“ใครหน้าไหนมันกล้าแตะต้องเจ้านายน้อย!” เดิมทีนั้นขันทีซุนก็เป็นคนที่มีน้ำเสียงแหลมปรี๊ดอยู่แล้ว แต่ในเวลานี้เมื่อเสียงนั้นดังก้องไปทั่วภัตตาคาร มันก็ยิ่งฟังดูเสียดหูยิ่งกว่าที่เคย
เลี่ยวฉิงเทียนมองไปทางต้นเสียง แล้วทันใดนั้นใบหน้าของเขาก็พลันซีดเผือด!
เมื่อสี่ปีที่แล้ว เลี่ยวฉิงเทียนมีโอกาสได้เข้าพบอดีตฮ่องเต้อยู่ครั้งหนึ่งตอนที่เขาเสด็จพระราชดำเนินมาที่เมืองหลวงประจำมณฑล แต่การได้พบกับอดีตฮ่องเต้อีกครั้งในเวลานี้ทำให้เขาถึงกับสับสนจนจับต้นชนปลายไม่ถูก
อะ อดีตฮ่องเต้มาที่นี่ทำไมกัน
เมื่อเห็นสีหน้าของเลี่ยวฉิงเทียน องค์ชายเจ็ดตัวน้อยก็รู้ว่าเขารู้จักอดีตฮ่องเต้ได้ ดังนั้นเขาจึงหันหน้ากลับไปแล้วเอ่ยเหมือนจะอวดว่า ”เสด็จปู่ พวกเขาจะตีข้า”
เสด็จ เสด็จ เสด็จปู่หรือ?!
ทันใดนั้น เลี่ยวฉิงเทียนก็ตัวแข็งอยู่กับที่ ดวงตาของเขาจ้องมองภาพนั้นอย่างไม่เชื่อสายตา!
เขานึกไม่ถึงเลยว่าหลวงจีนตัวน้อยเนื้อตัวมอมแมมผู้นี้จะกลับกลายเป็นองค์ชายเจ็ดที่อดีตฮ่องเต้รักใคร่เอ็นดูได้
เช่นนั้นคำพูดทุกคำที่เขาได้พูดออกไปเมื่อครู่นี้… ทันทีที่คิดเกี่ยวกับคำพูดพวกนั้นขึ้นมา หน้าผากของเลี่ยวฉิงเทียนก็ถึงกับมีเหงื่อเย็นๆ ซึมชื้นออกมา
กลับกัน เลี่ยวเหวินเหวินไม่รู้ถึงเรื่องนี้ และยังตระหนักไม่ได้ว่าสถานการณ์ในเวลานี้เป็นเช่นใด นางหันไปมองขันทีซุน จากนั้นจึงเอ่ยอย่างหยาบคายว่า ”ในเมื่อพวกเจ้ามาแล้วก็ดี รีบขอโทษข้าซะ”
ในเวลานี้นางยังคิดที่จะให้พวกเขาขอโทษอยู่อีกหรือ ขันทีซุนโมโหจนยกมือขึ้นเท้าเอว ”คุณหนูท่านนี้ อย่าเพิ่งพูดถึงเลยว่าเจ้านายน้อยของพวกข้าทำความผิดจริงหรือไม่ เพราะต่อให้เขาทำผิดจริงๆ แต่ในฐานะที่ท่านเป็นผู้ใหญ่ ท่านสมควรที่จะทำตัวเจ้าคิดเจ้าแค้นถึงเพียงนี้เชียวหรือ”
“เจ้า!” เลี่ยวเหวินเหวินตั้งท่าจะพูดอะไรออกมาอีกครั้ง!
เลี่ยวฉิงเทียนรู้สึกว่าสมองของตัวเองกำลังมีอาการเลือดคั่งอย่างรุนแรง เขารีบหยุดนางเอาไว้ แล้วจากนั้นจึงยิ้มให้กับขันทีซุน พลางกล่าวว่า ”มันเป็นความเข้าใจผิด ทุกอย่างเป็นเพียงแค่ความเข้าใจผิดกันเท่านั้นขอรับ”
“เข้าใจผิดหรือ” ขันทีซุนแค่นหัวเราะออกมาอย่างเย็นชา เขาจะเชื่อได้อย่างไรว่าทุกอย่างเป็นเพียงเรื่องเข้าใจผิด ในเมื่อเขาได้ยินเองกับหูว่าคนพวกนี้เพิ่งจะพูดออกมาว่าพวกเขาจะจับองค์ชายน้อยมัดแล้วโบยเสียให้เข็ด!
