ดวงตาของเลี่ยวฉิงเทียนมีแสงวาบขึ้นก่อนจะหายไปอย่างรวดเร็วในทันทีที่เขาได้ยินคำว่า ’ฆ่าปิดปาก’ แม้คนที่รู้เรื่องราวภายในของภัตตาคารไห่ปินจะมีอยู่หลายคน แต่ก็ไม่มีใครมีหลักฐานแม้แต่คนเดียว
เว่ยเวยเป็นเพียงคนเดียวที่กัดไม่ปล่อยเรื่องนี้
แต่เราจะฆ่าเจ้าคนแซ่เว่ยนั่นไม่ได้
ถ้าหากฆ่าเขาในตอนนี้ สิ่งที่พวกเขาตั้งใจปิดบังไว้คงได้ถูกเปิดโปงออกมาแน่
ยิ่งกว่านั้นตอนนี้เจ้าหมอนั่นก็ยังมีตำแหน่งขุนนางอยู่ในมือ
ต่อให้เขาจะเป็นเพียงแค่จือฝู่ตัวเล็กๆ แต่ในเมื่ออดีตฮ่องเต้มาที่เมืองหลวงประจำมณฑลเช่นนี้แล้ว เขาจะต้องไปหาอีกฝ่ายอย่างแน่นอน
ดังนั้นเขาจึงต้องเริ่มจากคนที่เคยมีความขัดแย้งกับภัตตาคารไห่ปินก่อน
เลี่ยวฉิงเทียนลดเสียงลง ”ท่านผู้อาวุโสโปรดวางใจขอรับ ข้ารู้ว่าต้องทำอย่างไร”
ผู้อาวุโสเฮ่อเหลียนพยักหน้าพร้อมกล่าวเสริมว่า ”ข้าได้ยินมาว่าเจ้าคนแซ่เว่ยคนนั้นมีที่ปรึกษาส่วนตัวคอยชี้แนะแผนการต่างๆ ให้หรือ”
”พวกข้าจับเขาเอาไว้แล้วขอรับ ไม่มีข่าวรั่วไหลออกไปอย่างแน่นอน” เลี่ยวฉิงเทียนลดเสียงลงอีกครั้ง ”ถ้าเขายังคงดื้อด้านก่อนถึงการไต่สวน ข้าจะสั่งให้คนไปฆ่าเขาคืนนี้ขอรับ!”
ผู้อาวุโสเฮ่อเหลียนละสายตาจากเขา ”เรื่องยิบย่อยพวกนั้นข้ายกให้เจ้าเป็นคนจัดการก็แล้วกัน อย่างไรเขาก็เป็นเพียงแค่ที่ปรึกษาส่วนตัว จัดการมันตามใจได้เลย ในเมื่อเวลานี้อดีตฮ่องเต้มาถึงเมืองหลวงประจำมณฑลแล้ว ข้าจึงไม่สะดวกที่จะยื่นมือเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับบางปัญหา เจ้าไปจัดการกับคนที่มีความแค้นกับภัตตาคารไห่ปินซะ โดยเฉพาะคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับคนที่ตายไปแล้วด้วย เจ้าไม่ต้องห่วง ข้าจะอยู่ฝั่งเจ้าในการไต่สวน อดีตฮ่องเต้มีความประทับใจที่ดีต่อภัตตาคารไห่ปินมาโดยตลอด เขาไม่มีทางเชื่อทุกอย่างที่จือฝู่ธรรมดาพูดอย่างแน่นอน ทุกอย่างจะเป็นไปได้ด้วยดีตราบใดที่ไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกับภัตตาคารไห่ปิน”
”ขอรับ” เลี่ยวฉิงเทียนหลุบตาลง พร้อมกับมองส่งผู้อาวุโสเฮ่อเหลียนด้วยความเคารพระหว่างที่เขาเดินเข้าไปในโรงเตี๊ยม
หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง เขาจึงหันกลับมาและสั่งกับใต้เท้าจางผู้เป็นข้ารับใช้คนสนิทว่า ”เจ้าจัดการตระกูลจ้าวที่ก่อเรื่องวุ่นวายเมื่อคราวก่อนอย่างไรรึ”
