“พี่น้องทั้งหลาย ได้เวลาแล้ว” เฮ่อเหลียนเวยเวยยิ้มอย่างชั่วร้าย
เพียงพริบตาเดียว คนกลุ่มหนึ่งก็พลันปรากฏตัวขึ้นที่ด้านหลังของนาง!
ถึงอาวุธของพวกเขาจะแตกต่างกัน แต่ชุดของพวกเขาก็เป็นสีดำสนิทเหมือนกัน บางคนสะพายปืนยาวเอาไว้ ในขณะที่บางคนคาบหญ้าแห้งเอาไว้ที่ปาก แม้จะมองเห็นจากที่ไกลๆ แต่คนที่เห็นพวกเขาต่างก็รู้สึกเหมือนได้กลิ่นดินปืนโชยมากันทั้งนั้น!
ผู้ว่าการเฉินคาดไม่ถึงว่าจะได้เห็นภาพนี้ ดวงตาของเขาเบิกกว้างด้วยความตกใจ ”พระชายา คนเหล่านี้คือใครหรือพ่ะย่ะค่ะ”
คำถามหลักที่เขาไม่เข้าใจก็คือเมื่อครู่นี้คนพวกนี้ซ่อนตัวอยู่ที่ไหนกัน
พวกเขาปรากฏตัวขึ้นจากความว่างเปล่าเช่นนี้ได้อย่างไร
และอีกคำถามหนึ่งก็คือเรื่องของอาวุธที่อยู่ในมือของพวกเขา!
ทำไมเขาถึงไม่เคยเห็นเจ้าท่อสีดำยาวอันนั้นมาก่อน
“กองกำลังลับของข้าเอง”
เฮ่อเหลียนเวยเวยเน้นเสียงคำว่า ’ของข้า’ อย่างดุดัน
นางเกิดมาด้วยมาดอย่างนางพญา แต่ความหยิ่งผยองราวกับนางพญาของนางก็ลดน้อยลงไปเพราะใครคนหนึ่ง
ตอนนี้เมื่อนางมีกองทัพของตัวเองยืนอยู่ด้านหลัง จึงเป็นธรรมดาที่นางจะเผยความหยิ่งผยองนั้นออกมา!
ผู้ว่าการเฉินตกตะลึงจนทำอะไรไม่ถูกอีกครั้ง เขามองเฮ่อเหลียนเวยเวยที่ยกมือข้างขวาขึ้นรับปืนด้วยสายตาเหม่อลอย
น้ำหนักของมันดูไม่เป็นปัญหาสำหรับนางแต่อย่างใด แทนที่จะเป็นเช่นนั้น นางกลับสะพายมันไว้บนไหล่ด้วยท่าทางทะมัดทะแมง เสื้อคลุมตัวยาวของนางโบกสะบัดตอนที่นางก้าวเท้าออกมา ภาพนั้นสามารถอธิบายได้เพียงคำเดียวว่า ’เท่ชะมัด’!
ในตอนที่หัวหน้าของหน่วยลอบสังหารมองเฮยเจ๋อที่ถูกพวกเขาล้อมเอาไว้ด้วยสีหน้าอวดดีนั้น น้อยคนในจำนวนพวกเขาที่จะรู้ว่าอันที่จริงเป็นพวกเขาต่างหากที่ถูกกองกำลังถึงสองกลุ่มล้อมเอาไว้ทั้งซ้ายและขวา!
ด้วยความสามารถที่กองกำลังลับมี พวกเขาจึงสามารถมาถึงสถานที่แห่งนั้นได้ในระยะเวลาอันสั้น!