เลี่ยวฉิงเทียนใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดเหงื่อบนใบหน้า ”มันเป็นแค่ความเข้าใจผิดกันจริงๆ ขอรับ”
ระหว่างที่พูดเช่นนั้น เขาก็แอบชำเลืองมองไปทางอดีตฮ่องเต้ที่แม้จะไม่ได้มีท่าทีโกรธเคือง แต่ก็ยังเปี่ยมไปด้วยบรรยากาศอันทรงอำนาจและน่าเกรงขาม
ดวงตาของอดีตฮ่องเต้นั้นแทบจะไร้อารมณ์ แม้กระทั่งในเวลานี้เขาก็ยังสามารถปิดบังอารมณ์ของตัวเองเอาไว้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ ”เจ้าเจ็ด มานี่สิ กลับไปทานข้าวต่อที่ห้องได้แล้ว” หลังจากพูดจบ เขาก็เดินหายกลับเข้าไปในห้องรับรองส่วนตัวอีกครั้ง
เด็กชายพยักหน้ารัวเร็ว จากนั้นเขาก็ล้างมือก่อน แล้วค่อยๆ เดินไปที่ประตู
เลี่ยวฉิงเทียนรู้ว่าพวกเขาเสียมารยาทต่ออดีตฮ่องเต้เข้าเสียแล้ว แต่ในเมื่อเขาไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปในห้องรับรองส่วนตัวห้องนั้น เขาจึงไม่มีทางเลือกนอกจากถูมือแล้วหันไปพูดคุยกับเด็กชายตัวน้อยแทน ”องค์ชายเจ็ด กระหม่อมไม่เคยพบหน้าท่านมาก่อน จึงได้เผลอพูดจาเสียมารยาทต่อท่านไปเมื่อครู่ บุตรสาวของกระหม่อมก็เช่นกัน นางไม่ได้มีเจตนาร้ายอันใด เพียงแต่เป็นคนหัวช้าเท่านั้น ท่านจะทรงเมตตาให้อภัยเราสองพ่อลูกได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
“ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ว่าข้าจะให้อภัยพวกเจ้าหรือไม่” เด็กชายกัดซาลาเปาเนื้อในมือ พร้อมกับเอ่ยต่อด้วยท่าทางทรงอำนาจอย่างยิ่ง ”นางอยากแข่งฐานะทางตระกูลกับข้าเองมิใช่หรือ ข้าจะแข่งด้วยก็ได้ แต่มันก็ง่ายอย่างที่เห็น ในเมื่อนางอยากสู้นัก เช่นนั้นข้าก็จะตีให้อย่างไม่ออมแรงเลยก็แล้วกัน”
วาจาอันเสียดสีขององค์ชายเจ็ดตัวน้อยทำให้ใบหน้าของเลี่ยวฉิงเทียนขึ้นสีก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นซีดเผือด เขาเคยได้ยินมานานแล้วว่าองค์ชายเจ็ดเป็นอันธพาล ไม่ใช่แค่ในวังหลวง แต่แม้กระทั่งในสำนักไท่ไป๋ ใครก็ตามที่เสียมารยาทต่อเขาล้วนแต่มีโอกาสถูกกัดตายเหมือนกันทุกราย!
เฮ้อ แล้วบุตรสาวของเขาไปยั่วโมโหปีศาจน้อยเช่นเขาได้อย่างไร!
เมื่อสังเกตเห็นสีหน้าไม่สู้ดีบนใบหน้าของผู้เป็นบิดา เลี่ยวเหวินเหวินจึงเอ่ยขึ้นเสียงเบาว่า ”ท่านพ่อ พวกเขาก็เป็นแค่พ่อค้าธรรมดาไม่ใช่หรือเจ้าคะ ทำไมท่านต้องระมัดระวังคำพูดถึงเพียงนี้ด้วย…”
“เจ้าหยุดพูดได้แล้ว!” เลี่ยวฉิงเทียนจ้องเขม็งไปที่บุตรสาว มันเป็นความผิดของเขาเองที่ตามใจนางจนนางกลายเป็นคนทำอะไรตามอำเภอใจและดื้อด้านถึงเพียงนี้ และตอนนี้พวกเขาต้องเจอปัญหาใหญ่ก็เพราะมัน!
