ายแฝงอยู่ใต้น้ำเสียงอันเย็นชาของเขา ทันใดนั้นเขาก็เอ่ยขึ้นอย่างสูงส่งและสง่างามว่า ”ข้าจะออกไปพร้อมพวกเจ้า”
ในเวลานั้นทุกคนต่างก็สงสัยว่าหูตัวเองมีปัญหาอะไรหรือเปล่า
ที่ปรึกษาหลงคนนี้กำลังคิดอะไรอยู่
เขายอมให้ตัวเองถูกควบคุมตัวไปง่ายๆ โดยไม่คิดที่จะขัดขืนแม้แต่น้อยเลยหรือ
“ถ้าเจ้าสามารถรับผิดชอบกับผลที่จะตามมาได้” เพียงแค่คำไม่กี่คำนั้นบรรยากาศที่เยือกเย็นรอบตัวก็พลันตกอยู่ในความเงียบ
ใต้เท้าจางกลับเอ่ยขึ้นอย่างไม่ใส่ใจว่า ”แม่ทัพเลี่ยวพูดถูก เจ้าอวดดีเกินกว่าจะเป็นเพียงแค่ที่ปรึกษาส่วนตัว ใต้เท้าเว่ย ท่านควรอบรมผู้ใต้บังคับบัญชาของตัวเองเสีย!”
เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่ได้พูดอะไร และทำเพียงแค่มองไปที่ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเท่านั้น
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยพยักหน้าให้นางเล็กน้อย
ตอนนั้นนั่นเองที่เฮ่อเหลียนเวยเวยเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชายิ่งกว่าครั้งใด สายตาของนางคมกริบจนแทบจะสามารถบั่นศีรษะของขุนนางแซ่จางได้อย่างง่ายดายพลางพูดอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า ”ใต้เท้าจาง ข้าอนุญาตให้เจ้าจับกุมที่ปรึกษาส่วนตัวของข้าไปได้ แต่ถ้ามีใครกล้าลงโทษเขา ข้าจะทำให้คนคนนั้นต้องเสียใจที่ได้เกิดมา!”
ใต้เท้าจางไม่เคยรู้สึกเช่นนี้มาก่อน เขารู้สึกเหมือนกำลังถูกงูพิษจ้องอยู่ไม่มีผิด สายตาเช่นนั้นทำให้เขาถึงกับชาวาบไปทั้งหนังศีรษะ
เขาโบกมืออย่างไม่ยอมเสียเวลาอีกต่อไป แล้วสั่งว่า ”พาตัวออกไป!”
เฮ่อเหลียนเวยเวยกำมือแน่นก่อนจะค่อยๆ คลายมันออก นางมองร่างสูงสง่าท่ามกลางคนอื่นพร้อมกับหรี่ตาลง ”หยวนเสี่ยวหมิง เจ้าคิดอย่างไรกับการตัดสินใจขององค์ชายหรือ”
“เขาจงใจให้ตัวเองถูกจับ” หยวนเสี่ยวหมิงเอ่ยกลั้วหัวเราะ ”นับวันพฤติกรรมของสามีเจ้ายิ่งไร้ยางอายขึ้นทุกวัน”
นึกไม่ถึงว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยก็หัวเราะออกมาเหมือนกัน ริมฝีปากของนางกระตุกขึ้นเป็นรอยยิ้ม ”ไร้ยางอายหรือ ทำไมข้ากลับคิดว่ามันเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้วล่ะ”
“ตอนนี้เจ้าควรห่วงเรื่องของตัวเองมากกว่า ในสถานการณ์เช่นนี้การออกไปข้างนอกย่อมเป็นสิ่งที่น่าหวาดกลัวยิ่งกว่าถูกขังอยู่ในคุกเสียอีก ถ้าเจ้าคนแซ่เลี่ยวนั่นสามารถจับกุมผู้คนได้อย่างไม่กลัวเกรงโดยไม่ให้แม้แต่เหตุผลได้เช่นนี้ ในเวลานี้ตำแหน่งจือฝู่ของเจ้าก็คงไร้ค่าไปแล้วเช่นกัน เขาคงตั้งใจจะทำทุกวิถีทางเพื่อกำจัดเจ้าออกจากตำแหน่ง” หยวนเสี่ยวหมิงเข้าใจธรรมชาติของมนุษย์ ยิ่งกว่านั้นยังเก่งเรื่องการวิเคราะห์สถานการณ์อีกด้วย
เฮ่อเหลียนเวยเวยเคลื่อนสายตาเจ้าเล่ห์ลงมองพื้น นางกำลังมองเศษกระดาษที่ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยทิ้งไว้ในฝ่ามือของตัวเองอยู่ ”หากเราไม่ลงมือทำอะไรคงน่าเบื่อยิ่งนัก”
“เขาถึงขั้นเตรียมข้อความนี้เอาไว้ให้เจ้าเชียวหรือ ชายคนนี้วางแผนการเอาไว้ถึงขั้นไหนกันแน่” ในน้ำเสียงอันเย็นชาของเสี่ยวไป๋แฝงไปด้วยความชื่นชม ”ไม่แปลกเลยที่มนุษย์คนนี้จะสามารถควบคุมกิเลนอัคคีได้”
หยวนหมิงขยับจมูก ”ช่วงนี้กิเลนอัคคีไม่ค่อยปรากฏกายออกมาบ่อยนัก แต่แม่นางไม่ต้องเป็นห่วงไป องครักษ์เงาที่อยู่ข้างกายเขาย่อมมีความสามารถพอที่จะปกป้องเขาได้”
“ข้ารู้” เฮ่อเหลียนเวยเวยพับกระดาษในมืออย่างใจเย็น ผ่านไปครู่หนึ่งจึงเอ่ยว่า ”รอจนกว่าพระอาทิตย์จะขึ้นเถอะ…”
แกร๊ง!
