จากนั้นก็เรียกตัวซูชีมา เกรงว่าจะลากเรื่องที่ซูชีเอ่ยถึงทั้งหมดออกมา ดีไม่ดี ก็ไม่แน่ว่าจะทำให้ฮ่องเต้กับเจิ้นหนานอ๋องย้อนเล่นงานได้ ถึงตอนนั้นก็ยากจะจบเรื่องนี้แล้ว สุดท้ายคนที่พอใจก็มีแค่มือสังหารที่แท้จริงผู้นั้น
ชังมู่สูดลมหายใจลึก พลางเอ่ย “กระหม่อมเชื่อว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับเจิ้นหนานอ๋อง แต่มั่วกั๋วกงเล่า? ท่านกล้าพูดหรือไม่ว่า การตายของมั่วกั๋วกงไม่เกี่ยวข้องกับท่าน”
ตอนอยู่ระหว่างทาง มั่วเชียนเสวี่ยได้หารือกับชังมู่เรียบร้อยแล้วว่า หากเห็นท่าไม่ดี ก็ให้เบนเป้าหมายทันที ยกเรื่องนี้ขึ้นมาถามหาความผิด เพื่อลงโทษให้เจิ้นหนานอ๋องรับผิดชอบต่อการตายของมั่วกั๋วกงในสิ่งที่ควรรับผิดชอบ
เจิ้นหนานอ๋องเส้นเลือดปูด เขาไม่ยินยอมให้คนเอ่ยถึงเรื่องนี้มากที่สุด เอ่ยเสียงเน้นถ้อยคำ “เจิ้นกั๋วกงสละชีพเพื่อแว่นแคว้น…”
“สละชีพเพื่อแว่นแคว้น…”
มั่วเชียนเสวี่ยแค่นเสียงเย็น “เจิ้นหนานอ๋อง อย่านึกว่าเรื่องในปีนั้นจะสมบูรณ์ไร้ที่ติ หากไม่ต้องการให้คนรู้ความชั่วร้ายที่ท่านได้กระทำไว้ ก็อย่าได้ทำ!”
มือนางถือหลักฐานที่หนิงเซ่าชิงสืบมาให้นางแต่ละชิ้นเอาไว้ ที่รอก็คือโอกาสนี้ แม้ว่าจะไม่สามารถตีเจิ้นกั๋วกงให้ตาย แต่ก็ต้องทำให้เขาอับอายขายหน้า
“ปีที่แล้ว หนานหลิงบุกโจมตี เดิมเจิ้นหนานอ๋องก็สามารถต้านทานศัตรูได้ด้วยตนเอง แต่เจิ้นหนานอ๋องกลับไม่ยอมเผชิญหน้ากับหนานหลิง ทว่าถอยร่นไปสามสิบลี้ จากนั้นหนานหลิงก็ประชิดเข้ามาเรื่อยๆ เจิ้นหนานอ๋องไม่เพียงแต่ไม่ต่อต้าน ยังจะปอดแหก ทิ้งเมืองหลบหนี ทำให้เกิดเหตุการณ์ลวงตาว่าไม่สามารถต้านทานศัตรูได้…”
มั่วเชียนเสวี่ยนำหลักฐานออกมาแสดง เอ่ยเรื่องราวตั้งแต่ต้นจนจบโดยไม่ตกหล่นสักคำ
ถึงแม้ว่าฮ่องเต้กับเจิ้นหนานอ๋องจะกำหมัดแน่น ก็หาเหตุผลมาโต้กลับไม่ได้!
