ความสงสัยที่เกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่านั้นทำให้หัวใจของจางซินเต้นระรัวด้วยความหวาดกลัว เขาทำได้เพียงแค่รักษาท่าทางอ่อนน้อมถ่อมตนของตัวเองเอาไว้ พร้อมกับเช็ดเหงื่อที่อยู่บนหน้าผากไปด้วยเท่านั้น เขาถามขัดขึ้นมาว่า ”แม่ทัพเจี่ยงขอรับ คุณชายท่านนี้คือ?”
“เจ้าเพิ่งจะเรียกข้าว่าฆาตกรไปไม่ใช่หรือ” ทุกครั้งที่เฮยเจ๋อเลิกคิ้ว แม้จะไร้ซึ่งความโกรธ แต่มันก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้คนเห็นรู้สึกหนาวสั่นไปทั้งตัว
จางซินหัวเราะเก้อๆ ”เรื่องทั้งหมดล้วนแต่เป็นความเข้าใจผิดกันขอรับ มิหนำซ้ำยังเป็นความเข้าใจผิดร้ายแรงอีกด้วย!”
“เข้าใจผิดหรือ” เฮยเจ๋อเหยียบมือของหัวหน้าหวังอีกครั้งพร้อมกับเลื่อนสายตาขึ้นมองจางซิน ”เจ้ากล้าพูดหรือเปล่าว่าคนที่ลอบทำร้ายข้าพวกนี้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเจ้า”
เมื่อครู่นี้หัวหน้าหวังทนความเจ็บปวดไม่ไหวจนสลบไป แต่ตอนนี้เมื่อเขามองเห็นจางซิน สิ่งแรกที่เขาต้องการก็คือการแก้แค้น!
“ใต้เท้าจาง รีบไปแจ้งให้แม่ทัพเลี่ยวยกกำลังมาที่นี่เร็วเข้า ข้าต้องการให้เจ้าคนหน้าโง่พวกนี้ตายให้หมด!”
เมื่อได้ยินคำสั่งของหัวหน้าหวัง จางซินก็แทบอยากบีบคอเขาให้ตายคามือ เขาไม่เห็นหรืออย่างไรว่าแม่ทัพเจี่ยงก็ยืนอยู่ที่นี่เหมือนกัน!
เจี่ยงหลิวอวิ๋นกระตุกยิ้มพร้อมกับบีบปลายคางของหัวหน้าหวังขึ้น ”ข้ากำลังสงสัยอยู่เชียวว่าคนผู้นี้คือใคร ตอนนี้เพิ่งสังเกตเห็นว่าเป็นหัวหน้าหวังนี่เอง ช่างเป็นคนที่เก่งกล้าสามารถจริงๆ ฆ่าใครไม่ฆ่า แต่กลับคิดจะฆ่าคุณชายรอง!”
“คุณชาย คุณชายรองหรือ?!” หลังจากหัวหน้าหวังเห็นเจี่ยงหลิวอวิ๋นได้ เขาก็รีบหันไปมองใบหน้าของเฮยเจ๋ออีกครั้งทันที เขาถามขึ้นอย่างตกตะลึงว่า ”ท่าน ท่านคือ?”
เจี่ยงหลิวอวิ๋นหัวเราะ ”ทำไมล่ะ แม่ทัพเลี่ยวเคารพนับถือนายท่านเฮยเป็นอย่างสูงมาตลอดมิใช่หรือ ตอนนี้พอหลานชายสุดที่รักของเขามายืนอยู่ตรงหน้าเจ้า เจ้ากลับจำเขาไม่ได้หรือ”
หลานชายสุดที่รักของนายท่านเฮยหรือ?!
ทันทีที่คำพูดเหล่านั้นหลุดออกมา หัวหน้าหวังก็รู้ว่าเขาจบเห่แล้ว!
ตระกูลเฮยเป็นตระกูลอะไร และฐานะของคุณชายเฮยยิ่งใหญ่ถึงเพียงใด!
เขาแทบจะเป็นองค์ชายของกองทัพเลยก็ว่าได้!
