ตอนที่ 529 งานฉลองหมั้น
หลินม่ายหันกลับไปมอง และเห็นว่าเฉินเฟิงและเคอจื่อฉิงยืนอยู่เคียงข้างกัน
เมื่อวานเธอไม่ทันได้สังเกต แต่วันนี้สังเกตเห็นอย่างชัดเจน ดูเหมือนว่าทั้งสองจะเข้ากันได้ดี
พวกเขามีความสูงระดับไล่เลี่ยกัน อีกทั้งใบหน้ายังมีความโดดเด่น
ข้อแตกต่างเพียงอย่างเดียวระหว่างพวกเขา คือเคอจื่อฉิงเป็นคนขี้กังวลและประหม่า
ถึงเฉินเฟิงจะไม่ได้มีนิสัยเก็บตัวหรือขาดความมั่นใจแบบนั้น แต่จิตใจกลับบอบบางเหมือนเส้นผม
ถ้าสองคนนี้ช่วยเติมเต็มกันและกันในสิ่งที่ขาดน่าจะเป็นคู่รักที่เหมาะสมมาก
ถึงหลินม่ายจะมีความคิดแบบนั้นอยู่ในใจ แต่ก็ไม่กล้าจับคู่อย่างผลีผลาม
เฉินเฟิงไม่ชอบให้ใครก็ตามเข้ามาก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวในชีวิตเขา แม้แต่เธอก็ไม่มีสิทธิ์นั้น
เธอถามด้วยความประหลาดใจ “ทำไมพวกคุณสองคนถึงมาอยู่ด้วยกันได้?”
ร่องรอยของความงงงวยฉายวาบผ่านแววตาของเฉินเฟิง ทันใดนั้นเขาก็เข้าใจทันทีว่าเรื่องราวเป็นมายังไง
สายตาแหลมคมเหมือนจะเชือดเฉือนของเขาหันไปหาฟางจั๋วเยวี่ย
ฟางจั๋วเยวี่ยรีบหลบเลี่ยงสายตาด้วยความรู้สึกผิด ก่อนจะอุ้มเด็กน้อยไว้ด้วยมือข้างเดียว “ไป ไปขอขนมจากคุณลุงผู้จัดการกัน” จากนั้นเขาก็ผละออกไป
เคอจื่อฉิงเอียงคอมองด้วยความสับสน “เธอไม่ได้มอบหมายให้พี่เฟิงพาฉันไปเที่ยวกู่ฉินไห่ หวงเฮ่อโหลว กับศาลาฉิงชวนหรอกเหรอ? น่าเสียดายที่วันนี้เวลากระชั้นชิดเกินไป ฉันได้ไปแค่หวงเฮ่อโหลวที่เดียวเอง ยังไม่ได้ไปเยือนจุดชมวิวอีกสองแห่ง พรุ่งนี้เธอช่วยพาฉันไปเที่ยวหน่อยสิ?”
หลินม่ายตอบกลับด้วยความรู้สึกผิด “วันพรุ่งนี้ฉันต้องกลับชนบทไปร่วมงานแต่งพี่สาวคนรองของหมิงเฉิง… ไว้วันมะรืนฉันค่อยไปเป็นเพื่อนคุณดีไหม?”
ครอบครัวของหลี่หมิงเฉิงถึงกับเลื่อนวันแต่งงานออกไปจากเดิม เพื่อที่เธอจะได้มีเวลาไปร่วมงานแต่งพี่สาวคนรองของเขา ดังนั้นเธอต้องไปให้ได้
เคอจื่อฉิงพูดด้วยน้ำเสียงอิดออด “ฉันหยุดงานแค่สามวันเอง ในเจียงเฉิงมีสถานที่ท่องเที่ยวอีกตั้งมากมาย ฉันอยากไปให้ครบ ถ้าล่าช้าไปสักวันหนึ่งคงพลาดสถานที่ท่องเที่ยวไปหลายแห่ง…”
ฟางจั๋วเยวี่ยหูตาว่องไว จึงได้ยินบทสนทนาระหว่างหลินม่ายกับเคอจื่อฉิงอย่างชัดเจน ถึงแม้ว่าตัวเองจะยืนห่างออกไปในระยะหลายเมตร
เขาวางเด็กน้อยทั้งสองลงสู่พื้นทันที ฉวยโอกาสนี้หันไปแนะนำกับเคอจื่อฉิง “ในเมื่อพี่สะใภ้ผมไม่ว่าง ถ้าอย่างนั้นคุณขอให้พี่เฟิงช่วยเป็นไกด์นำเที่ยวแทนก็ได้นี่ เขาว่างอยู่พอดี แถมยังมีรถส่วนตัวด้วย คุณรังเกียจการซ้อนมอเตอร์ไซค์ของเขาหรือเปล่าล่ะ?”
