ตอนที่ 530 สร้อยข้อมือเพชร
ภายในงานฉลองหมั้นระหว่างหลินม่ายและฟางจั๋วหราน นอกจากฟางเว่ยกั๋วและภรรยาของเขา ครอบครัวของฟางเว่ยตั่งและฟางเว่ยหมินต่างก็มาร่วมงาน
ไม่ใช่เพราะได้รับคำเชิญจากฟางจั๋วหราน คุณปู่ฟางและคุณย่าฟางก็ไม่คิดจะเชิญให้พวกเขามาเช่นเดียวกัน
แต่พวกเขาทั้งหมดได้ข่าวมาจากฟางถิง
ฟางถิงมีมิตรภาพที่ดีกับหลินม่าย ดังนั้นหลินม่ายจึงไม่ลืมเชิญหล่อนมาร่วมงานฉลองหมั้นด้วย
ถึงฟางจั๋วหรานจะประหลาดใจเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าครอบครัวของฟางเว่ยหมินก็มาร่วมงานเช่นกัน แต่เพราะเขาและหลินม่ายไม่ได้มีความขัดแย้งกับทั้งสองครอบครัว อีกทั้งพวกเขายังมาในฐานะแขก ดังนั้นเขาและหลินม่ายจึงต้อนรับอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้ม
ทั้งสองครอบครัวไม่มีเจตนาแอบแฝง อั่งเปาที่พวกเขามอบให้ก็ไม่ใช่จำนวนน้อย ๆ เลย
ในไม่ช้าเวลาก็ล่วงมาจนถึงเที่ยงตรง แขกทุกท่านมาถึงงานกันครบแล้ว ขาดก็แต่โฮ่วซินอี้และเหรินเป่าจู
หลินม่ายไม่รอพวกเขาอีกต่อไป หันไปบอกฟางจั๋วหรานให้แจ้งทางผู้จัดการร้านว่าสามารถเสิร์ฟอาหารได้
ทันใดนั้น เหรินเป่าจูก็มาถึงในเวลาเฉียดฉิว รีบยัดซองอั่งเปาใส่มือหลินม่ายพร้อมกับพูดว่า “โชคดีจังที่ไม่ได้มาสายจนเกินไป”
หลินม่ายมองไปข้างหลังหล่อนแล้วถามว่า “หัวหน้าโฮ่วไม่ได้มาด้วยเหรอ?”
วันหยุดทั้งสามวันในช่วงวันชาติ ทั้งเหรินเป่าจูและโฮ่วซินอี้ต่างก็ทำงานล่วงเวลา
ในเมื่อทั้งสองต่างก็ตรงมาจากโรงงานเพื่อเข้าร่วมงานฉลองหมั้นของเธอ พวกเขาควรมาด้วยกันถึงจะถูก
เหรินเป่าจูโบกมือ ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยความสุขอย่างเก็บซ่อนไว้ไม่มิด “อ๊ะ! อย่าเพิ่งถามหาเขาเลยค่ะ ตอนนี้ร้านเสื้อผ้าในห้างและร้านค้าในเครือขายดีมากจนต้องเติมสินค้าใหม่เรื่อย ๆ โรงงานเราเลยต้องมีคนคอยควบคุมตลอดเวลา หัวหน้าโฮ่วให้ฉันมาร่วมงานฉลองหมั้นของคุณก่อน หลังจากฉันกินเสร็จค่อยกลับไปเปลี่ยนตัวกับเขา”
หลินม่ายรีบหาที่นั่งให้เธอ ก่อนที่พนักงานจะเริ่มทำการเสิร์ฟอาหาร
ใครคนหนึ่งคนตะโกนขึ้นมาว่า “ทำไมพวกคุณถึงกินดื่มฉลองทั้ง ๆ ที่ยังไม่ได้แลกแหวนหมั้นกันล่ะ?”
หลังจากนั้นแขกในงานที่เป็นวัยรุ่นหนุ่มสาวก็ตะโกนเรียกร้องด้วย
ก่อนยุคสมัยปฏิรูปและเปิดประเทศ มีใครเขาจัดงานแบบนี้บ้าง?