“บิดาข้าปกป้อง ขจัดเภทภัยให้แว่นแคว้น ช่วยเหลือท่านปกป้องเมือง ต้านทานศัตรู ท่านไม่เพียงแต่จะไม่ร่วมแรงร่วมใจต่อต้านศัตรู ยังจะแทงข้างหลัง ตัดเสบียงอาหาร…ท่านมีเจตนาอันใดกันแน่…”
แต่ละประโยคของมั่วเชียนเสวี่ยกดดันอย่างยิ่ง แทงใจทุกคำพูด อย่างไม่เห็นเจิ้นหนานอ๋องและฮ่องเต้อยู่ในสายตา
“คนที่ทรยศขายชาติเช่นนี้ เหตุใดฝ่าบาทจึงไม่ลงโทษเขาตามกฎหมายเล่าเพคะ”
ตอนที่เอ่ยคำว่าขายชาติออกมา มั่วเชียนเสวี่ยใช้แววตาคมปลาบมองไปทางฮ่องเต้ ไม่ใช่เจิ้นหนานอ๋อง
ราวกับว่าคนขายชาติที่เอ่ยถึงนั้นไม่ใช่เจิ้นหนานอ๋อง แต่คือคนที่นั่งบัลลังก์เป็นฮ่องเต้
ฮ่องเต้ทรงพิโรธ
ตบโต๊ะทรงพระอักษร ตวาดเสียงดัง “มั่วเชียนเสวี่ย เจ้าบังอาจ! ถึงแม้ว่าเรื่องราวจะเป็นดั่งที่เจ้าเอ่ย แต่สุดท้ายบิดาเจ้า เทียนฟ่างก็สละชีพเพื่อแว่นแคว้น และได้รับชื่อเสียงเกียรติยศที่สมควรจะได้รับแล้ว เจ้าจะเอาอย่างไรกันแน่ หรือว่า เจ้าไม่ต้องการศีรษะบนบ่านั่นแล้ว!”
หากเปลี่ยนเป็นคนอื่น ฮ่องเต้บันดาลโทสะ ทั่วร่างเต็มไปด้วยกลิ่นอายสังหาร ก็เกรงว่าจะไร้เรี่ยวแรง คุกเข่าลง ตัวสั่น ร้องขออภัยโทษไปแล้ว
มั่วเชียนเสวี่ยกลับไม่ถอยแม้แต่ก้าวเดียว ส่งมอบโทสะของฮ่องเต้กลับไป
“หรือฝ่าบาทต้องการให้หม่อมฉันเปิดเผยเรื่องราวนี้ให้รู้กันทั่ว ให้เหล่าขุนนาง ให้ประชาชนได้รู้ว่าฮ่องเต้วางแผนจัดการขุนนางที่หนุนหลังพระองค์อย่างจริงใจเช่นไร ปฏิบัติต่อคนที่จงรักภักดี และให้การสนับสนุนราชวงศ์ด้วยความจริงใจเช่นไรเพคะ”
หากว่าเรื่องนี้เปิดเผยออกไป หัวใจของผู้ที่ภักดีต่อราชวงศ์จะเหน็บหนาว และจะมีสักกี่คนที่มีใจภักดีต่อราชวงศ์
เมื่อมีศัตรูแข็งแกร่งบุกโจมตีอีก จะยังมีสักกี่คนที่พยายามสู้สุดชีวิตเพื่อราชวงศ์ และไปตายเพื่อเทียนฉี…
แผ่นดินเกิดกลียุค แว่นแคว้นไม่ใช่แว่นแคว้นอีกต่อไป!
ชังมู่นึกถึงเรื่องต่างๆ ในอดีตของมั่วกั๋วกง นัยน์ตาก็มีน้ำตาเอ่อคลอ และรู้สึกได้รับการปลอบใจ ท่านกั๋วกงมีบุตรีเช่นนี้ ย่อมพักผ่อนได้อย่างสงบแน่นอน
เจิ้นหนานอ๋องหรี่ตาเล็กน้อย แต่กลับไม่เอ่ยอันใด
เขาหาวาจาจะกล่าวไม่พบ ความจริงของเรื่องราวก็เป็นเช่นนี้ หรือจะกล่าวว่า เขาไม่โต้เถียงอะไรเพราะไม่คุ้มค่าที่จะทำ
คนชั่วร้ายที่เสนอความคิดเห็นผู้นั้น ถูกเขาสังหารไปนานแล้ว และเขาก็ไม่ได้รู้สึกเสียใจในภายหลัง มั่วเทียนฟ่างสมควรตาย
เขาที่เป็นคนที่เกิดในตระกูลขุนนางไม่เข้าขั้นคนหนึ่ง มีสิทธิ์อะไรที่จะได้รับกำลังใจทหาร ได้รับการสนับสนุนในกองทัพ มีสิทธิ์อะไรมามีฐานะเท่าเทียมเขาในกองทัพ
คิดถึงส่วนได้ส่วนเสียอย่างชัดเจนแล้ว ฮ่องเต้ก็หน้าชา น้ำเสียงก็สงบลงเช่นกัน