เฮ่อเหลียนเวยเวยมองความวุ่นวายที่เกิดขึ้นบนตรอกยาว แล้วกระตุกยิ้มอย่างเป็นกันเอง ”โอ๊ะโอ ดูคึกคักกันดีทีเดียวนี่”
เมื่อเฮยเจ๋อที่กำลังสนุกสนานกับการต่อสู้อยู่ได้ยินเสียงของนาง เขาก็ใช้หลังมือเช็ดเลือดที่เปรอะอยู่บนหน้าออก แล้วหัวเราะอย่างชั่วร้าย ในที่สุดพวกนางก็มาถึง
หน่วยลอบสังหารหยุดเคลื่อนไหว แล้วหันหน้าไปมองทางเฮ่อเหลียนเวยเวย คนที่เป็นหัวหน้าใช้มีดเล่มยาวชี้ใส่นาง ”เจ้าหนู ข้าขอเตือนเอาไว้ก่อนว่านี่ไม่ใช่เรื่องของเจ้า จะไสหัวไปไหนก็ไป!”
“พี่รอง ท่านมาถูกคนพวกนี้อัดเสียน่วมได้อย่างไร ท่านปู่เฮยคงได้เสียใจยิ่งนักหากเขารู้เรื่องนี้เข้า” เฮ่อเหลียนเวยเวยเมินคำขู่ของอีกฝ่ายไปอย่างสิ้นเชิง สายตาของนางจับจ้องอยู่ที่รอยบาดบนใบหน้าของเฮยเจ๋อ ความโหดเหี้ยมปรากฏขึ้นในดวงตาของนางก่อนจะหายวับไป
หลังจากเฮยเจ๋ออัดมือสังหารคนหนึ่งจนร่วง เขาก็อ้าปากขึ้น แล้วชี้ไปที่ด้านหลัง ”เจ้าดูตรงนั้นให้ดีสิว่าข้าซัดพวกมันหมอบไปกี่คนแล้ว!”
นางกล้ามาตำหนิความสามารถทางการต่อสู้ของเขาได้อย่างไร เขาเหนื่อยจะตายอยู่แล้ว!
“ราวยี่สิบคนเห็นจะได้” เฮ่อเหลียนเวยเวยนับแล้วเอ่ยต่อ ”ไม่เลว ตอนนี้ท่านไปพักได้แล้ว ข้าจะรับช่วงต่อให้เอง”
เมื่อถูกมองข้ามถึงเพียงนั้น หัวหน้าหน่วยลอบสังหารก็โกรธจัดจนแทบคุมสติไว้ไม่อยู่!
“พวกเจ้ามัวแต่ยืนเฉยกันอยู่ทำไม ต่อยเจ้าเด็กหน้าดำนั่นซะ!”
เฮ่อเหลียนเวยเวยมองหัวหน้าคนนั้น แล้วค่อยๆ หัวเราะออกมา ”ข้าเกลียดจริงเชียวเวลาที่มีคนมาวิจารณ์สีผิว อีกอย่าง เจ้านี่มันเสียงดังหนวกหูเกินไปแล้ว”
ระหว่างที่พูด เฮ่อเหลียนเวยเวยก็ยกแขนแล้วยกปืนขึ้นมาพาดบนไหล่ เมื่อจุดทั้งสองจุดมาเรียงอยู่ในระนาบเดียวกัน นางก็จัดการลั่นไกทันที
ปัง!
มือสังหารที่พุ่งเข้ามาหานางโดนกระสุนระเบิดใส่จนหมดสติไป
นางกระตุกริมฝีปากขึ้นเล็กน้อยท่ามกลางกองเพลิง ”ด้วยความเร็วของข้าในตอนนี้ ข้าสามารถจัดการคนยี่สิบคนนี้ได้ในพริบตาเลยด้วยซ้ำ”
“เจ้า… เจ้า!” หัวหน้ามองปืนในมือของเฮ่อเหลียนเวยเวย เขาตกใจเป็นอย่างยิ่ง เจ้าสิ่งนั้นมันคืออะไรกัน!
เขาเคยอยู่ในสนามรบมาก่อน เขาไม่เคยเห็นอาวุธที่ทรงพลังเช่นนั้นได้อย่างไร!
ยิ่งกว่านั้น ความแม่นยำในการยิงของมันก็สูงยิ่งนัก!
หัวหน้าหน่วยคนนั้นหน้าซีดเผือดไปในทันใด เขารีบตะโกนไปที่ด้านหลังว่า ”ถอนกำลัง! ถอนกำลังเดี๋ยวนี้!”