ประตูเหล็กส่งเสียงกลวงๆ ดังสนั่น
เมื่อมีคนเข้ามา ก็ย่อมมีคนได้ออกไป
และคนที่ถูกปล่อยตัวออกไปนั้นก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากพ่อลูกตระกูลเลี่ยวนั่นเอง
เลี่ยวฉิงเทียนมาปล่อยตัวเขาด้วยตัวเอง เขายืนอยู่นอกห้องขังแล้วมองไป๋หลี่เจียเจวี๋ยที่ถูกขังอยู่ข้างใน พร้อมกับเอ่ยอย่างอารมณ์ดีว่า ”ถ้าข้าเป็นเจ้า ข้าจะใช้โอกาสที่ถูกหยิบยื่นให้นี้พูดทุกอย่างออกมาก่อนที่จะสายเกินไป สิ่งเดียวที่เจ้าต้องทำคือสารภาพความผิดทั้งหมดของเว่ยเวยออกมา แล้วข้าจะปล่อยเจ้าไป ข้ารับประกันว่าจากนั้นเจ้าจะได้มีชีวิตอันหรูหรามั่งคั่งอย่างไม่รู้จบแน่นอน”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยลืมตาขึ้น แต่กลับไม่ได้ปรายตามองเขาเลยแม้แต่นิดเดียว ท่าทางของเขาสง่างามและเย็นชาเป็นอย่างยิ่ง
เมื่อเห็นว่าการต่อรองไม่เป็นผล เลี่ยวฉิงเทียนก็หัวเราะเสียงเย็นชา ”ดูเหมือนเจ้าคงยังไม่คิดที่จะยอมแพ้สินะ เจ้าคิดว่าเว่ยเวยจะสามารถช่วยเจ้าได้หรือ หึ เขายังแทบช่วยตัวเองไม่ได้ด้วยซ้ำ แล้วนับประสาอะไรจะมาสนใจกับความทุกข์ยากของเจ้า! ใต้เท้าเว่ยของเจ้าช่วยเจ้าไม่ได้แล้ว แต่เขาสามารถมาอยู่ร่วมกับเจ้าในห้องขังได้!”
หลังจากพูดจบ เลี่ยวฉิงเทียนก็เงยหน้าขึ้นมองผู้คุมที่ยืนอยู่ข้างๆ แล้วสั่งว่า ”จับตาดูเขาเอาไว้ให้ดี ถ้ามีอะไรเกิดขึ้น เจ้าจะเป็นคนแรกที่ข้าจะหมายหัว”
“ท่านแม่ทัพโปรดวางใจ ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นแน่นอนขอรับ!” ผู้คุมคนนั้นตอบสั้นๆ
เลี่ยวฉิงเทียนตื่นเต้นยินดียิ่งนัก เขาหันหน้าไปทางเลี่ยวจือฝู่แล้วกล่าวว่า ”ไปกันเถอะ พี่ใหญ่จะเลี้ยงเหล้าเจ้าเอง!”
