เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้ว่าเลี่ยวฉิงเทียนคงไม่ส่งมือสังหารมาที่ตรอกนี้โดยไม่มีเหตุผล
จะต้องมีบางสิ่งบางอย่าง หรือคนบางคนที่เขาต้องการกำจัดทิ้งให้เร็วที่สุด
หลังจากจัดการคนกลุ่มนั้นเสร็จ นางก็หันกลับไปถามเฮยเจ๋อว่า ”พี่รอง เมื่อครู่นี้เป้าหมายของพวกเขาคืออะไรหรือ”
”ข้าคิดว่า… น่าจะเป็นเพราะหญิงชราคนนั้น” เฮยเจ๋อเงียบไปครู่หนึ่งพลางชี้ไปทางหญิงตาบอดนางหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยต่อ ”พวกเขาต้องการจะฆ่านาง”
สายตาของเฮ่อเหลียนเวยเวยมองตามนิ้วของเขาไปจนเจอเข้ากับหญิงชราที่นั่งอยู่ใต้ซุ้มประตู ผมหงอกขาวของนางกระเซอะกระเซิง ส่วนสีหน้าก็ดูทุกข์ระทมขมขื่น ภาพนั้นทำให้คนที่เห็นแทบทนมองไม่ไหว
”เป็นเจ้าคนตระกูลเลี่ยวอีกแล้ว! เป็นเขาอีกแล้ว! ข้าแต่เจ้าแม่กวนอิมผู้ทรงโปรดผู้ตกทุกข์ได้ยาก หากท่านมีจริง ได้โปรดช่วยหญิงชราเช่นข้าด้วยเถิด ได้โปรดทำให้เลี่ยวฉิงเทียนต้องทนทุกข์ทรมานจากบทลงโทษที่เขาสมควรได้รับทีเถิด ต่อให้ต้องแลกด้วยอะไรข้าก็พร้อมยอมแลกทุกอย่าง!”
เมื่อได้ยินเสียงคร่ำครวญของหญิงชรา เฮ่อเหลียนเวยเวยก็ก้าวเท้าเดินเข้าไปหานาง นางวางปืนที่ถืออยู่ในมือลง แล้วย่อตัวลงข้างๆ เท้าของหญิงชรา ”ท่านยาย ท่านสมัครใจจะไปที่ศาลาว่าการพร้อมกับพวกข้าหรือไม่”
”ไปศาลาว่าการหรือ” สำหรับแม่เฒ่าหวังแล้ว คำพูดสองคำนั้นให้ความรู้สึกไม่ต่างจากหายนะ นางคู้ตัวเข้าหากันแล้วหัวเราะออกมาอย่างขมขื่น ”ไปที่พรรค์นั้นแล้วจะได้อะไรขึ้นมา ที่แห่งนั้นมีแต่จะทำให้เราเห็นว่าอย่างไรเสียคนร่ำรวยก็มีอำนาจเหนือความยุติธรรม”
หลังจากเฮ่อเหลียนเวยเวยได้ยินคำพูดของแม่เฒ่าหวัง นางก็หยุดคิดอยู่ครู่หนึ่ง ”ท่านยาย ข้าเป็นจือฝู่ที่เพิ่งถูกแต่งตั้งมาใหม่ และตอนนี้ข้ากำลังจัดการคดีเกี่ยวกับภัตตาคารไห่ปินอยู่ ข้ารู้ว่าเลี่ยวฉิงเทียนคือคนที่ควรเป็นผู้รับผิดชอบต่อปัญหาทั้งหมดที่เกิดขึ้น ดังนั้นถ้าท่านต้องการนำเรื่องนี้ไปร้องเรียนที่ศาลาว่าการละก็ ตามข้ามาที่ศาลาว่าการสิ ท่านไม่ต้องห่วง ข้าจะนำความยุติธรรมมาให้ท่านเอง”
”ภัตตาคารไห่ปินรึ! เจ้าสามารถยื่นมือเข้าไปจัดการกับภัตตาคารไห่ปินได้จริงหรือ?!” แม่เฒ่าหวังคว้ามือของนางไว้อย่างรวดเร็วราวกับต้องการให้เฮ่อเหลียนเวยเวยมอบคำยืนยันให้กับนาง!
เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่ลังเล นางจับมือของอีกฝ่ายไว้ และกล่าวว่า ”ข้าให้สัญญากับท่านได้”
”เช่นนั้นก็ดี” น้ำเสียงของแม่เฒ่าหวังลุ่มลึก ยากจะบอกได้ว่านางเคยผ่านเรื่องอะไรมาในอดีตจากคำตอบนั้น ”ข้าจะไปกับเจ้าเดี๋ยวนี้”
เฮยเจ๋อที่ยืนอยู่ข้างๆ หัวเราะออกมา ”ท่านยาย ท่านเชื่อนางอย่างสุดหัวใจเช่นนี้แล้วไม่กลัวหรือว่านางจะเอาท่านไปขาย”
แม่เฒ่าหวังส่ายหน้า น้ำเสียงของนางแฝงไปด้วยความขบขัน ”พ่อหนุ่ม ตาของข้าอาจจะบอด แต่หัวใจของข้าไม่ได้มืดบอดไปด้วย ทั้งความวุ่นวายที่พวกเจ้าก่อขึ้นเมื่อครู่ และทั้งการที่เจ้ายอมอดทนมาจนถึงเวลานี้ ทั้งหมดล้วนแต่ทำเพื่อปกป้องหญิงชราเช่นข้าทั้งสิ้น ในเมื่อเจ้าต้องการตรวจสอบเรื่องของภัตตาคารไห่ปิน เช่นนั้นไม่ว่าผลที่ออกมาจะเป็นเช่นไร แต่เพื่อตอบแทนที่เจ้าปกป้องข้าเอาไว้ในวันนี้ ข้าจะขอตามเจ้าเข้าสู่ศึกนี้ด้วยอีกคน!”
เมื่อได้ยินดังนี้ เฮยเจ๋อกับเฮ่อเหลียนเวยเวยก็สบตากัน พวกเขาต่างมองเห็นความเคารพที่มีต่อแม่เฒ่าหวังในดวงตาของอีกคน
ผู้อาวุโสผู้มีจิตวิญญาณแห่งความซื่อสัตย์ยุติธรรมเช่นนี้ย่อมควรค่าที่จะได้รับความเคารพ…
ปัง!
หลังเสียงกลองชุดใหญ่สิ้นสุดลง ประตูศาลาว่าการก็พลันเปิดออก
ทหารประจำศาลาว่าการถือไม้เอาไว้ในมือ และยืนเรียงแถวขนาบทั้งสองฝั่งเอาไว้พร้อมกับตะโกนขึ้นมาว่า ”เวย……หวู่[1]!”
คดีนี้แตกต่างไปจากทุกคดีที่เคยเกิดขึ้นในอดีต
ไม่ใช่เพราะอะไร แต่เป็นเพราะว่าผู้ที่เข้ารับฟังการตัดสินในครั้งนี้มีประวัติความเป็นมายิ่งใหญ่เกินไปนั่นเอง!
ในตอนแรกนั้นขุนนางส่วนใหญ่ไม่รู้ว่าอดีตฮ่องเต้จะมาด้วย พวกเขารู้เพียงแค่ว่าจะมีผู้อาวุโสเฮ่อเหลียนมาร่วมรับฟังการตัดสินด้วยเท่านั้น
ตอนนี้เมื่อพวกเขาเห็นอดีตฮ่องเต้ที่นั่งนิ่งไม่ขยับตัวอยู่บนเก้าอี้ด้วยท่าทางราวกับเทพเจ้านั้น แข้งขาของพวกเขาก็แทบหมดแรง พวกเขาตั้งใจจะเข้าไปหาอีกฝ่าย แต่พวกเขาก็ต้องยืนแข็งค้างอยู่กับที่เพียงแค่เห็นสายตาที่อดีตฮ่องเต้ส่งมา
ขันทีซุนเอ่ยขึ้นว่า ”เชิญใต้เท้าทั้งหลายนั่งประจำที่เถิดขอรับ ใกล้ได้เวลาแล้ว การตัดสินคดีในครั้งนี้สำคัญเป็นอย่างยิ่ง อีกทั้งวันนี้อดีตฮ่องเต้ก็ไม่ได้นำกฎระเบียบอันใดติดตัวมามากนักขอรับ”
ความหมายนี้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจน เขากำลังบอกให้พวกเขาข้ามขั้นตอนต่างๆ ไปเสีย
