คำสารภาพผิดที่ผู้ต้องหาเขียนหรือ
เฮ่อเหลียนเวยเวยเลิกคิ้วบางของตัวเองขึ้น
จากนั้นจึงมีคนนำม้วนกระดาษม้วนหนึ่งเข้ามาในศาล
ขุนนางทุกคนได้อ่านมันก่อนที่มันจะไปถึงมือของผู้อาวุโสเฮ่อเหลียน เขาทำหน้าเครียด แล้วมองไปที่เฮ่อเหลียนเวยเวยก่อนจะส่ายหน้าราวกับกำลังบอกว่านางคงได้ถึงคราวจบสิ้นแล้ว
เลี่ยวฉิงเทียนสะบัดแขนเสื้อแล้วเอ่ยขึ้นด้วยเสียงอันดังว่า ”หลักฐานที่ทุกคนได้เห็นเมื่อครู่นี้ถูกเขียนขึ้นด้วยมือของที่ปรึกษาส่วนตัวของใต้เท้าเว่ย เขาชี้แจงทุกสิ่งที่ใต้เท้าเว่ยเคยทำมาตลอดการเป็นขุนนางไว้อย่างชัดเจน ยกตัวอย่างเช่นเรื่องที่เขาเคยขอเงินงบประมาณมาเพื่อขจัดภัยแล้ง แต่มันกลับไม่ได้ถูกนำไปใช้อย่างเหมาะสม”
”นั่นมันหลายล้านตำลึงเชียวนะ! ใต้เท้าเว่ยกล้าดีอย่างไรถึงทำเช่นนั้นได้!”
ขุนนางคนอื่นๆ กระซิบกระซาบกันพร้อมกับชี้นิ้วไปที่เฮ่อเหลียนเวยเวย
เฮยเจ๋อกำมือแน่น ถ้าเฮ่อเหลียนเวยเวยไม่กดมือเขาเอาไว้ เขาคงเข้าไปถีบเจ้าคนแซ่เลี่ยวจอมโสโครกคนนี้ และบอกฐานะที่แท้จริงของนางให้ทุกคนได้รู้ไปแล้ว!
นางที่เป็นถึงหนึ่งในสองของเจ้าของร้านเวยเจ๋อมีหรือจะสนใจเงินไม่กี่ล้านตำลึงนั่น
ฉ้อโกงบ้านพวกเจ้าสิ!
แล้วเจ้าที่ปรึกษาส่วนตัวที่ว่านี่มันใครกัน
เขาไม่รู้ได้อย่างไรว่าเวยเวยมีที่ปรึกษาส่วนตัว
นางไม่ได้ออกจากวังมาพร้อมกับองค์ชายสามผู้ชั่วร้ายนั่นหรอกหรือ
เดี๋ยวก่อนนะ!
เฮยเจ๋อเหลือบมองเฮ่อเหลียนเวยเวยจากด้านข้างอย่างรวดเร็ว…
เป็นไปได้หรือเปล่าว่าที่ปรึกษาส่วนตัวคนที่เขียนคำสารภาพนี้ขึ้นมา และเขียนทุกอย่างเพื่อเป็นหลักฐานแสดงความผิดนี้ก็คือองค์ชายสามเอง?!
เข้าใจล่ะ!
แม้แต่ตระกูลเลี่ยวก็คงได้ถูกขุดรากถอนโคนในไม่ช้า แล้วนับประสาอะไรกับผู้มีอำนาจทั้งหมดที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังเมืองหลวงประจำมณฑลแห่งนี้ด้วยเล่า!
เขาต้องยอมรับว่าเจ้าคนแซ่เลี่ยวจอมโสโครกผู้นี้เล่นสนุกจนเลยเถิดไป มิหนำซ้ำยังเผลอเอาชีวิตตัวเองเข้าไปเสี่ยงกับการเล่นนี้อีกด้วย!