“เจิ้นหนานอ๋องมีความผิดในเรื่องนี้จริง แต่ว่า…”
“แต่ว่าเป็นเพราะความผิดชั่ววูบของเขา จึงทำให้คนที่จงรักภักดีตายอย่างไม่เป็นธรรม ให้กองทัพนับแสนถูกฝังไปพร้อมกัน…โอรสสวรรค์ทำผิด รับโทษเท่าสามัญชน นับประสาอะไรกับหวังโหว ฝ่าบาทโปรดมีพระบัญชาให้ถอดถอนบรรดาศักดิ์ของเจิ้นหนานอ๋อง…”
มั่วเชียนเสวี่ยเอ่ยอย่างฮึกเหิม และเดือดดาล
แต่ทว่า เสียงตวาดดังลั่นขัดวาจาของมั่วเชียนเสวี่ย
“บังอาจ!” เจิ้นหนานอ๋องไม่สะทกสะท้านเช่นไร ก็ไม่สามารถอดทนให้สตรีนางหนึ่งขอร้องฮ่องเต้ให้จัดการเขาได้
ฮ่องเต้หันพระหัตถ์ยับยั้งวาจาของเจิ้นหนานอ๋อง
ดังนั้นในเรื่องนี้ ราชวงศ์เสียเปรียบจริงๆ
แม้ว่าฮ่องเต้จะโลภ คิดอยากได้ประโยชน์ต่างๆ อยากให้ราชวงศ์ยิ่งใหญ่เพียงผู้เดียว แต่กลับไม่ใช่คนที่ปกป้องพี่น้อง โดยไม่สนใจประโยชน์ส่วนรวม
จดจำบทเรียนที่เจ็บปวดในอดีตและตื่นตัวระวังตนในอนาคต หากวันนี้เขาไม่มีคำอธิบายให้มั่วเชียนเสวี่ย เรื่องนี้ไม่มีวันจบแน่นอน
“เจิ้นหนานอ๋องรับราชโองการ”
ฮ่องเต้ถ่ายทอดราชโองการ เจิ้นหนานอ๋องทำได้เพียงแค่คุกเข่าลง แล้วปิดปากฟังราชโองการ “นับตั้งแต่วันนี้ เจิ้นหนานอ๋องตั้งมั่นรักษาการณ์หนานเฉียง ไม่มีการเรียกตัวเข้าเฝ้าก็ไม่อาจออกจากหนานเฉียงได้ และไม่อาจเข้าเมืองหลวงได้ตลอดชีวิต!”
นี่เป็นการยอมถอยให้มากที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้แล้ว
ให้เขาสังหารเจิ้นหนานอ๋อง หรือลดขั้นเจิ้นหนานอ๋องล้วนเป็นไปไม่ได้
พระราชโองการนี้ แม้ว่าจะดูเหมือนไม่ได้ลงโทษเป็นรูปธรรม แต่ขอเพียงแค่อ๋องหรือโหวที่ถูกฮ่องเต้สั่งให้ไม่สามารถออกจากสถานที่ที่รักษาการณ์อยู่ไปตลอดชีวิต มีชีวิตอยู่ก็ไม่สามารถเข้าหอบรรพชนได้ ตายไปก็ไม่สามารถเข้าศาลเจ้าบรรพชนได้ สำหรับคนโบราณนั้นเป็นความเศร้าโศกร้ายแรงที่สุด และเป็นการเหยียดหยามประเภทหนึ่ง
มั่วเชียนเสวี่ยไม่ได้ต้องการชีวิตของเจิ้นหนานอ๋อง แม้ว่านางจะเกลียดเจิ้นหนานอ๋องเช่นกัน
แต่ว่าคนที่เกิดในยุคปัจจุบัน ไม่สามารถมองเห็นชีวิตคนเป็นใบไม้ใบหญ้าที่เอ่ยว่าจะฆ่าก็ฆ่าได้
อีกทั้ง ชาวหนานหลิงก็จับจ้องตาเป็นมัน นางไม่สามารถใช้ความแค้นส่วนตัว ทำให้หลูเจิ้งหยางสมปรารถนา ให้หนานหลิงสมปรารถนา ให้ชายแดนของหนานเฉียงวุ่นวายโกลาหล ให้ประชาชนเทียนฉีตกอยู่ในหายนะ
นางไม่สามารถทำให้มั่วเทียนฟ่าง ผู้เป็นบิดาที่ไม่เคยพบหน้ากันมาก่อน และเคารพเลื่อมใสมาเนิ่นนานผู้นี้ที่ใช้ความตายมาปกป้องความสงบ ต้องถูกทำลายลงเพราะประโยคเดียวของนาง
นั่นไม่ใช่สิ่งที่มั่วเทียนฟ่างต้องการ!