ผู้อาวุโสเฮ่อเหลียนหัวเราะเสียงเบา แล้วเอ่ยขึ้นเพื่อคลายสถานการณ์ว่า ”ในเมื่อขันทีซุนกล่าวอย่างนั้น เช่นนั้นพวกเราก็ไปนั่งกันเถอะ”
”ใช่ๆ ไปนั่งกันเถอะ!” ขุนนางคนอื่นๆ ไม่กล้าส่งเสียงคัดค้าน ดังนั้นพวกเขาจึงรีบนั่งประจำที่ของตัวเองอย่างรวดเร็ว แม้ว่าพวกเขาจะรู้สึกเกร็งไปทั้งร่าง และไม่กล้าแตะต้องน้ำชาที่อยู่ตรงหน้าเลยก็ตาม
หากเทียบกับคนอื่นแล้ว เลี่ยวฉิงเทียนมาถึงช้ากว่าคนพวกนี้ แต่เขาก็ยังไม่ได้มาสายในการไต่สวน
คนที่ยังมาไม่ถึงคือเฮ่อเหลียนเวยเวย นางยังอยู่ระหว่างทาง
เลี่ยวฉิงเทียนมองเห็นโอกาสในครั้งนี้ จากนั้นเขาจึงหันไปมองใต้เท้าซวี่ที่นั่งอยู่ข้างๆ
ชายทั้งสองสบตากัน ใต้เท้าซวี่เข้าใจสัญญาณนั้น เขาจึงเอ่ยขึ้นพร้อมกับส่ายหน้าอย่างผิดหวัง ”ใต้เท้าเว่ยผู้นี้ ต่อให้ปกติจะเป็นคนไม่เอาจริงเอาจังกับงานก็ตาม แต่เขากล้าทำตัวเลินเล่อในวันนี้ได้อย่างไรกัน”
เสียงของเขาไม่ได้ดังมากนัก แต่ก็จงใจให้คนที่อยู่รอบตัวของอดีตฮ่องเต้ได้ยิน
พูดเช่นนั้นก็ถูกต้องแล้ว ผู้อาวุโสเฮ่อเหลียนลูบเคราขาวของตนพลางยกชาร้อนๆ ขึ้นจิบ
อดีตฮ่องเต้ไม่ได้แสดงสีหน้าอะไรออกมา คนอื่นๆ จึงไม่สามารถคาดเดาอารมณ์ของเขาได้
บรรดาผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาคุ้นเคยกับภาพนี้ดี ดังนั้นจึงไม่คาดหวังว่าคำพูดเพียงประโยคเดียวจะสามารถทำให้อดีตฮ่องเต้ลงมือกับเจ้าคนแซ่เว่ยผู้นี้ได้ สิ่งสำคัญในเวลานี้คือให้ได้ยินในสิ่งที่พวกเขาพูดต่างหาก
ทำเช่นนั้น ความประทับใจที่อดีตฮ่องเต้มีต่อเจ้าคนแซ่เว่ยนั่นจะได้อยู่ต่ำกว่ามาตรฐาน และหลังจากนี้มันจะยิ่งทำให้เรื่องต่างๆ ง่ายขึ้น…
เลี่ยวฉิงเทียนวางแผนการเอาไว้ได้ไม่เลวทีเดียว ขันทีซุนเลิกคิ้ว และภาพนั้นยิ่งทำให้เขารู้สึกดีขึ้นไปอีก
ในเวลานี้ ดูเหมือนว่าจุดประสงค์ของพวกเขาจะสำเร็จลุล่วงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
หึ เว่ยเวยเอ๋ยเว่ยเวย เจ้ามันหาเรื่องใส่ตัวเอง!
”เป็นถึงขุนนางในราชสำนักแต่กลับทำตัวเรื่อยเปื่อยถึงเพียงนี้ เจ้าคนแซ่เว่ยผู้นี้คงยังเด็กเกินไปจริงๆ”
เมื่อเจ้าเจ็ดได้ยินคำพูดของเลี่ยวฉิงเทียนจากด้านข้าง เขาก็กำมือเล็กๆ ของตัวเองแน่น หากไม่ใช่เพราะเสด็จปู่บอกว่าถ้าเขาต่อยคนในศาลาว่าการ เขาจะไม่ได้กินซาลาเปาเนื้อละก็ ป่านนี้เขาคงได้ต่อยเจ้าหมอนั่นไปนานแล้ว!