ความโกรธของเฮยเจ๋อหายวับไปทันทีที่เขาคิดได้เช่นนี้ จากนั้นเขาจึงกระตุกริมฝีปากบางขึ้นราวกับไม่สนใจ ดวงตาเรียวยาวของเขาสว่างเป็นประกาย เขาพร้อมที่จะเพลิดเพลินไปกับละครฉากนี้แล้ว
อดีตฮ่องเต้ขมวดคิ้ว และทำท่าจะพูดอะไรออกมา
แต่แล้วเขาก็ได้ยินเฮ่อเหลียนเวยเวยพูดขึ้นเรียบๆ ว่า ”แม่ทัพเลี่ยว ข้ารู้จักที่ปรึกษาส่วนตัวของตัวเองดี เขาไม่มีทางยอมรับสารภาพผิดอย่างแน่นอน อีกทั้งย่อมไม่มีวันยอมลงชื่อกำกับบนกระดาษแผ่นนั้นของท่านแน่”
”สรุปว่าใต้เท้าเว่ยปฏิเสธที่จะยอมรับผิดใช่หรือไม่” เลี่ยวฉิงเทียนเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอวดดี ”ใต้เท้าเว่ย ท่านกล้าปฏิเสธหรือไม่ว่าตอนที่ท่านอยู่ในเมืองฟู่ผิง ท่านไม่ได้จับใครเพียงเพราะท่านมีชนักความผิดติดหลัง หลานชายของข้าเคยเสียมารยาทต่อท่านหรือ ทำไมท่านถึงจับเขาขังเอาไว้หลังลูกกรงนั่นได้ลงคอ!”
อันที่จริงคำพูดนี้ของเลี่ยวฉิงเทียนนั้นเขาต้องการพูดเพื่อให้ผู้อาวุโสเฮ่อเหลียนได้ยิน เพราะผู้อาวุโสเฮ่อเหลียนรักใคร่เอ็นดูหลานชายของเขามาโดยตลอด ทันทีที่ได้ยินดังนั้น ดวงตาอันเฉลียวฉลาดของผู้อาวุโสเฮ่อเหลียนก็พลันหรี่ลง ”ดูเหมือนว่าการกระทำของท่านจะคู่ควรให้พวกเราได้หารือกันต่อจริงๆ ใต้เท้าเว่ย”
เมื่อได้ยินคำพูดประโยคนั้น ดวงตาของเจ้าเจ็ดก็แทบจะลุกเป็นไฟ แม้ใบหน้าของเขาจะเต็มไปด้วยความดุร้าย แต่เขาก็ยังยืนอยู่ที่เดิมอย่างใจเย็น
เขาเชื่อว่าพี่สะใภ้สามของเขาย่อมไม่อยู่เฉยให้คนอื่นทำเหมือนนางเป็นพรมเช็ดเท้าอย่างแน่นอน!
แต่ทำไมเขายังไม่เห็นพี่สามโผล่มาอีกล่ะ
อดีตฮ่องเต้เองก็คิดเช่นนั้นอยู่เหมือนกัน เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมานั้นหลานชายคนที่สามผู้แสนจะเลือดเย็นของเขาไม่เคยปล่อยให้ใครมาทำเช่นนี้กับเฮ่อเหลียนเวยเวยมาก่อน
เขาไปอยู่ที่ไหนกัน
เลี่ยวฉิงเทียนไม่รู้ถึงความคิดในใจของอดีตฮ่องเต้ แต่เมื่อเขาเห็นสีหน้าเหมือนกำลังครุ่นคิดของอีกฝ่าย เขาก็คิดว่าคำพูดของตัวเองคงได้ผล ดังนั้นเขาจึงเสริมขึ้นมาว่า ”การใช้อำนาจขุนนางข่มเหงคนอื่น รับสินบน ทั้งยังทำตัวไม่เคารพเกรงกลัวต่อกฎหมายด้วยการใส่ร้ายผู้อื่น แล้วมาตอนนี้ก็กำลังพยายามปิดภัตตาคารเก่าแก่อายุมากกว่าสิบปีในเมืองหลวงประจำมณฑลอีกด้วย ใต้เท้าเว่ย ท่านเคยคิดถึงผลที่จะตามมาจากเรื่องทั้งหมดนี้หรือไม่”