เคอจื่อฉิงชอบความรู้สึกของการซิ่งมอเตอร์ไซค์มาก ดังนั้นจึงตบไหล่เฉินเฟิงอย่างเป็นกันเอง “คุณช่วยพาฉันไปเที่ยวในเจียงเฉิงสักสองวันได้ไหม?”
เฉินเฟิงลังเลอยู่ไม่กี่วินาที แต่แล้วเคอจื่อฉิงกลับเลิกคิ้วขึ้น พร้อมกับขู่ว่า “ถ้าคุณไม่ยอมพาไป ฉันจะเตะไข่คุณเดี๋ยวนี้แหละ!”
ช่างเป็นการบังคับที่น่ากลัวมาก!
แขกยืนอยู่ไม่ไกลจากพวกเขาได้ยินคำพูดของเคอจื่อฉิง ก็เหลือบตาลงต่ำมองไปที่เป้าของเฉินเฟิงโดยอัตโนมัติ นี่เป็นเหตุการณ์ที่ทำให้เขารู้สึกลำบากใจที่สุดตั้งแต่เกิดมาเลย
บรรดาลูกน้องของเฉินเฟิงไม่สามารถสั่งสอนบทเรียนให้กับเพื่อนสนิทของหลินม่ายได้ พวกเขาทำได้แค่ถอยกรูดไปอยู่ห่าง ๆ
พร้อมกันนั้นก็โบกมือให้เฉินเฟิง “ลูกพี่ ถ้าโดนเตะไข่เข้าจริง ๆ ให้เซมาทางพวกเราได้เลย”
มุมปากเฉินเฟิงกระตุกอย่างรุนแรง
ตอนแรกมีแขกแค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่ได้ยินคำพูดของเคอจื่อฉิง
แต่ชายฉกรรจ์อย่างพวกเขากลับส่งเสียงดังตอกย้ำเพิ่มอีก ทำให้ตอนนี้ทุกคนรับรู้กันทั่ว
น่าขายหน้าเป็นที่สุด!
เนื่องจากต้นเหตุของเหตุการณ์ทั้งหมดมาจากเคอจื่อฉิง ในเมื่อหล่อนทำให้เขาได้รับความอับอายในที่สาธารณะ เขาจึงต้องแก้เผ็ดหล่อนเล็กน้อย
เฉินเฟิงโน้มตัวเข้าไปใกล้เคอจื่อฉิงพร้อมกับกระซิบบางอย่างข้างหูหญิงสาว
ใบหน้าของเคอจื่อฉิงเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำราวลูกมะเขือเทศ ดวงตาเบิกกว้างด้วยความไม่เชื่อ “จริงเหรอ?”
เฉินเฟิงพยักหน้าอย่างเคร่งขรึม “จริง ถ้าคุณไม่เชื่อจะลองจับดูก็ได้นะ”
หล่อนไม่มีทางจับของสงวนของใครเด็ดขาด ไม่ว่าตอนนี้หรือตลอดทั้งชีวิตก็ไม่คิดจะจับ
เคอจื่อฉิงส่ายหน้ารัว ๆ เพื่อแสดงการปฏิเสธ ก่อนจะถามอย่างเห็นอกเห็นใจ “คุณหมอฟางพอจะรักษาคุณได้ไหม?”
เฉินเฟิงหรี่ตามองหล่อน “คุณคิดว่าหมอที่วัน ๆ ถือแต่มีดผ่าตัดแบบเขาจะรักษาโรคของผมได้หรือเปล่าล่ะ?”
เคอจื่อฉิงพยักหน้า “แหงสิ ถ้าคุณขอให้เขาช่วยรักษา ไม่แน่ว่าอาจโดนเฉือนทิ้งไปทั้งพวงเลยก็ได้…”
ว่าแล้วหล่อนก็มองหน้าเฉินเฟิงด้วยความรู้สึกผิด “แต่เมื่อกี้ฉันไม่ได้หมายความอย่างนั้นนะ”
หล่อนโค้งคำนับเก้าสิบองศาด้วยใบหน้าแดงก่ำทันที “ต้องขอโทษด้วยค่ะ!”