งานแต่งงานในอดีตมีพิธีเรียบง่ายมาก หลังจากปั่นจักรยานพาเจ้าสาวกลับบ้าน งานเลี้ยงฉลองก็เริ่มขึ้น แล้วงานแต่งงานก็เสร็จสิ้น
กระทั่งในช่วงสองปีที่ผ่านมา ประเทศจีนได้รับอิทธิพลจากฮ่องกง ไต้หวัน และประเทศหมู่เกาะที่สังคมพัฒนาแล้ว
หากหนุ่มสาวจะแต่งงานกันทั้งที จะต้องถ่ายรูปพรีเวดดิ้ง สวมชุดแต่งงานสีขาว และแลกแหวนแต่งงาน… ขั้นตอนเริ่มมากสิ่งขึ้นเรื่อย ๆ
หลินม่ายรู้ขั้นตอนต่าง ๆ เป็นอย่างดี
เพียงแต่เธอกับฟางจั๋วหรานแค่หมั้นกันเท่านั้น ไม่ได้แต่งงาน ดังนั้นจึงไม่ได้เตรียมขั้นตอนอะไรขนาดนั้น แค่วางแผนว่าจะจัดให้มีการกินดื่มฉลองหมั้นเท่านั้นเอง
แต่เมื่อบรรดาแขกมีข้อเรียกร้อง เธอจึงทำได้เพียงยิ้มแห้ง ๆ
เคอจื่อฉิงตะโกนเสียงดังกว่าใคร ๆ “ไม่มีพิธีแลกแหวนหมั้นได้ยังไงกัน อย่างน้อยใช้แหวนฟางแทนก็ยังดี!”
เถาจืออวิ๋นเตรียมยกฉีฉีให้พ่อแม่ของเธอดูแล ตั้งใจว่าจะออกไปซื้อแหวนปลอมมาใช้ก่อนเพื่อกอบกู้สถานการณ์ ไม่อย่างนั้นงานเลี้ยงจะกระอักกระอ่วนเกินไป
แม่เถาถอดแหวนเงินที่ตัวเองสวมมานานหลายปีออกจากนิ้ว แล้วยื่นให้ลูกสาว “การสวมแหวนปลอมจะทำให้คู่หมั้นเกิดความโชคร้าย ลูกเอาแหวนของแม่ไปให้ม่ายจื่อกับจั๋วหรานใช้ก่อนก็แล้วกัน”
เถาจืออวิ๋นตอบรับด้วยความกระตือรือร้น พูดว่า “หลังจากงานเลี้ยงจบ ฉันจะพาแม่ไปซื้อแหวนทองวงใหม่นะคะ”
หล่อนเพิ่งได้รับเงินเดือนเมื่อวานนี้ แถมเงินที่ได้รับยังสูงถึงห้าร้อยหยวน เพียงพอเหลือเฟือที่จะเจียดไปซื้อแหวนทองให้ผู้เป็นแม่สักวงหนึ่ง
ในขณะที่เถาจืออวิ๋นกำลังจะส่งแหวนเงินวงนั้นให้ ฟางจั๋วหรานก็หยิบกล่องแหวนออกมาจากกระเป๋าเสื้อของตัวเองด้วยรอยยิ้ม “ผมเตรียมแหวนหมั้นไว้นานแล้ว ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสสวมลงบนนิ้วของม่ายจื่อเมื่อไหร่”
เคอจื่อฉิงเอามือป้องปากต่างโทรโข่ง “เวลานี้เหมาะสมที่สุดแล้ว!”
ฟางจั๋วหรานยื่นแหวนผู้ชายให้หลินม่าย ถือแหวนผู้หญิงไว้ในมือ ก่อนจะแลกแหวนหมั้นกันอย่างเป็นทางการ
แหวนหมั้นของฟางจั๋วหราน ตัวเรือนทำจากทองคำ ลักษณะเกลี้ยงเกลาเรียบง่าย วงหนึ่งหนา อีกวงหนึ่งเรียวบางรับกับนิ้วมือของเธอและเขา
ขณะที่ทั้งสองแลกแหวนหมั้นกันอยู่นั้น หลินม่ายนึกถึงประโยคหนึ่งขึ้นมา ‘จนกว่าชีวิตจะพรากจาก ขอสัญญาต่อท่าน จะกุมมือของท่าน อยู่เคียงข้างจนแก่เฒ่า’
เฉินเฟิงมองไปยังหญิงสาวที่เขารักอย่างเงียบ ๆ
วันนี้เธอสวยยิ่งกว่าวันไหน ๆ