มั่วเทียนฟ่าง ยามมีชีวิตเป็นอัจฉริยะบุคคล ยามล่วงลับก็เป็นผีที่ห้าวหาญ
เขามีชีวิตก็เป็นวีรบุรุษผู้กล้า ตายไปก็น่าเกรงขามมิอาจล่วงเกินได้ ตนเองไม่สามารถทำให้ดวงวิญญาณของวีรบุรุษต้องแปดเปื้อน เพียงเพราะบุญคุณความแค้นเล็กๆ น้อยๆ ของตนเอง
อีกอย่าง ให้เจิ้นหนานอ๋องมีชีวิตอยู่ ไม่เพียงแต่ต้องถูกเหยียดหยาม และได้รับความยากลำบาก ยังต้องปกป้องปวงประชาเพื่อเทียนฉี แบบนั้นสะใจกว่าให้เขาตายเสียอีก
“ฝ่าบาท!” เจิ้นหนานอ๋องคุกเข่าอยู่ที่พื้น ขอร้องให้ฮ่องเต้ถอนคำสั่งกลับเมืองกลับไป
ฮ่องเต้กลับหันหลังไป
“ไปจากเมืองหลวงวันนี้ ไม่อนุญาตให้กลับเมืองหลวงตลอดชีวิต”
แม้ว่าฮ่องเต้จะยอมให้เจิ้นหนานอ๋องที่ควบคุมกำลังทหารเอาไว้มีชีวิตอยู่ ให้เจิ้นหนานอ๋องยอมขายชีวิตให้เขาอย่างเชื่อฟัง เพราะตนเองกำจุดอ่อนเขาเอาไว้ ทำให้เขาจำเป็นต้องยอมจำนน
เจิ้นหนานอ๋องหน้าซีดเผือด
เขาไม่ได้เฝ้าปรารถนาถึงตำแหน่งนั้นนานแล้ว เขาเข้าใจและไม่ได้เกลียดฝ่าบาท เขาเข้าใจความลำบากของพระองค์
พระขนองที่โดดเดี่ยว พระเศียรที่แหงนขึ้นเล็กน้อย พระหัตถ์ที่สั่นเบาๆ นั้นอธิบายได้ว่า ในใจเขาขมขื่น และทุกข์ใจยิ่งกว่า
ฮ่องเต้พระองค์หนึ่ง ถูกสตรีเยาว์วัยที่ทำอันใดไม่เป็นบีบบังคับจนถึงขั้นนี้ กฎหมายอยู่ที่ใด ความน่าเกรงขามของราชวงศ์อยู่ที่ใด?!
ราชวงศ์กูซื่อดำเนินมาสามร้อยกว่าปี ฮ่องเต้ทุกสมัยล้วนสุขุมรอบคอบ มีความระมัดระวัง แต่ก็ยังคงเดินมาจนถึงวันนี้ได้ ผู้มากความสามารถในราชวงศ์โรยรา อำนาจทางการทหารควบคุมไม่ได้มากขึ้นเรื่อยๆ จะโทษใครได้
เจิ้นหนานอ๋องค่อยๆ ลุกขึ้น จ้องมั่วเชียนเสวี่ยเขม็งแวบหนึ่ง กวาดนัยน์ตามองผ่านใบหน้าของชังมู่อีกครั้ง แล้วหมุนกายจากไป