“ข้าเพียงแค่พูดความจริงเท่านั้นนี่เจ้าคะ เขาก็เป็นเพียงแค่พ่อค้าธรรมดา เขาคิดว่าตัวเองเป็นคนใหญ่โตหรือไร…”
ทันทีที่เลี่ยวเหวินเหวินพูดจบ ประตูห้องรับรองส่วนตัวก็ถูกผลักเปิดออก อดีตฮ่องเต้เป็นคนแรกที่เดินออกมา น้ำเสียงอันราบเรียบของเขาเต็มไปด้วยความกดดันอันรุนแรง ”ข้าไม่ใช่คนเก่งกล้าสามารถ แม้จะใช้เวลามากว่าครึ่งชีวิต แต่ข้าก็มีคนอยู่ใต้ปกครองเพียงแค่ไม่กี่คนเท่านั้น หากเทียบกับคุณหนูเลี่ยวแล้ว ข้าคงไม่สมควรจะถูกนับว่าเป็นคนใหญ่โตอะไรได้”
เมื่อได้ยินดังนั้น ขาของเลี่ยวฉิงเทียนก็อ่อนยวบ เขาแทบจะทรุดลงไปนั่งคุกเข่าลงกับพื้น
ก่อนหน้านี้เขาไม่คิดว่าการตามใจบุตรสาวจะเป็นเรื่องที่ผิดแแต่อย่างใด แต่ในเวลานี้สิ่งที่เขาเสียดายที่สุดก็คือการพาบุตรสาวออกมาด้วยในวันนี้!
เพี๊ยะ!
เขาจะปล่อยให้เรื่องมันลุกลามไปมากกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว!
เลี่ยวฉิงเทียนทุ่มแรงทั้งหมดไปที่ฝ่ามือแล้วตบเข้าที่ใบหน้าของเลี่ยวเหวินเหวิน!
เสียงตบดังสนั่นจนได้ยินไปทั่วทั้งภัตตาคารไห่ปิน!
เลี่ยวเหวินเหวินกุมหน้า ดวงตาของนางเบิกโพลงด้วยความตกใจ ”ท่านพ่อ ท่าน…”
เลี่ยวฉิงเทียนไม่มีเวลาสนใจนาง เขาคำนับอีกฝ่าย แล้วเดินอ้อมไปทางด้านหลังของอดีตฮ่องเต้ ”อดีต อดีตฮ่องเต้ บุตรสาวของกระหม่อมยังไม่รู้ความ และยังไม่เคยได้เห็นโลกมากนัก ทุกอย่างล้วนแต่เป็นความผิดของกระหม่อมเองพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมล้มเหลวในการสั่งสอนสิ่งที่ถูกต้องให้กับนาง เป็นความผิดของกระหม่อมเองพ่ะย่ะค่ะ!”
หนังตาของอดีตฮ่องเต้ไม่แม้แต่จะกระตุกเลยด้วยซ้ำ แล้วมีหรือที่เขาจะตอบสนองต่อคำพูดของเลี่ยวฉิงเทียน
บางทีการตบนั้นอาจจะได้ผล เมื่อนางเห็นผู้เป็นบิดามีท่าทางนอบน้อมไม่เหมือนปกติ ในที่สุดเลี่ยวเหวินเหวินก็ตระหนักได้ว่ามีบางอย่างผิดแปลกไป
นอกจากผู้อาวุโสเฮ่อเหลียนแล้ว อีกคนหนึ่งที่ท่านพ่อของนางจะปฏิบัติต่อเขาด้วยความเคารพก็คือ… ขุนนางจากเมืองหลวง!
เป็นไปได้หรือไม่ว่าชายชราที่เอ่ยปากขึ้นเมื่อครู่นี้คืออัครเสนาบดีคนปัจจุบัน?
เลี่ยวเหวินเหวินตกใจกับความคิดของตัวเอง แต่นางไม่รู้เลยว่าแท้จริงแล้วตำแหน่งของอีกฝ่ายนั้นจะอยู่สูงกว่าอัครเสนาบดีคนปัจจุบันเสียอีก
เลี่ยวฉิงเทียนเดินตามหลังอดีตฮ่อวเต้ไปจนสุดทาง ท่าทางประจบประแจงของเขาดึงดูดความสนใจจากทุกคนได้เป็นอย่างดี
อย่างไรเสียเลี่ยวฉิงเทียนก็เป็นคนใหญ่คนโตในเมืองหลวงประจำมณฑล เขามีสิทธิ์ที่จะเรียกเก็บเงินจากทุกคนและทำตัวยโสโอหังได้โดยที่ไม่มีใครกล้าเสียมารยาทต่อเขาแม้แต่คนเดียว!