ไม่ใช่เพียงแค่เขาคนเดียว หากแม่ทัพเลี่ยวอยู่ที่นี่ด้วย เขาย่อมจำเป็นต้องหมอบคำนับและยอมจำนนต่ออีกฝ่ายอย่างเชื่อฟัง
แต่ตอนอยู่ในตรอก เขาเพิ่งจะหาเรื่องอีกฝ่ายไปหมาดๆ
แม้ว่าคนที่ถูกอัดจนน่วมจะกลายเป็นเขาเองก็ตามเถอะ…
แต่ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ได้ทำร้าย ’องค์ชาย’ ไปเสียแล้ว
หัวหน้าหวังแทบจะหมดสติอีกครั้ง เขาอยากตัดมือตัวเองทิ้งยิ่งนัก!
คราวนี้เขาคงได้จบชีวิตจริงๆ แน่ แม้แต่สวรรค์ก็คงไม่สามารถช่วยชีวิตเขาได้!
อย่างไรจางซินก็เป็นเพียงแค่ขุนนางท้องถิ่นทั่วไป เขารู้สึกสับสนกับเหตุการณ์ในเวลานี้มากทีเดียว ดังนั้นเขาจึงถามด้วยความสงสัยว่า ”นายท่านเฮยหรือ ใครกันล่ะนั่น”
“นายท่านเฮยจากตระกูลเฮยแห่งเมืองซื่อจิ่วเป็นผู้บัญชาการสี่เหล่าทัพ และยังเป็นที่ปรึกษาของฮ่องเต้พระองค์ก่อนอีกด้วย!” เจี่ยงหลิวอวิ๋นพูดเสียงเบา แต่มันก็ดังพอที่จะทำให้บรรดาทหารที่กำลังจะชะตาขาดเหล่านั้นได้ยินอย่างชัดเจน
บึ้ม!
เลือดบนใบหน้าของจางซินพุ่งไปรวมกันที่ศีรษะของเขาในทันใด!
ตระ… ตระกูลเฮยจากเมืองหลวงรึ!
นี่มัน… ถ้านายท่านเฮยรู้เรื่องนี้เข้า ต่อให้เขาจะมีแม่ทัพเลี่ยวคุ้มหัวอยู่ แต่คราวนี้เขาคงไม่รอดแน่!
พวกเจ้าคิดว่านายท่านเฮยเป็นใครหรือ
เขาเป็นถึงแม่ทัพที่เคยทำคุณงามความดีในการต่อสู้เปิดพรมแดนให้กับประเทศชาติมาก่อน เพียงกระทืบเท้าครั้งเดียวก็สามารถทำให้ทหารตัวสั่นได้ทั้งกองทัพ เขาใช้สติปัญญาในการทำให้ประเทศชาติเดินหน้าต่อไป และใช้อำนาจรักษาความสงบสุข แม้แต่ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันก็ยังต้องพึ่งพาเขาด้วยซ้ำ
ขณะที่มองไปทางนายน้อยเฮยอีกครั้ง ต่อให้นายท่านเฮยจะไม่ได้มาปรากฏตัวที่นี่ แต่เพียงแค่ทหารที่อยู่ตรงนี้ยกขาขึ้นมาข้างเดียวก็เพียงพอแล้วที่จะกระทืบพวกเขาจนถึงแก่ความตายได้!
ทันใดนั้นจางซินก็รู้ว่าเขาหมดสิ้นหนทางที่จะรักษาชีวิตตัวเองเอาไว้ได้เสียแล้ว เขาทรุดลงไปนั่งกับพื้น แล้วพึมพำออกมาระหว่างมองหน้าของเฮ่อเหลียนเวยเวย ”ถ้าเขาเป็นคุณชายของตระกูลเฮย เช่นนั้นท่านเป็นใครกัน”
เมื่อครู่นี้เขาเพิ่งได้ยินเจ้าคนแซ่เว่ยเรียกคุณชายเฮยว่าพี่รอง เป็นไปได้หรือไม่ว่าเขาก็เป็นคนจากตระกูลเฮยด้วยเหมือนกัน
“ข้าหรือ” เฮ่อเหลียนเวยเวยกระตุกยิ้ม นางตอบชัดถ้อยชัดคำราวกับต้องการให้คำตอบนั้นฝังเข้าไปในหัวเขาว่า ”ข้าคือผู้สืบทอดลำดับที่แปดสิบเก้าของตระกูลเฮ่อเหลียน เฮ่อเหลียนเวยเวย”
“เฮ่อ เฮ่อ เฮ่อเหลียน เวยเวย?!” จางซินรู้สึกเหมือนเขาหายใจไม่ออก คนคนนั้นไม่ใช่พระชายาคนปัจจุบันขององค์ชายสามหรอกหรือ
เรื่องกลับกลายเป็นเช่นนี้ไปได้อย่างไร!?