“ดีเหมือนกัน” เลี่ยวจือฝู่ชำเลืองมองไป๋หลี่เจียเจวี๋ยอย่างผู้ชนะก่อนเดินออกจากห้องขัง
การปล่อยตัวเลี่ยวจือฝู่เช่นนี้หมายความว่าอย่างไรน่ะหรือ
มันหมายความว่าต้นไม้ใหญ่อย่างตระกูลเลี่ยวยังไม่ได้ถูกโค่นลง และมันยังสามารถแผ่ร่มเงาให้กับคนทำธุรกิจและค้าขายใต้ร่มไม้ต่อไปได้อีกด้วย
ไม่ใช่แค่ภัตตาคารไห่ปินเท่านั้นที่ยังคงเปิดกิจการอยู่ แต่ประกาศที่เฮ่อเหลียนเวยเวยติดเอาไว้ก็ถูกฉีกลงจากผนังก่อนเช้าวันถัดไปจะมาถึงเสียอีก ภัตตาคารแห่งนั้นยังเปิดทำการเหมือนเช่นปกติ มิหนำซ้ำยังกลายเป็นสถานที่เลี้ยงฉลองให้กับการปล่อยตัวของเลี่ยวจือฝู่อีกด้วย
เฮ่อเหลียนเวยเวยยืนอยู่หน้าทางเข้า พลางหรี่ตาลงมองเจ้าของร้าน ”เจ้ารู้หรือไม่ว่าผลของการเอาประกาศคำสั่งจากศาลาว่าการลงคืออะไร เจ้ากำลังทำความผิดอยู่”
“ทำความผิดหรือ ฮ่าๆๆ” เจ้าของร้านหัวเราะ ”ใต้เท้าเว่ย ข้าก็ไม่ได้อยากจะเสียมารยาทต่อท่านนัก แต่ข้าขอบอกให้ท่านรู้ว่าที่เมืองหลวงประจำมณฑลแห่งนี้ พวกข้าตระกูลเลี่ยวคือกฎหมาย!”
แต่เฮ่อเหลียนเวยเวยกลับไม่ได้เดือดดาลอย่างที่เขาคิดเอาไว้ นางทำเพียงแค่ยืนอยู่ที่เดิมด้วยสีหน้าราบเรียบ
ขุนนางหลายคนที่มาร่วมงานเลี้ยงเห็นเฮ่อเหลียนเวยเวย พวกเขาจึงเอ่ยขึ้นเหมือนชวนว่า ”โอ้ ใต้เท้าเว่ย ท่านก็มาเหมือนกันหรือ มาสิ เข้าไปดื่มด้วยกันข้างใน”
“พวกเจ้าอย่าทำให้ชื่อเสียงของใต้เท้าเว่ยต้องมัวหมองเลย ใต้เท้าเว่ยเป็นขุนนางสูงศักดิ์ก็จริง แต่เขาคงไม่มีปัญญาจ่ายค่าอาหารทะเลพวกนี้ได้แน่” เลี่ยวจือฝู่เจ้าของงานพูดขณะเดินออกมา
คนพวกนั้นรีบเออออเห็นด้วยกับเขา ”ใต้เท้าเลี่ยวพูดถูก ดูสิ ไม่อยากเชื่อเลยว่าข้าจะลืมเรื่องนั้นไปได้ เอาล่ะ ใต้เท้าเว่ย เช่นนั้นท่านก็ยืนอยู่ตรงทางเข้าต่อไปก็แล้วกัน พวกข้าคงต้องขอตัวเข้าไปข้างในก่อน!”
เสียงหัวเราะของพวกเขาดังก้องอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ในเสียงนั้นเต็มไปด้วยการดูถูกเหยียดหยามอย่างเห็นได้ชัด
เลี่ยวจือฝู่เพลิดเพลินกับช่วงเวลาที่เป็นผู้เหนือกว่าในปัจจุบันยิ่งนัก เขารู้สึกราวกับว่าความโกรธแค้นรสชาติขมปร่าที่เคยมีภายในใจพลันค่อยๆ ถูกขจัดออกไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตอนที่เขาได้เห็นว่าเจ้าคนแซ่เว่ยนั่นดูโดดเดี่ยวและหมดสิ้นหนทางเพียงใด มุมปากของเขาเหยียดกว้างขึ้นยิ่งกว่าเดิม ”ใต้เท้าเว่ย ก่อนหน้านี้ข้าก็เคยบอกท่านแล้วว่าคนเราไม่ควรทำตัวยโสโอหังเกินไป แต่ท่านก็ไม่ฟัง และยังเอาแต่หาเรื่องข้า ดูข้าในตอนนี้สิ ข้าถูกปล่อยตัวออกมาโดยไร้ซึ่งความผิด ในขณะที่ที่ปรึกษาส่วนตัวของท่านกลับกลายเป็นคนที่ต้องอยู่ในห้องขังแทน เจ้าเรียกสิ่งนี้ว่าอะไรนะ กรรมตามสนองมิใช่หรือ!”