แต่ตอนนี้เลี่ยวฉิงเทียนคนที่อยู่เหนือทุกคนมาตลอดคนนั้นกลับเดินตามหลังเด็กชายที่แต่งกายเหมือนหลวงจีนคนนั้นอย่างกับตัวเองเป็นหลานของเขาไม่มีผิด ท่าทางอ่อนน้อมถ่อมตนของเขาทำให้ทุกคนเริ่มพากันคาดเดาว่าฐานะที่แท้จริงของชายชราและเด็กชายคนนั้นคือใครกันแน่…
เลี่ยวฉิงเทียนไม่เคยรู้สึกกระสับกระส่ายเช่นนี้มาก่อน เขาไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปในโรงเตี๊ยมที่อดีตฮ่องเต้พักอยู่ แต่เพราะกลัวว่าศีรษะจะไม่ได้อยู่ที่คอ เขาจึงไม่กล้าไปจากที่นั่น สิ่งเดียวที่เขาทำได้คือการเดินวกไปวนมาอยู่หน้าทางเข้าด้วยความกระวนกระวายอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งมีรถม้าจากเมืองหลวงคันหนึ่งมาจอดลงตรงหน้า เขาจึงเผยสีหน้าราวกับคนที่เพิ่งตื่นจากความฝันออกมา เมื่อภาพของคนที่ก้าวออกมาปรากฏขึ้น เขาก็ร้องออกมาว่า ”ท่านผู้อาวุโส ข้าควรทำอย่างไรดีขอรับ ทำไมอดีตฮ่องเต้ถึงได้เสด็จมาที่เมืองหลวงประจำมณฑลอย่างกะทันหันเช่นนี้ได้ล่ะขอรับ ไม่มีการแจ้งล่วงหน้าเอาไว้เสียหน่อย!”
“ข้าได้อ่านสิ่งที่เจ้าส่งมาทางนกพิราบแล้ว” ผู้อาวุโสเฮ่อเหลียนเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ”ไม่ต้องห่วง อดีตฮ่องเต้คงไม่ลงโทษเจ้าง่ายๆ เพียงเพราะสิ่งที่เจ้าพูดแน่ อย่างไรเจ้าก็เป็นขุนนางที่เคยทำความดีความชอบให้เขามาก่อน อดีตฮ่องเต้ย่อมจำเป็นต้องนำความรู้สึกของเหล่าขุนนางคนอื่นๆ ที่อยู่ในเมืองหลวงมาพิจารณาร่วมด้วย ดังนั้นเจ้าไม่ต้องกังวลไป แต่ จะว่าไปก็มีสิ่งหนึ่งที่เจ้าพูดถูกเช่นกัน”
เลี่ยวฉิงเทียนเพิ่งจะถอนหายใจด้วยความโล่งอกไปได้ไม่ทันไร หัวใจของเขาก็ต้องเต้นไม่เป็นส่ำอีกครั้ง ”อะไรหรือขอรับ”
“การที่อดีตฮ่องเต้เสด็จมาที่เมืองหลวงประจำมณฑลโดยไม่มีสาเหตุเช่นนี้นับว่าไม่สมกับเป็นเขาเอาเสียเลย เขาคงจะได้ยินข่าวลือเรื่องภัตตาคารไห่ปินมาเหมือนกัน ไม่อย่างนั้นครั้งนี้เขาคงไม่มาปรากฏตัวที่นี่ด้วยตัวเอง ดังนั้นเจ้าจะต้องจัดการเรื่องนี้ให้ดีและห้ามทิ้งร่องรอยอะไรเอาไว้เด็ดขาด” เมื่อพูดถึงเรื่องนั้นขึ้นมา ดวงตาของผู้อาวุโสเฮ่อเหลียนก็ทอแสงวาบ จากนั้นเขาจึงกล่าวเสริมว่า ”ต่อให้นั่นจะหมายถึงการต้องฆ่าปิดปากใครก็ตาม…”