เป็นเสมือนดอกลิลลี่ กลิ่นหอมหวน สูงส่ง บริสุทธิ์ และสง่างาม ต่อให้เขาจะสรรหาประโยคคำกล่าวที่ไพเราะที่สุดในโลกมาบรรยายความเป็นเธอก็ไม่นับว่ามากเกินไป
น่าเสียดายที่เธอจะไม่มีวันเป็นของเขา
ฟางจั๋วเยวี่ยซึ่งมีมุมมองทางสายตาแบบพาโนรามามองเห็นการแสดงออกของเฉินเฟิง พอถึงเวลาดื่ม เขาจึงพยายามกระตุ้นให้เคอจื่อฉิงและเฉินเฟิงดื่มสุรา โดยที่เขาอาสาเป็นคนรินให้
งานฉลองหมั้นของหลินม่ายเต็มไปด้วยความสุขและเสียงหัวเราะ แต่งานฉลองแต่งงานของหวังหรงกลับเต็มไปด้วยความอับอายขายหน้า
ตอนที่งานฉลองแต่งงานดำเนินไปจนถึงช่วงกลาง ๆ หลังจากหวังหรงเปลี่ยนมาสวมชุดที่สาม ชายหน้าตาดุดันรูปร่างสูงกำยำเหมือนหอคอยเหล็กสองคน ที่มาสั่งให้เธอจ่ายค่าชดเชยให้กับ Unique แทนผู้เป็นแม่ก็กลับมาอีกครั้ง
ทันทีที่หวังหรงเห็นพวกเขา ลางสังหรณ์อันเลวร้ายก็ผุดขึ้นในใจของหล่อนทันที
ยังไม่ทันที่หล่อนจะหันไปสั่งให้ผู้จัดการโรงแรมหาคนมาไล่พวกเขาออกไป ชายร่างใหญ่คนหนึ่งก็คว้าไมโครโฟนขึ้นมา แล้วอ่านเนื้อหาในเอกสารคำพิพากษาของศาลต่อหน้าแขกทุกคน โดยไม่ลืมขอให้หล่อนจ่ายเงินค่าชดเชยด้วย
แขกที่มาร่วมงานในวันนี้ ส่วนใหญ่เป็นพนักงานและคนงานในโรงงานตัดเสื้อซีม่าน
ทุกคนต่างตกอยู่ในความโกลาหล แต่ไม่มีใครกล้าแสดงออก
ถึงอย่างนั้นบรรยากาศแปลกประหลาดตรงหน้าก็ทำให้หวังหรงรู้สึกอับอายเป็นอย่างมาก
หลังจากงานแต่งงานเสร็จสิ้น หวังหรงก็รีบฉุดแขนกวนหย่งหัวไปขึ้นรถแท็กซี่ทันที
บังเอิญเหลือเกินที่งานฉลองหมั้นของหลินม่ายก็เสร็จสิ้นลงในเวลาเดียวกัน ฟางจั๋วหรานจับมือเธอไว้ไม่ห่าง ออกมายืนอยู่หน้าประตูภัตตาคารอ้ายฉินไห่เพื่อส่งแขก จึงเผชิญหน้ากับหวังหรงและกวนหย่งหัวเข้าพอดี
ทั้งหลินม่ายและฟางจั๋วหรานต่างรู้ว่าหวังหรงกับกวนหย่งหัวเป็นคู่รักกัน จึงไม่แปลกใจเมื่อมองเห็นพวกเขา
ในบรรดาคนทั้งสี่ มีแค่กวนหย่งหัวเท่านั้นที่ตกตะลึงจนสีหน้าแข็งค้าง
เนื่องจากเขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าหลินม่ายและฟางจั๋วหรานเป็นคู่รักกัน
มุมปากของเขากระตุกทันที
เขาทำธุรกิจฟาดฟันแข่งขันกับหลินม่ายมาโดยตลอด ไม่รู้เลยว่าศาสตราจารย์ฟางมีความคิดอย่างไรอยู่ในใจ
ถึงอย่างนั้นความรู้สึกผิดก็แวบเข้ามาในจิตใจ
เขาจำได้ว่าตัวเองเคยมอบซองอั่งเปาขนาดใหญ่ให้ศาสตราจารย์ฟาง เป็นการขอบคุณที่เขาอุตส่าห์ช่วยชีวิตลูกสาวให้รอดพ้นจากความตาย
นั่นหมายความว่าทั้งสองฝ่ายไม่ได้ติดค้างอะไรกันอีก แต่ทำไมเขาถึงได้รู้สึกผิดแบบนี้ล่ะ?