ใต้เท้าจางชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบว่า ”เรื่องนั้นข้าจัดการเช่นนี้ขอรับ ในเมื่อหญิงชรานางนั้นปฏิเสธที่จะรับเงิน ดังนั้นข้าจึงสั่งให้คนส่วนหนึ่งไปพังบ้านของพวกเขาขอรับ ตั้งแต่นั้นมาพวกเขาก็ปิดปากเงียบทันที”
”เช่นนั้นก็ไปจัดการตามนั้นอีก” เลี่ยวฉิงเทียนหรี่ตาลงแล้วเอ่ยว่า ”ในเมื่อพวกเรามาจนถึงขั้นนี้แล้ว เช่นนั้นเราก็มาจัดการสะสางมันให้เรียบร้อยไม่ดีกว่าหรือ ปล่อยหญิงชราคนนั้นอยู่ไปแล้วจะได้ประโยชน์อะไร”
ใต้เท้าจางรู้สึกได้ถึงความอำมหิตที่อยู่ในน้ำเสียงนั้นได้ เขาจึงลดเสียงลงแล้วเอ่ยว่า ”ข้าน้อยจะไปจัดการเดี๋ยวนี้ขอรับ”
”อย่าให้ใครเห็นล่ะ” เลี่ยวฉิงเทียนไม่รู้ว่าทำไมจิตใจของเขาถึงได้กระวนกระวายเช่นนี้ตั้งแต่อดีตฮ่องเต้ปรากฏตัวขึ้น
ใต้เท้าจางหลุบตาลง ”แม่ทัพเลี่ยวไม่ต้องกังวล การฆ่าคนนั้นเป็นเรื่องที่ง่ายดายยิ่งนักสำหรับกองทัพของเราขอรับ”
”ไปได้แล้ว” เลี่ยวฉิงเทียนเอนหลังพิงรถม้า พลางค่อยๆ หลับตาลงพร้อมกับเอ่ยว่า ”ข้าก็จะพักสักหน่อยเหมือนกัน”
หากสถานการณ์ไม่ตึงเครียดถึงเพียงนี้ละก็ เขาคงไม่อนุญาตให้ใต้เท้าจางจัดการกับเรื่องนี้ตอนกลางวันแสกๆ เช่นนี้แน่
แต่อย่างไรนางก็เป็นแค่หญิงชราที่อาศัยอยู่ในบ้านโกโรโกโสตรงตรอกมืดๆ คนเดียวเท่านั้น
ตราบใดที่ตรอกถูกปิดไว้ ย่อมไม่มีใครรู้ว่าหญิงชรานางนั้นตายได้อย่างไร…
เวลาเที่ยงวัน ภายใต้แสงอาทิตย์เจิดจ้า
ทหารรับจ้างในชุดสีดำคุกเข่าอยู่ตรงหน้าเฮ่อเหลียนเวยเวย ”นายน้อยขอรับ เลี่ยวฉิงเทียนสั่งให้หน่วยลอบสังหารจากกองกำลังรักษาการณ์ลงมือแล้ว พวกเรายังต้องสะกดรอยตามพวกเขาต่อไปหรือไม่ขอรับ”
”ต้องตามต่ออยู่แล้วสิ” เฮ่อเหลียนเวยเวยสวมชุดสีขาว ริมฝีปากของนางโค้งน้อยๆ ขณะเผยรอยยิ้มออกมา ”แล้วคุณชายเฮยล่ะ เขามาถึงที่นี่หรือยัง”
ทหารรับจ้างนายนั้นพยักหน้า ”คุณชายรองเฮยอยู่กับพวกข้ามาทั้งวันแล้วขอรับ เขาถึงกับถามข้าด้วยซ้ำว่าท่านเรียกตัวเขามาที่นี่ทำไม”
”ข้าก็ต้องมีเรื่องให้เขาทำอยู่น่ะสิ” เฮ่อเหลียนเวยเวยเล่นกับถ้วยชาในมือ ”ไปบอกให้คุณชายเฮยช่วยข้าสู้ในศึกครั้งนี้ แล้วข้าจะตอบแทนเขาด้วยการให้ภัตตาคารแห่งหนึ่งเป็นรางวัล”
ทหารรับจ้างนายนั้นรู้ว่าผู้เป็นนายทั้งสองมีความสัมพันธ์สนิทสนมกันดั่งพี่น้อง ดังนั้นเขาจึงพยักหน้ารับคำสั่งแล้วถอยออกไป
ผู้ว่าการเฉินตัวสั่นด้วยความหวาดกลัวหลังจากได้ยินบทสนทนาของทั้งสอง ”คุณชายเฮยที่พระชายาเอ่ยถึงเมื่อครู่นี้ หรือจะเป็นคนที่มาจากตระกูลเฮยหรือพ่ะย่ะค่ะ” โอ้ สวรรค์ มีคนใหญ่คนโตเจ้าของชื่อเสียงอันน่าหวาดกลัวมาถึงเมืองหลวงประจำมณฑลแห่งนี้แล้วกี่คนกันแน่!