ทั้งเขาและแม่ทัพเลี่ยวคิดมาตลอดว่าเจ้าคนแซ่เว่ยเป็นแค่บัณฑิตฐานะยากจนจากชนบทอันห่างไกล
แต่ตอนนี้คนคนนี้กลับกำลังบอกเขาว่านางเป็นพระชายาสาม!
นอกจากความเจ็บบนใบหน้าแล้ว จางซินยังรู้สึกได้ถึงความหวาดกลัวอย่างที่เขาไม่เคยรู้สึกมาก่อน!
หากนางเป็นพระชายาสาม เช่นนั้นที่ปรึกษาหลงที่อยู่ข้างกายนาง…
เมื่อคิดได้ถึงตรงนี้ วิสัยทัศน์ของจางซินก็ดับวูบไป แต่ก่อนที่เขาจะหมดสตินั้น เขาก็ตระหนักได้อย่างชัดเจนแล้วว่าครั้งนี้พวกเขาคงไม่มีทางรอดอย่างแน่นอน
ถ้าพวกเขาไม่ได้โยนที่ปรึกษาหลงเข้าห้องขัง พวกเขาอาจจะยังพอมีความหวังอันริบหรี่อยู่บ้าง
แต่พวกเขากลับเลือกหนทางที่เลวร้ายที่สุดลงไปเสียแล้ว!
ในเวลาเดียวกันนั้น ที่ห้องขังแห่งหนึ่ง
เลี่ยวฉิงเทียนยังคงจ้องมองไป๋หลี่เจียเจวี๋ยด้วยสายตาเย็นชา ”เจ้าไม่อยากดื่มเหล้าอวยพร แต่กลับอยากดื่มเหล้าลงทัณฑ์รึ! จับเขาล่ามโซ่ซะ! เลยเที่ยงไปเมื่อใด ค่อยพาตัวเขาไปที่ศาลพร้อมกับคำสารภาพที่ปลอมเอาไว้ จากนั้นข้าคนนี้จะถลกหนังเจ้าคนแซ่เว่ยนั่นต่อหน้าอดีตฮ่องเต้อย่างไร้ความปรานีเอง!”
“ขอรับท่านแม่ทัพ” ผู้คุมนายหนึ่งพยักหน้ารับคำสั่ง และคำนับเขาอย่างเคารพพร้อมกับเดินตามหลังเลี่ยวฉิงเทียนออกไป ”แม่ทัพเลี่ยว ข้าคิดว่าเขาสมควรถูกโบยเสียให้เข็ดขอรับ หากเราโบยเขาสักหนึ่งวัน เขาย่อมทนไม่ไหวและยอมเชื่อฟังคำสั่งของท่านแม่ทัพเลี่ยวอย่างแน่นอน”
เลี่ยวฉิงเทียนตะคอกอย่างเย็นชา ”เจ้าคิดว่าข้าไม่เคยคิดวิธีนั้นมาก่อนหรือ แต่เพราะตอนนี้มีอดีตฮ่องเต้อยู่ที่นี่ด้วยต่างหาก สายตาของเขายังเฉียบแหลมเหมือนเคย หากเขาเห็นว่าผู้ต้องหาได้รับบาดเจ็บ เขาจะต้องสามารถเชื่อมโยงได้อย่างแน่นอนว่านี่เป็นการบังคับให้สารภาพ และข้าคงลำบากหากเป็นเช่นนั้น ดังนั้นเราปล่อยให้มันเป็นไปตามปกติเช่นนี้คงจะดีกว่า จากนั้นตราบใดที่เจ้าให้การยืนยันอย่างหนักแน่นว่าเขาเป็นคนลงชื่อในคำสารภาพนี้ด้วยตัวเอง เจ้าหมอนี่กับเจ้าคนแซ่เว่ยจะต้องจบสิ้นแน่!”