จู่ ๆ เฉินเฟิงก็รู้สึกว่าผู้หญิงนิสัยห้าวคนนี้น่ารักมาก ไม่เสแสร้งหรืออวดดีเหมือนผู้หญิงส่วนใหญ่ ผิดก็ยอมรับว่าผิด ถูกก็ยอมรับว่าถูก
เขาโบกมืออย่างไม่ใส่ใจ “ไม่เป็นไร ไม่ต้องคิดมากหรอก ผมเองก็โกหกคุณเหมือนกันนั่นแหละ”
“คุณ!” หล่อนเตะเฉินเฟิงด้วยความโกรธ ก่อนจะยกเท้ากระทืบหลังเท้าเขาอีกครั้งอย่างแรง
หลินม่ายมองดูฉากนั้นด้วยความสยดสยอง
โชคดีที่วันนี้เคอจื่อฉิงไม่ได้สวมรองเท้าส้นสูงมา ไม่อย่างนั้นด้วยแรงกระทืบอันหนักหน่วงของหล่อน คงทำให้หลังเท้าของเฉินเฟิงเป็นรูเลือดทะลักออกมาแล้ว
ความจริงเฉินเฟิงได้รับความเจ็บปวดไม่น้อยจากการถูกเคอจื่อฉิงเตะและเหยียบเท้าอย่างแรง แต่เพื่อรักษาบุคลิกเอาไว้ ใบหน้าของเขาจึงยังสงบยิ่ง
หลินม่ายไม่ค่อยเข้าใจเท่าใด “เดี๋ยวก่อน คุณไปโกรธเขาทำไม?”
เคอจื่อฉิงหน้าแดง ก่อนจะพูดอย่างติดอ่าง “เขากระซิบบอกฉันว่าตัวเองเหลือไข่แค่ข้างเดียว ก็เลยห้ามไม่ให้ฉันเตะมัน ไม่อย่างนั้นเขาคงกลายเป็นหมันเข้าจริง ๆ ฉันอุตส่าห์เชื่ออย่างจริงจัง แต่เขากลับบอกว่าตัวเองแค่พูดโกหก แล้วจะให้ฉันไม่โกรธยังไงไหว?”
หลินม่ายเข้าไปโอบหลังหล่อน “เอาน่า อย่าโกรธเลย โกรธมากเดี๋ยวสิวขึ้นนะ”
พอเคอจื่อฉิงได้ยินแบบนั้น ก็รีบยกมือขึ้นสัมผัสใบหน้ารูปไข่ที่มีเลือดฝาดไหลเวียนอย่างสุขภาพดีและบอบบางของตัวเองด้วยความประหม่า
ถึงผิวพรรณของหล่อนจะดีมาก แต่ก็ยังมีสิวผุดขึ้นมาอยู่ประปราย ซึ่งทำให้หล่อนกังวลไม่น้อย
จากนั้นหลินม่ายก็หันไปตำหนิเฉินเฟิงด้วยสีหน้าจริงจัง “รอบนี้นายเล่นแรงไปหน่อยมั้ง”
เฉินเฟิงก็คิดแบบนั้นเช่นเดียวกัน
เคอจื่อฉิงมีบุคลิกที่ห้าวหาญแบบผู้ชาย แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะเล่นมุกตลกล้อเลียนความรู้สึกหล่อนอย่างไรก็ได้
เขาพูดกับเคอจื่อฉิง “ผมเล่นแรงไปจริง ๆ ถ้าอย่างนั้นผมสัญญาว่าจะพาคุณไปเที่ยวเจียงเฉิงทั้งสองวัน และจะพาคุณไปกินอาหารท้องถิ่นด้วย”
เคอจื่อฉิงเป็นผู้หญิงที่โกรธง่ายหายเร็ว ดังนั้นจึงพยักหน้ายอมรับข้อเสนอของเขา
ขณะที่หลินม่ายกำลังจะจัดที่นั่งให้ทุกคน เสียงผู้ชายคนหนึ่งก็ดังขึ้น “จื่อฉิง เธอไปรังแกใครอีกแล้ว?”