”แม่ทัพเลี่ยว” เฮ่อเหลียนเวยเวยเอ่ยช้าๆ ”ก่อนที่จะชี้นิ้วใส่ข้า ข้าขอแนะนำให้ท่านอ่านเอกสารในศาลให้ดีเสียก่อน เพราะคุณชายเลี่ยวถูกจับข้อหาให้การเท็จในชั้นศาล การจับคนที่มีความผิดเช่นนั้นเป็นเรื่องไม่ถูกต้องหรือ อีกอย่างหนึ่ง ผู้อาวุโสเฮ่อเหลียนอวิ๋น ท่านบอกว่าการกระทำของข้าจำเป็นต้องได้รับการหารือเพิ่มเติมหรือ เช่นนั้นท่านจะประเมินหลานชายของตัวเองว่าอย่างไร การกระทำของคุณชายเลี่ยวนั้นถือเป็นการละเมิดกฎหมายสำคัญของศาลอย่างชัดเจนมิใช่หรือ”
ผู้อาวุโสเฮ่อเหลียนนึกไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะโต้กลับได้เร็วถึงเพียงนี้ ทุกคำที่เขาเอ่ยออกมานั้นล้วนแต่มีความหมายอื่นซ่อนอยู่
แต่เขาเคยผ่านเรื่องเช่นนี้มาก่อน ดังนั้นเขาจึงยังคงนิ่งเฉยอยู่ได้แม้จะได้ฟังคำพูดนั้นของเฮ่อเหลียนเวยเวย หากเทียบกับความคิดของแม่ทัพเลี่ยวแล้ว ความคิดของผู้อาวุโสเฮ่อเหลียนนั้นนับว่าชัดเจนกว่ามาก ”เมื่อครู่นี้แม่ทัพเลี่ยวก็บอกแล้วว่าหลักฐานทั้งหมดในวันนั้นถูกจัดฉากขึ้นด้วยฝีมือของที่ปรึกษาส่วนตัวของท่าน ตอนนี้เขาก็ได้ลงชื่อยอมรับความผิดแล้ว และนั่นย่อมหมายความว่าเลี่ยวฉิงเทียนพูดความจริง ใต้เท้าเว่ย ที่ปรึกษาส่วนตัวที่อยู่ข้างกายท่านเป็นคนที่ยากจะรับมือจริงๆ เพราะเขาสามารถจัดการเรื่องพวกนั้นได้อย่างแนบเนียนทีเดียว แต่ก็เป็นอย่างที่สุภาษิตว่าไว้ว่าคนเราไม่อาจรอดพ้นจากเงื้อมมือของกฎหมายไปได้ สุดท้ายเขาก็ทำผิดพลาด และตอนนี้เขาก็ได้สารภาพความผิดของตัวเองออกมาแล้ว เวลานี้ต่อให้ท่านพูดอะไรไปก็เปล่าประโยชน์”
”ฟังดูแล้วเหมือนผู้อาวุโสเฮ่อเหลียนกำลังบอกว่าที่ปรึกษาส่วนตัวของข้าเป็นผู้กระทำผิดหรือ” เฮ่อเหลียนเวยเวยยกริมฝีปากขึ้น แล้วมองตรงไปที่ผู้อาวุโสเฮ่อเหลียน
ผู้อาวุโสเฮ่อเหลียนแสร้งพูดราวกับว่าตัวเองเป็นคนดีมีศีลธรรม ”เขาเป็นผู้กระทำผิดหรือไม่นั้น ตัวเจ้าเองก็ควรจะรู้เรื่องดีที่สุด ข้ารู้กลอุบายของเจ้าดี พวกเจ้าสองคนร่วมมือกันเพื่อเงิน เจ้าคิดว่าเมืองหลวงประจำมณฑลเป็นสถานที่เช่นใดกัน แม้กระทั่งในเมืองเช่นนี้พวกเจ้าก็ยังกล้าทำตัวไร้ยางอายไม่สนใจทั้งกฎหมายและศีลธรรม พวกเจ้าอยากตายหรือไร”
ทันทีที่พูดจบ ขุนนางคนอื่นๆ ต่างก็รีบส่งเสียงเออออเห็นด้วย
”เพราะมีขุนนางเช่นนี้อยู่ ประชาชนถึงได้เข้าใจพวกเราผิดถึงเพียงนี้!”
”ที่ปรึกษาส่วนตัวคนนั้นก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันเลย!”
”โชคดีที่แม่ทัพเลี่ยวเป็นคนมีความยุติธรรม และเขายืนกรานที่จะปกป้องภัตตาคารไห่ปินของเมืองหลวงประจำมณฑลของพวกเราเอาไว้ ไม่อย่างนั้นมันจะต้องถูกเจ้าคนแซ่เว่ยนี่ทำลายจนไม่เหลือแน่!”