นอกจากนี้ ในเรื่องของธุรกิจ เขากับหลินม่ายเรียกได้ว่าเป็นคู่แข่งทางการค้า เป็นเรื่องปกติที่จะเกิดความขัดแย้งซึ่งกันและกัน
ในจังหวะนรกนั้นหวังหรงรู้สึกหวาดกลัวยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด หล่อนไม่รู้ว่ากวนหย่งหัวจะทำอะไรกับตัวเองบ้าง เมื่อเขาเห็นว่าหลินม่ายและฟางจั๋วหรานเป็นคู่รักกัน
หล่อนแค่ต้องการออกไปจากตรงนี้ให้เร็วที่สุด
ยิ่งตื่นตระหนก สถานการณ์ก็ยิ่งแย่
ตอนที่หล่อนเดินผ่านหน้าหลินม่ายไป สร้อยข้อมือเพชรที่หล่อนสวมใส่กลับร่วงลงกระทบพื้นเสียงดัง แต่ตอนนั้นหล่อนไม่ทันรู้ตัว
จนหล่อนเดินไปถึงรถแท็กซี่แล้วเอื้อมมือไปเปิดประตูรถ หวังหรงถึงตื่นตระหนกขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อเห็นว่าข้อมือของตัวเองเปลือยเปล่า หล่อนทำสร้อยข้อมือเพชรเรือนหมื่นตกหาย!
หล่อนรีบกวาดสายตามองไปรอบ ๆ ทันที และเห็นว่าหลินม่ายหยิบสร้อยข้อมือเพชรเส้นนั้นขึ้นมาดูใกล้ ๆ พลิกซ้ายพลิกขวา พร้อมกับขมวดคิ้วเล็กน้อยราวกับไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อน
หล่อนรีบเดินเข้าไปคว้าสร้อยข้อมือกลับคืนก่อนจะวิ่งจากไป
หลินม่ายมองตามรถแท็กซี่ของหล่อนไป ภายในใจเต็มไปด้วยความสงสัย
เมื่อเห็นว่าสีหน้าท่าทางของเธอดูผิดปกติ ฟางจั๋วหรานจึงคิดจะถามว่าเธอเป็นอะไรไป
ทันใดนั้นเฉินเฟิงก็ประคองร่างอ่อนปวกเปียกเพราะดื่มมากเกินไปของเคอจื่อฉิงออกมาซะก่อน
หลินม่ายขมวดคิ้ว “จั๋วเยวี่ยนี่ก็จริง ๆ เลย ทำไมถึงได้รินไวน์ให้จื่อฉิงมากมายขนาดนี้!”
เฉินเฟิงถาม “เราควรทำยังไงกับหล่อนดี?”
“ต้องไปถามพี่ชายของจื่อฉิงดูว่าเขาจะจัดการกับน้องสาวยังไง?”
พี่ชายของเคอจื่อฉิงอยู่ในงานนี้ด้วย และเคอจื่อฉิงก็มาตกอยู่ในสภาพนี้อีก ดังนั้นเธอจึงต้องขอความเห็นจากเคอจื่อหลางก่อน
ฟางจั๋วหรานบอกว่า “พี่ชายเธอกับหย่งเจียงเหมือนจะกลับไปเยี่ยมอาจารย์ด้วยกัน พวกเขาคงกลับไปนานแล้ว”
เฉินเฟิงโต้กลับ “พี่ชายเธอเดินมาถามก่อนที่เขาจะกลับไปแล้ว แต่จื่อฉิงยืนกรานว่าจะนอนค้างที่บ้านม่ายจื่อ”
“งั้นช่วยไปส่งหล่อนกลับบ้านก่อนก็แล้วกัน เดี๋ยวฉันจะตามไปทีหลัง”
เฉินเฟิงจึงประคองเคอจื่อฉิงแล้วเดินไปที่มอเตอร์ไซค์ของเขา
หลินม่ายถามด้วยความเป็นห่วง “จื่อฉิงเมาแอ๋ขนาดนี้ หล่อนจะซ้อนมอเตอร์ไซค์นายไหวเหรอ?”