เวลานี้ผู้ว่าการเฉินยังไม่รู้ว่าอดีตฮ่องเต้เดินทางมาถึงเมืองหลวงประจำมณฑลแล้วเช่นกัน ถ้าเขารู้ เขาคงไม่ตกใจกับการปรากฏตัวของคุณชายรองเฮยมากถึงเพียงนี้
อีกด้านหนึ่งนั้น เฮ่อเหลียนเวยเวยกลับจิบชาแล้วตอบว่า ”ใช่ เขาถูกนายท่านเฮยกักบริเวณมานานพอดู ตอนนี้เขาก็เลยอยากออกมาข้างนอกจนแทบทนไม่ไหว”
ผู้ว่าการเฉินเพียงแค่รับฟังอย่างเงียบๆ และไม่ได้แสดงความคิดเห็นอะไรออกมา ทุกคนต่างก็รู้ถึงอำนาจทางการทหารของตระกูลเฮย พวกเขาไม่เคยเข้าไปข้องเกี่ยวกับตระกูลขุนนางตระกูลใด ดังนั้นจึงมีน้อยคนนักที่จะสามารถเชิญชายที่รับมือยากที่สุดในตระกูลเฮยอย่างคุณชายรองเฮยมาได้
”จริงสิ ผู้ว่าการเฉิน ทางฝั่งท่านมีใครที่พวกเราพอจะใช้ได้บ้างหรือเปล่า ไม่จำเป็นต้องมีมากนักก็ได้ คนของข้าเก่งเรื่องต่อสู้อยู่แล้ว ดังนั้นท่านส่งคนที่จะเป็นหน้าเป็นตาให้เราได้มาให้ข้าสักสองสามคนก็พอ” เฮ่อเหลียนเวยเวยมองเขากลับแล้วยิ้มออกมา
ผู้ว่าการเฉินรู้สึกสับสน ”พระชายาจะเอาคนไปทำอะไรหรือพ่ะย่ะค่ะ”
”ก็ไปช่วยคนรูปงามน่ะสิ ข้าจะปล่อยให้พี่รองของตัวเองสู้อยู่คนเดียวในสงครามนองเลือดเช่นนี้ได้อย่างไร” เฮ่อเหลียนเวยเวยพูดราวกับว่ามันเป็นเรื่องง่ายๆ
แต่ผู้ว่าการเฉินกลับสัมผัสได้ถึงความไม่ชอบมาพากลจากคำพูดของนาง…
การเมืองในเมืองหลวงประจำมณฑลคงได้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ก็คราวนี้
ใครบอกว่าการเมืองเป็นเรื่องที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้
เลี่ยวฉิงเทียนพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อหาทางเอาใจอดีตฮ่องเต้ แต่อดีตฮ่องเต้ก็ยังปฏิเสธที่จะพบกับเขา
อีกด้านหนึ่งนั้น อดีตฮ่องเต้กำลังครุ่นคิดถึงเรื่องอื่นอยู่ เพราะองครักษ์เงาทุกนายที่เขาสั่งให้นำข้อความไปส่งถึงเจ้าเด็กจอมเย็นชานั่นยังไม่กลับมาแม้แต่คนเดียว
แต่อดีตฮ่องเต้ก็ยังคงรักษาความสุขุมเยือกเย็นเอาไว้ได้เสมอ เวลานี้แม้เขาจะมาถึงเมืองหลวงประจำมณฑลแล้ว แต่เขาก็ไม่อยากเป็นจุดสนใจมากนัก ถึงเลี่ยวฉิงเทียนคนนั้นจะจำเขาได้ก็ตาม
แต่อดีตฮ่องเต้ก็ไม่ได้ว่าอย่างไร เขาไม่กล้าปล่อยให้ข่าวเรื่องนี้แพร่สะพัดออกไปเช่นกัน ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงแค่รอให้ถึงการไต่สวนในวันพรุ่งนี้เท่านั้น