“แม่ทัพเลี่ยวช่างมีวิสัยทัศน์กว้างไกลยิ่งนัก!” ผู้คุมนายนั้นพูดจาประจบเอาใจเลี่ยวฉิงเทียน
เลี่ยวฉิงเทียนเป็นคนหยิ่งผยองมาแต่ไหนแต่ไร ดังนั้นเขาจึงไม่ได้พูดอะไรต่อ ตอนนี้เมื่อการเตรียมการใกล้เสร็จสิ้นแล้ว เขาก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาก
แม้ว่าจางซินจะยังไม่กลับมาหาเขาก็ตาม
แต่จากประสบการณ์ที่ผ่านมาของเขา การไม่มีข่าวย่อมเป็นข่าวที่ดีที่สุด เพราะทุกครั้งที่ทำภารกิจเสร็จ จางซินจะพาหัวหน้าหวังมาร่วมฉลองชัยชนะกับพวกเขาเสมอ
ใกล้ได้เวลาแล้ว อีกสักพักเขาจะส่งทหารสักสองสามนายจากศาลาว่าการไปที่นั่น และปัญหานี้ก็จะจบลง
สำหรับหญิงชราในวัยหกสิบกว่าอย่างนางนั้น การลื่นล้มจนถึงแก่ความตายถือเป็นเรื่องธรรมดา ดังนั้นย่อมไม่มีใครรู้สึกผิดสังเกตแน่…
ต้องบอกว่าเลี่ยวฉิงเทียนคิดในแง่ดีเกินไปว่าทุกอย่างจะเป็นไปอย่างราบรื่น เขาคิดว่าถ้าไม่มีทหารของศาลาว่าการจากตัวเมืองละก็ เฮ่อเหลียนเวยเวยจะไม่มีทหารให้ใช้ แต่ตรงกันข้ามเลยต่างหาก ในเวลานี้เฮ่อเหลียนเวยเวยกำลังรอที่จะปิดฉากเท่านั้น
“หึ เจ้าคนชื่อใต้เท้าจางคนนี้พอได้เป็นลมไปแล้ว ก็คงไม่คิดจะฟื้นขึ้นมาอีกเลยกระมัง” เฮยเจ๋อหัวเราะอย่างชั่วร้าย
เฮ่อเหลียนเวยเวยเลิกคิ้ว ”เขาไม่ตื่นมาก็ดี เราจะได้ไม่ต้องกลัวว่าเขาจะเอาเรื่องนี้กลับไปรายงาน”
เจี่ยงหลิวอวิ๋นยังไม่รู้รายละเอียดของสถานการณ์ในเวลานี้ ดังนั้นเขาจึงเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วชี้นิ้วไปทางคนนับสิบคนที่ถูกเฮ่อเหลียนเวยเวยและพรรคพวกจัดการ พร้อมกับถามขึ้นว่า ”เช่นนั้นเราจะทำอย่างไรกับคนพวกนี้ดีหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“พาพวกเขาทุกคนกลับไปที่ศาล” เฮ่อเหลียนเวยเวยพูดอย่างมีความหมาย ”คนพวกนี้คือหลักฐาน อย่าให้มีใครสักคนหนีไปได้ล่ะ”
“แล้วก็ข้า บาดแผลบนแขนของข้าก็เป็นหลักฐานด้วยเหมือนกัน…” เฮยเจ๋อเลียริมฝีปากแล้วยิ้มออกมา
เจี่ยงหลิวอวิ๋นลูบสันจมูก มีคนลือกันว่าทุกครั้งที่คุณชายรองเฮยแสดงรอยยิ้มเช่นนี้ออกมา มันหมายความว่าใครบางคนกำลังจะเจอปัญหาใหญ่
ทำร้ายใครไม่ทำ ดันมาลอบทำร้ายคนคนนี้เข้า แล้วยังเสียมารยาทต่อพระชายาสามอีก ต้องบอกว่าเจ้าคนที่ชื่อเลี่ยวฉิงเทียนคนนั้น… ช่างไม่รักตัวกลัวตายเอาเสียเลย!