ขุนนางเหล่านั้นไม่พลาดโอกาสที่จะได้แสดงความภักดีออกมา
แต่กระนั้นก็ยังมีขุนนางสองสามคนในกลุ่มนั้นที่ไม่ได้แสดงสีหน้าอันใดออกมา อย่างที่สุภาษิตได้ว่าไว้ว่าคำพูดของคนชั้นต่ำย่อมมีน้ำหนักเพียงน้อยนิด แต่พวกเขาก็ไม่สามารถช่วยเฮ่อเหลียนเวยเวยได้เช่นกัน
หากว่ากันตามตรงแล้ว พวกเขารู้สึกสงสารเฮ่อเหลียนเวยเวย มีบางคนถึงขั้นพยายามจะขอให้ผู้ว่าการเฉินมาที่นี่ด้วยซ้ำ
แต่เมื่อลองคิดดูอีกที ปัญหาก็ลุกลามมาจนถึงขั้นนี้แล้ว
แม้กระทั่งผู้อาวุโสเฮ่อเหลียนก็ยังยื่นมือเข้ามาจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเอง อีกทั้งหลักฐานที่ได้รับมาก็ยากจะปฏิเสธได้ แม้ว่าบรรดาคนในจะรู้อยู่แล้วก็ตามว่าหลักฐานที่ถูกเขียนขึ้นชิ้นนี้ย่อมเป็นของปลอมอย่างแน่นอน
แต่พวกเขาจะทำอะไรได้หรือ
พวกเขาจะอธิบายกับอดีตฮ่องเต้ว่าอย่างไร
ทันทีที่พวกเขาเอาตัวเองเข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ คนที่จะพลอยถูกหางเลขไปด้วยคงเป็นพวกเขานี่เอง แต่กลับกัน ผู้อาวุโสเฮ่อเหลียนย่อมไม่ได้รับผลกระทบใดๆ
นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้เฮ่อเหลียนเวยเวยกลายเป็นเป้าหมายที่ทุกคนผลักไสให้ห่างจากตัว!
ในเวลานี้ แม่เฒ่าหวังที่ซ่อนตัวอยู่ในกลุ่มคนดูกลับเดินออกมาแล้วเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงสูงวัยแต่กลับเต็มไปด้วยความทรงพลังว่า ”ใครบอกว่าใต้เท้าเว่ยทำผิด ข้าอยู่ที่เมืองหลวงประจำมณฑลมาห้าปี! นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าได้เจอขุนนางที่กล้าพอจะพูดแทนข้าได้! เลี่ยวฉิงเทียน เจ้ามันไอ้สารเลว! เจ้ากล้าพูดได้อย่างไรว่าภัตตาคารไห่ปินเป็นความภาคภูมิใจของเมืองหลวงประจำมณฑล! ทำไมเจ้าไม่บอกว่าเจ้าแขวนหัวแพะ แต่ขายเนื้อสุนัข[1]หรือ ไม่ใช่เพียงแค่ราคาสูงเกินไปเท่านั้น แต่อาหารที่เจ้านำมาให้ลูกค้าก็ยังทำมาจากสัตว์ทะเลที่ตายแล้วไม่ก็เน่าค้างคืน หลานชายของข้าสิ้นใจตายในเมืองหลวงประจำมณฑลหลังจากได้กินกุ้งจากภัตตาคารของเจ้า! คำอธิบายที่เจ้าให้กับพวกเราก็ฟังไม่ขึ้น ไม่ใช่แค่นั้น เจ้ากลับกระทำชำเราลูกสะใภ้ข้าและฆ่าลูกชายของข้าเพราะเรื่องนั้นด้วย ตอนนี้ข้าเป็นเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่ในบ้านหลังนั้น แต่เจ้ากลับยังวางยาพิษจนข้าตาบอดเพื่อให้มั่นใจว่าข้าจะไม่สามารถออกจากเมืองหลวงประจำมณฑลและร้องเรียนเจ้าได้! เลี่ยวฉิงเทียน สวรรค์เฝ้าดูทุกอย่างที่เจ้าทำอยู่ เจ้าคิดว่าปิดบังทุกอย่างเอาไว้แล้วเจ้าจะสามารถอยู่ได้อย่างปลอดภัยหรือ ข้าต้องการให้เจ้าเอาชีวิตของเจ้ามาชดใช้ให้กับชีวิตของคนทั้งตระกูลข้าเดี๋ยวนี้!”
[1] แขวนหัวแพะ ขายเนื้อสุนัข หมายถึง สิ่งของที่ไม่ดีแต่ไปหลอกลวงให้ผู้อื่นเชื่อว่าดี หรือเรียกว่า ย้อมแมวขาย