เดิมทีนั้นคนที่มากับเขาก็ไม่ได้มีจำนวนมากนัก ทหารที่มากับเขาล้วนแต่คิดว่าจะได้ใช้ชีวิตอย่างอิสระและมีความสุขภายในเมืองแห่งนี้หลังจากฆ่าหญิงชราคนนั้นแล้ว แต่พวกเขานึกไม่ถึงเลยว่าจะต้องมาพบกับความพ่ายแพ้เช่นนี้
“คิดหนีรึ” เฮ่อเหลียนเวยเวยยิ้มอย่างชั่วร้าย ”ต้าสง อวิ๋นเฟิง พวกเจ้าไปปิดทางซ้าย หงตู๋ หลี่หย่ง พวกเจ้าสองคนไปปิดทางขวาซะ เรามาสั่งสอนเรื่องการทะเลาะวิวาทให้หัวหน้าจากกองทัพของตระกูลเลี่ยวคนนี้กันดีกว่า!”
“ขอรับ!”
ฟุ่บ ฟุ่บ ฟุ่บ เสียงนั้นดังสะท้อนไปทั่วบรรยากาศ
ทันทีที่หัวหน้าคนนั้นหันหลังกลับ ที่ด้านหลังของเขาก็มีชายชุดดำคนหนึ่งยืนอยู่ก่อนแล้ว ชายคนนั้นกระตุกยิ้มขึ้น แล้วต่อยหน้าเขาเข้าอย่างจัง!
เขาเคลื่อนไหวรวดเร็วถึงเพียงนี้ได้อย่างไรกัน!
ดวงตาของหัวหน้าคนนั้นเบิกกว้างด้วยความตกใจ
กร็อบ!
เสียงกระดูกหักดังลั่น
หัวหน้าคนนั้นเจ็บปวดจนแทบสิ้นสติ!
เฮ่อเหลียนเวยเวยเช็ดเลือดที่เปรอะอยู่บนมือ ”อย่าเผลออัดเขาจนตายซะก่อนล่ะ พวกเรายังต้องเก็บเขาไว้ใช้เป็นหลักฐานอยู่” หลังจากพูดจบ นางก็เดินตรงเข้าไปหาเฮยเจ๋อ
เฮยเจ๋อรีบชี้นิ้วใส่หน้าตัวเอง แล้วถามนางว่า ”ดูให้ข้าหน่อยสิว่ามันมีอะไรผิดรูปไปหรือเปล่า”
เฮ่อเหลียนเวยเวยบอกความจริงกับเขาไม่ได้ นางจึงหันไปออกคำสั่งกับบรรดากองกำลังลับว่า ”ต่อยหน้าพวกมันแก้แค้นให้คุณชายรอง”
เฮยเจ๋อรู้สึกกลุ้มใจ ชายหนุ่มผู้หล่อเหลาอย่างเขาคงไม่สามารถใช้หน้าตาหากินได้อีกต่อไปแล้ว!
“เจ้ารู้หรือเปล่าว่าเจ้านายของข้าคือใคร เจ้ากล้าทำกับข้าเช่นนี้ได้อย่างไร!” หัวหน้าคนนั้นลุกขึ้นยืน ใบหน้าของเขาบาดเจ็บจนแทบดูไม่ได้ แต่เขาก็ยังพยายามใช้กำปั้นตอบโต้ต้าสงอยู่ ”ข้าเคยได้รับความดีความชอบในสงครามมาก่อนเชียวนะ!”
โครม!
ต้าสงไม่พูดพร่ำทำเพลง เขายกขาขึ้นถีบอีกฝ่ายพร้อมกับกล่าวว่า ”พูดอย่างกับว่าเจ้าเป็นคนเดียวที่เคยได้รับความดีความชอบในสงครามอย่างนั้นล่ะ!”