“อ๊ะ! พี่ชายนั่นเอง!” เคอจื่อฉิงตอบกลับเสียงแผ่วต่ำด้วยความตระหนก
ชีวิตนี้หล่อนไม่เคยกลัวใคร จะกลัวก็แต่พี่ชายตัวเองเท่านั้น
ใครใช้ให้หล่อนเป็นคนหัวทึบตั้งแต่เด็ก ส่วนพี่ชายเป็นนักเรียนตัวท็อปตั้งแต่ยังเด็กกันล่ะ
เขาอายุมากกว่าหล่อนหลายปี สมัยยังเด็กหล่อนไม่สนใจเรียนด้วยซ้ำ จึงถูกพี่ชายดึงหูเป็นการสั่งสอน ความเจ็บปวดจากการถูกพี่ชายร่วมสายเลือดตำหนินั้นยากจะลืมเลือน
เคอจื่อฉิงหันหลังกลับไปมองเขาด้วยสีหน้าเจื่อนสนิท เห็นว่าเคอจื่อหล่างพี่ชายของเธอและชายหนุ่มอีกคนหนึ่งที่มีอายุไล่เลี่ยกันซึ่งมีรูปร่างหน้าตาธรรมดา ๆ กำลังเดินตรงเข้ามาหา
เคอจื่อฉิงรีบโบกไม้โบกมือด้วยความตื่นตระหนกพร้อมกับพูดว่า “ฉันยังไม่ได้รังแกใครเลย ถ้าพี่ไม่เชื่อถามม่ายจื่อก็ได้”
หลังจากนั้นเธอก็ผลักหลินม่ายให้ออกไปรับหน้าโดยไม่ลังเล
เพื่อนเป็นเครื่องมือที่ดีที่สุดในการปิดกั้นปลายกระบอกปืน
หลินม่ายตอบกลับด้วยรอยยิ้ม “จื่อฉิงไม่ได้รังแกใครจริง ๆ ค่ะ พี่ใหญ่เคอไม่ต้องกังวล”
เคอจื่อหล่างไม่ได้พูดอะไรอีก พอมองผ่านไปที่ฟางจั๋วหรานก็ฉีกยิ้มกว้างอย่างสดใสทันที “จั๋วหราน ไม่เจอกันนานจนนายหมั้นซะแล้ว ยินดีด้วย ยินดีด้วย!”
เมื่อเห็นพี่ชายเปลี่ยนท่าทางอย่างกะทันหันแบบนั้น หล่อนก็เข้าไปกระซิบข้างหูหลินม่าย “เห็นหรือเปล่าว่าพี่ชายฉันยิ้มให้แฟนเธอกว้างแค่ไหน สงสัยเขาต้องแอบปลื้มแฟนเธออยู่แน่ ๆ”
หลินม่ายเบี่ยงศีรษะออกห่างจากอีกฝ่ายทันที
ผู้หญิงคนนี้ชอบพูดจาทะลึ่งเสียจริง ๆ เลย มิน่าล่ะพี่ชายของหล่อนถึงได้คาดโทษหล่อนทันทีที่เจอหน้า
ฟางจั๋วหรานเฝ้ามองหลินม่ายไม่คลาดสายตาด้วยความหลงใหล
ถึงทั้งสองจะมีโอกาสได้เจอหน้ากันทุกวัน แต่สำหรับเขาแล้วนั่นยังไม่เพียงพอ เหนือสิ่งอื่นใด วันนี้แฟนสาวของเขาแต่งตัวสวยกว่าทุกวัน แถมยังประทินโฉมด้วยเครื่องสำอางแบบบางเบาอีกด้วย ทำให้เธอยิ่งมีเสน่ห์เกินจะต้านทาน
เขากลับมารู้สึกตัวเมื่อได้ยินเคอจื่อหล่างอวยพร รีบตอบกลับด้วยรอยยิ้ม “ขอบคุณ ขอบคุณ”
ชายหนุ่มหน้าตาธรรมดาที่ยืนอยู่ถัดจากเคอจื่อหล่างเอื้อมมือไปตบไหล่ฟางจั๋วหราน “จั๋วหราน ฉันมาที่นี่โดยไม่ได้รับเชิญ หวังว่าคู่หมั้นของนายจะไม่ถือสานะ”
หลินม่ายรีบตอบกลับทันที “ไม่ถือสาเลยค่ะ ไม่ถือสาเลย ฉันซะอีกที่ไม่ทันได้ต้อนรับคุณ”
ชายหนุ่มมองไปที่หลินม่ายด้วยความประหลาดใจ สาวสวยคนนี้เองหรือที่เป็นคู่หมั้นของฟางจั๋วหราน!