เจ้าคนแซ่เลี่ยวผู้นี้ มันบังอาจกล้ามาตำหนิพี่สะใภ้สามของเขา มันสมควรถูกอัดจริงๆ เชียว!
จะว่าไปแล้ว ทำไมจนป่านนี้แล้วเขายังไม่เห็นพี่สามอีกนะ
ทันทีที่พี่สามมาถึง เขาจะได้อัดทุกคนได้ตามใจ
ก่อนหน้านี้พี่สามเคยสอนเขาเอาไว้ว่า ถ้าเจ้าถูกรังแก เจ้าต้องรังแกพวกเขากลับเป็นการเอาคืน!
อดีตฮ่องเต้รู้ว่าหลานชายคนสุดท้องใกล้จะระเบิดเต็มที ดังนั้นเขาจึงยื่นซาลาเปาเนื้อให้เด็กชาย แล้วลูบศีรษะโล้นๆ นั้น ตอนที่สายตาของเขาเคลื่อนกลับไปหยุดอยู่ที่เลี่ยวฉิงเทียน ในดวงตาของเขาก็พลันปรากฏความเย็นชาขึ้นมา
เลี่ยวฉิงเทียนยังไม่รู้ว่านี่เป็นอีกครั้งที่เขาได้เสียมารยาทต่ออดีตฮ่องเต้ไปโดยไม่รู้ตัว เขาถือถ้วยชาเอาไว้ในมือ แล้วหัวเราะออกมา ”ถ้าใต้เท้าเว่ยยังไม่มาปรากฏตัวอีกละก็…”
”คิดไม่ถึงเลยว่าแม่ทัพเลี่ยวจะคิดถึงข้ามากถึงเพียงนี้” น้ำเสียงราบเรียบดังขึ้นมาจากด้านหลังของผู้คนที่ออกันอยู่หน้าประตูศาลาว่าการ
ประชาชนหลีกทางให้เฮ่อเหลียนเวยเวยเดินเข้ามาโดยอัตโนมัติ รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ปรากฏขึ้นบนริมฝีปากของนาง เสื้อคลุมตัวยาวของนางสะบัดขึ้นลง ภาพนั้นยังดูเรียบง่ายเหมือนอย่างเคย แต่เวลานี้สิ่งที่แตกต่างไปจากปกติมีเพียงอย่างเดียวนั่นก็คือนางปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับสวมหน้ากากปิดบังใบหน้าของตัวเองเอาไว้ครึ่งหนึ่ง
ผู้อาวุโสเฮ่อเหลียนขมวดคิ้วหนาเข้าหากัน เขาคิดไปเองหรือเปล่า
ทำไมเขาถึงได้รู้สึกว่าใต้เท้าเว่ยที่อยู่ตรงหน้าเขาดูคุ้นตาอยู่เล็กน้อย
”ในเมื่อใต้เท้าเว่ยมาถึงแล้ว เช่นนั้นก็รีบเริ่มการไต่สวนกันดีกว่า พวกเราเสียเวลารอท่านอยู่นานทีเดียว” เลี่ยวฉิงเทียนจงใจพูดเหมือนเป็นเรื่องใหญ่เพื่อทำให้เฮ่อเหลียนเวยเวยโมโห เขาคิดว่าในเมื่อเจ้าคนแซ่เว่ยคนนี้มาจากชนบทอันห่างไกล ดังนั้นเขาคงไม่เคยเห็นอดีตฮ่องเต้มาก่อน หากอารมณ์ของเขาไม่มั่นคง เขาอาจจะเผลอพูดจาโผงผางเสียมารยาทออกมา และเมื่อถึงตอนนั้น อดีตฮ่องเต้จะต้องเกลียดเขาอย่างแน่นอน…
[1] เวยหวู่ หมายถึง อำนาจอันยิ่งใหญ่ เป็นคำที่ใช้ร้องตอนเปิดศาลตามธรรมเนียมปฏิบัติของศาลจีนสมัยโบราณ เพื่อแสดงถึงอำนาจศาล