ในเวลานี้เลี่ยวฉิงเทียนรู้สึกโล่งใจทีเดียว ในเมื่อผู้อาวุโสอยู่ข้างเขา เขาย่อมไม่มีอะไรให้ต้องหวาดกลัว
เจ้าคนแซ่เว่ยนั่นไม่เหลือทั้งสิทธิ์หรืออำนาจใดๆ แม้กระทั่งที่ปรึกษาส่วนตัวของเขาก็ยังถูกพวกเขาจับกุมตัวเอาไว้ ดังนั้นเขาย่อมไม่มีโอกาสก่อปัญหาใดๆ ขึ้นมาได้
อย่างไรคำพูดปากเปล่าเพียงอย่างเดียวก็ไม่สามารถใช้เป็นหลักฐานได้ ต่อให้เขาเอ่ยถึงภัตตาคารไห่ปินขึ้นมาในชั้นศาล แต่คนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ต่างก็ถูกย้ายไปที่อื่น หรือไม่ก็ตายไปนานแล้ว
เขาไม่เชื่อว่าเจ้าคนแซ่เว่ยนั่นจะมีความสามารถทำให้คนตายอ้าปากพูดได้หรอก!
เมื่อคิดได้ดังนี้ เลี่ยวฉิงเทียนก็ยิ้มออกมาอย่างโล่งใจ พร้อมกับปล่อยวางเรื่องที่เขาเสียมารยาทต่อองค์ชายเจ็ดชั่วคราว
ไม่ว่าอดีตฮ่องเต้จะรักและเอ็นดูองค์ชายเจ็ดเพียงใด แต่เขาย่อมไม่มีทางถอดเขาออกจากตำแหน่งเพียงเพราะเหตุการณ์นี้อย่างแน่นอน
สิ่งเดียวที่เขาต้องทำตอนนี้ก็คือนั่งดูเจ้าคนแซ่เว่ยนั่นขุดหลุมฝังตัวเองเท่านั้น!
ในเวลานี้เลี่ยวฉิงเทียนยังคงไม่รู้ตัวว่าคนที่กำลังขุดหลุมฝังตัวเองอยู่ก็คือตัวเขาเองต่างหาก…
การต่อสู้ในตรอกมืดเริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการ
หน่วยมือสังหารคิดว่าทุกอย่างคงจบลงทันทีที่พวกเขาฆ่าหญิงชราคนนั้นได้ แต่ตอนนี้พวกเขากลับกำลังจ้องมองร่างสูงของคนกลุ่มหนึ่งที่ยืนขวางทางพวกเขาอยู่ด้วยสายตามุ่งร้าย
”ไม่มีใครบอกพวกเจ้าหรือว่าตรอกนี้ห้ามเข้า ข้าแนะนำให้พวกเจ้าหลีกทางไปซะ!”
นี่เป็นครั้งแรกตั้งแต่เกิดมาที่คุณชายเฮยถูกข่มขู่ เขาเลิกคิ้วแล้วเอ่ยอย่างเย็นชาว่า ”แล้วถ้าข้าไม่หลีกล่ะ”
เมื่อเห็นท่าทางเย็นชาและน่าเกรงขามของชายหนุ่ม หัวหน้าของคนกลุ่มนั้นก็พลันรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาในใจ แต่พวกเขาเป็นใคร พวกเขาคือคนของกองทัพ แล้วทำไมพวกเขาต้องกลัวอีกฝ่ายด้วย
”ไม่ดื่มเหล้าอวยพร แต่กลับอยากดื่มเหล้าลงทัณฑ์[1]แทนรึ! จัดการ!”
[1] เป็นสำนวนมีความหมายโดยนัยคือ ในเมื่อพูดดีๆ แล้วยังไม่ยอมทำตาม ก็คงต้องใช้กำลังบังคับกันแล้ว