ชายหนุ่มคนนี้ชื่อหลิวหย่งเจียง เขาเป็นเพื่อนร่วมมหาวิทยาลัยเดียวกันกับฟางจั๋วหรานและเคอจื่อฉิง เพียงแต่ไม่ได้เรียนแผนกเดียวกัน
พวกเขาทั้งสามชอบเล่นบาสเกตบอล ดังนั้นจึงสนิทสนมกันโดยปริยาย
สองปีก่อน หน่วยงานของหลิวหย่งเจียงส่งเขาไปศึกษาต่อที่ต่างประเทศโดยทุนสาธารณะ เพิ่งกลับมาเมื่อเดือนที่แล้วนี้เอง
พอได้ยินข่าวจากเคอจื่อหล่างว่าฟางจั๋วหรานจะหมั้นกับแฟนสาวของเขาในวันนี้ เขาจึงตามเพื่อนมาที่งานด้วยเพราะต้องการสร้างความประหลาดใจให้ฟางจั๋วหราน
ไม่คาดคิดว่าฟางจั๋วหรานจะเป็นฝ่ายทำให้เขาประหลาดใจเสียเอง เมื่อได้เห็นว่าคู่หมั้นของเขาหน้าตาสวยมาก แถมยังอายุน้อยกว่า
ฟางจั๋วหรานพูดคุยกับหลิวหย่งเจียงอีกพักหนึ่ง ก่อนจะฝากให้เคอจื่อหล่างช่วยรับรองหลิวหย่งเจียงเป็นอย่างดี ส่วนเขากับหลินม่ายจะไปยืนอยู่ที่หน้าประตูภัตตาคารเพื่อต้อนรับแขก
เพราะทักษะทางการแพทย์ที่ยอดเยี่ยมของฟางจั๋วหราน ทำให้เขารู้จักกับคนที่มีตำแหน่งใหญ่โตมากมาย ไม่แปลกใจเลยที่แขกซึ่งเดินทางมาร่วมงานฉลองหมั้นมีแต่บุคลากรระดับสูง
หวังหรงซึ่งยืนอยู่หน้าโรงแรมข้าง ๆ มองไปทางบรรดาแขกของอีกฝ่าย จากนั้นก็หันกลับมามองแขกในงานตัวเอง รู้สึกอึดอัดใจอย่างบอกไม่ถูก
หล่อนอดไม่ได้ที่จะหันไปบ่นกับกวนหย่งหัวด้วยเสียงกระซิบ “ทำไมพี่ไม่เชิญข้าราชการระดับสูงหรือนักธุรกิจรายใหญ่มาบ้างล่ะคะ? งานแต่งของเราดูโทรมชะมัดเลย”
สมาชิกในครอบครัวหวังหรงต้องโทษคดีอาชญากรรมกันเกือบหมดทั้งบ้าน ชื่อเสียงของพวกเขาย่ำแย่ขนาดนั้น กวนหย่งหัวไม่อยากให้ความสำคัญกับงานแต่งด้วยซ้ำ แล้วเขาจะเชิญแขกผู้มีเกียรติระดับนั้นมาร่วมงานให้เสียหน้าไปทำไม!
หวังหรงช่างไม่รู้สถานะของตัวเองเลย หล่อนยังมีหน้ามาถามเขาอีก!
กวนหย่งหัวพยายามระงับความไม่พอใจเอาไว้ ก่อนจะตอบกลับเสียงเบา “เดี๋ยววันพรุ่งนี้เราก็กลับฮ่องกงกันแล้ว งานแต่งอย่างเป็นทางการจะจัดขึ้นในอีกสองวัน ไม่ต้องซีเรียสกับงานแต่งที่นี่นักหรอก”
เมื่อนึกขึ้นได้ว่าตัวเองกำลังจะได้ไปฮ่องกงในเร็ว ๆ นี้แล้ว อารมณ์ของหวังหรงจึงดีขึ้นมาก
แต่เมื่อเห็นว่ากวนหย่งหัวหันหน้ามองไปทางหลินม่ายและฟางจั๋วหราน หัวใจหล่อนก็แทบหล่นลงไปอยู่ที่ตาตุ่มอีกครั้ง
ถ้ากวนหย่งหัวเห็นว่าฟางจั๋วหรานกับหลินม่ายเป็นคนรักกัน เขาจะโกรธหล่อนที่พูดโกหกหรือเปล่า?
หล่อนพยายามปกปิดความสัมพันธ์ระหว่างฟางจั๋วหรานกับหลินม่ายมาโดยตลอด ทั้งยังยุยงให้กวนหย่งหัวจัดการกับหลินม่ายสารพัดวิธี
หวังหรงมองกลับไปทางนั้นด้วยความประหม่า แต่แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกด้วยความโล่งอกทันที
ทั้งหลินม่ายและฟางจั๋วหรานต่างก็หันหลังให้พวกเขา
กวนหย่งหัวไม่สนิทสนมคุ้นเคยกับพวกเขา เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะจำฟางจั๋วหรานกับหลินม่ายได้ด้วยการมองอีกฝ่ายจากด้านหลัง
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
คู่นี้แสบพอกัน น่าจะไปด้วยกันได้นะคะ
อย่าให้พี่หมอหันหน้ามาเชียว เดี๋ยวได้มีตะลึงกันล่ะ
ไหหม่า(海馬)