เคอจื่อฉิงโบกมือพัลวัน ตอบกลับหลินม่ายด้วยเสียงอ้อแอ้ “ฉันม่ายด้ายมาว ฉันซ้อนด้าย”
จากนั้นก็ยกขาขึ้นคร่อมเบาะหลังบนมอเตอร์ไซค์ของเฉินเฟิงทันที
เมื่อหลินม่ายเห็นว่าหล่อนกอดเอวเฉินเฟิงไว้แน่น ก็รู้สึกโล่งใจเล็กน้อย
ฟางจั๋วหรานได้โอกาสถามว่าเมื่อกี้นี้เธอเป็นอะไรไป
หลินม่ายกระซิบตอบ “ฉันคิดว่า เครื่องเพชรทั้งหมดที่หวังหรงสวมอยู่เป็นของปลอม”
ฟางจั๋วหรานเชื่อในคำวิเคราะห์ของแฟนสาว
กวนหย่งหัวมีครอบครัวอยู่แล้ว แต่กลับแต่งงานกับหวังหรง
ในเมื่อเขามีจุดประสงค์บางอย่างแอบแฝง แล้วเขาจะลงทุนซื้อเครื่องเพชรแท้ทั้งชุดให้หล่อนได้อย่างไร
โดยเฉพาะแหวนแต่งงานที่ประดับเพชรเม็ดโตเท่าไข่นกพิราบวงนั้น
เขามองแค่แวบแรกก็รู้แล้วว่ามันเป็นของปลอม แต่มันสามารถตบตาผู้หญิงโลภมากหน้าอกใหญ่ไร้สมองอย่างหวังหรงได้จนหล่อนไม่นึกเอะใจ
ฟางจั๋วหรานถาม “คุณรู้ได้ยังไงว่ามันเป็นของปลอม?”
หลินม่ายอธิบาย “เพชรแท้ขึ้นชื่อว่าแข็งจนทำแก้วเป็นรอยได้ มีของสักกี่อย่างกันเชียวที่สามารถทำให้เพชรเป็นรอย? แต่สร้อยข้อมือเพชรของหวังหรงร่วงกระทบพื้นก็เป็นรอยขีดข่วนซะแล้ว เลยมีความเป็นไปได้แค่อย่างเดียว ก็คือมันเป็นของปลอม”
จากนั้นเธอก็เงยหน้ามองฟางจั๋วหราน “หวังหรงอาจจะโดนหลอกให้แต่งงานก็ได้”
“คุณอยากช่วยหล่อนหรือเปล่าล่ะ?”
หลินม่ายโคลงศีรษะ “ไม่ใช่เรื่องของฉันซะหน่อย ทำไมฉันต้องช่วยหล่อน?”
ครึ่งชั่วโมงต่อมา พวกเขาก็ส่งแขกทุกคนกลับไปจนหมด
เหตุผลหลักเป็นเพราะแขกหลายคนต้องการปรึกษาฟางจั๋วหรานเกี่ยวกับสภาพร่างกายของตัวเองก่อนจะกลับไป บางคนสงสัยว่าพวกเขามีเนื้องอกในร่างกายหรือเปล่า และจำเป็นต้องเข้ารับการผ่าตัดไหม
หลังจากส่งแขกเรียบร้อยแล้ว หลินม่ายก็แยกย้ายกับฟางจั๋วหรานและคนอื่น ๆ ตรงกลับไปที่บ้านของตัวเอง
ถึงโจวฉายอวิ๋นจะอยู่ที่บ้านทั้งคน แต่เคอจื่อฉิงก็เป็นแขกคนสำคัญของเธอ ในเมื่ออีกฝ่ายเมาคอพับคออ่อน คนที่ควรดูแลก็ต้องเป็นเธอ ไม่สามารถผลักภาระไปให้โจวฉายอวิ๋นรับมือแทนได้
ทุกครั้งที่เธอไปกว่างโจว เคอจื่อฉิงต้องรับขับสู่เธอเป็นอย่างดีเสมอมา ดังนั้นเธอเองก็ต้องต้อนรับอีกฝ่ายเป็นอย่างดีเช่นเดียวกัน
เพื่อมิตรภาพระหว่างเพื่อน เธอไม่คิดอะไรให้ซับซ้อน
เธอพยายามเร่งฝีเท้ากลับไปให้เร็วที่สุด แต่ยังไม่ทันจะเปิดประตูเข้าไป ก็ได้ยินเสียงเคอจื่อฉิงกำลังทุบตีใครบางคนดังออกมาจากในบ้าน
เธอได้แต่ยืนตะลึงอยู่ข้างนอก
ถึงแม้เคอจื่อฉิงจะมีนิสัยหาญกล้าเกินผู้หญิงไปหน่อย แต่ก็ไม่ได้มีพฤติกรรมรุนแรงอะไร
คำถามคือ แล้วเธอกำลังทุบตีใครอยู่?
………………………………………………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
ยัยหรงฝันสลายแล้วเธอเอ๊ย ขนาดเครื่องเพชรยังเป็นของเก๊เลย
พี่เฟิงไม่เอาน่ะ ผญ.เขาเมาก็ใช่ว่าจะทำอะไรเขาได้นะ
ไหหม่า(海馬)