“เจ้า… พวกเจ้ารอดูก็แล้วกัน! รอให้แม่ทัพเลี่ยวกลับมาเมื่อไหร่ ข้าจะให้เขาจัดการพวกเจ้าให้หมด!” พวกเขาสามารถบอกได้ว่าหัวหน้าคนนี้คงชินกับการโยนปัญหาของตัวเองให้กับเลี่ยวฉิงเทียนในทุกครั้งที่เขาประสบปัญหา
เฮ่อเหลียนเวยเวยหัวเราะเย้ยหยัน ”ข้าก็อยากรู้เหมือนกันว่าเลี่ยวฉิงเทียนจะกล้าโผล่หน้ามาหรือเปล่า ถ้าเขากล้ามา ข้าก็จะยิงเขาให้ตายคาที่ในข้อหาบังอาจมาทำให้ใบหน้าของพี่รองข้าเสียโฉม!”
“เวยเวย!” คุณชายรองเฮยรู้สึกซาบซึ้งอย่างมาก เขาแทบไม่เคยได้ยินนางเรียกเขาว่าพี่ชายเลยด้วยซ้ำ แต่ทำไมนางถึงต้องเพิ่มคำว่า ”พี่รอง” เข้ามาด้วยล่ะ…
เฮ่อเหลียนเวยเวยหันกลับมาแล้วตบบ่าเขา จากนั้นนางจึงยิ้มตาหยี แล้วกล่าวว่า ”บาดแผลไม่ได้เลวร้ายนัก ”บาดแผลนี่ยังดูรุนแรงไม่พอ เอาเลือดมาราดเพิ่มบนแขนเสียหน่อยก็แล้วกัน”
ทันทีที่เห็นคนกลุ่มนี้ปรากฏตัวขึ้น เฮยเจ๋อก็รู้ได้ทันทีว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยวางแผนการอะไรไว้ บทบาทของเขาในแผนนี้ก็คือการล่อมือสังหารเหล่านี้ออกมา และแกล้งทำเป็นเจ็บตัวให้ถูกเวลา
เมื่อมีน้องสาวที่เจ้าเล่ห์เช่นนี้ เขาที่เป็นพี่ชายย่อมพร้อมให้ความร่วมมือกับนางเป็นอย่างดี
“ดูเหมือนข้าคงต้องทำเป็นได้รับบาดเจ็บสาหัสเพื่อให้แม่ทัพเจี่ยงที่กำลังนำทัพมุ่งหน้ามาที่นี่ได้เห็นในสิ่งที่พวกเจ้าต้องการด้วยสินะ” เฮยเจ๋อลูบคางตัวเองด้วยสีหน้าชั่วร้ายพลางเอ่ยออกมา
ในเวลานี้เฮ่อเหลียนเวยเวยจึงเพิ่งรู้ว่าเขาเรียกหน่วยปราบปรามมาด้วย
จริงสิ เขาเป็นถึงคุณชายจากจวนตระกูลเฮยเชียวนี่ เขาย่อมเจ้าเล่ห์กว่านางอยู่แล้ว…
ทั้งสองสบตากัน ก่อนที่เฮ่อเหลียนเวยเวยจะถอนหายใจยาวออกมา ”คนตระกูลเลี่ยวช่างโชคร้ายยิ่งนัก”
“เขาหาเรื่องใส่ตัวเอง จะโทษใครได้” เฮยเจ๋อยิ้มเยาะ ต่อให้เขาจะพยายามปกปิดเอาไว้ แต่เขาก็ไม่สามารถปิดบังอำนาจทางการทหารอันยิ่งใหญ่ที่สั่งสมมานับปีนั้นได้
ในเวลานี้เจี่ยงหลิวอวิ๋นและทหารม้าจำนวนหนึ่งพันนายเดินทางมาถึงแล้ว แม้จะอยู่ไกลออกไป แต่กองทัพของพวกเขาก็ทำให้ทุกคนรู้สึกกดดันยิ่งนัก
ใต้เท้าจางที่ทำหน้าที่คุ้มกันตรอกนั้นอยู่ถึงกับตกตะลึงเมื่อเห็นภาพนี้!
สถานการณ์นี้มันหมายความว่าอย่างไร!