บทที่ 521 เรื่องราวทั้งมวลจบลงแล้ว เรากลับบ้านกันเถิด!
สสารพิศวงถูกทำลายจนสิ้น ขนแดงสลาย เรือนร่างดั่งยักษ์ของพี่ชายเสี่ยวหยาในตอนแรกก็กลับคืนสู่สภาพมนุษย์ปกติ เผยให้เห็นดวงหน้าหล่อเหลาสะอาดสะอ้าน
เขามีรูปโฉมเหมือนบัณฑิต เปี่ยมไปด้วยความสง่า ได้ยินจากเสี่ยวหยาว่าพี่ชายของนางชอบเรียนหนังสือเป็นที่สุด
อนิจจา หลังท่านพ่อท่านแม่ของพวกเขาตายไป เพื่อดูแลเสี่ยวหยา พี่ชายของนางละทิ้งการเรียน ทำงานรับจ้างเพื่อเลี้ยงดูเสี่ยวหยา
ทว่ายามว่าง พี่ชายของนางมักแอบวิ่งไปฟังอาจารย์สอนหนังสือที่นอกห้องเรียนอยู่บ่อย ๆ
“ข้า…”
พี่ชายเสี่ยวหยามองการเปลี่ยนแปลงที่เกิดกับร่างกายตนเอง สายตาเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ
เขากลับคืนสภาพแล้วจริง ๆ หรือ
ไม่ถูกความพิศวงราวีอีกแล้วหรือ
ฝานหย่าเจ๋อ คือชื่อของพี่ชายเสี่ยวหยา
“เจ้าฟื้นตัวให้ได้ก่อน เรื่องอื่นอีกเดี๋ยวค่อยว่ากัน”
หลิงอินบอกกับพี่ชายของเสี่ยวหยา
นางหยิบองุ่นออกมาพวงหนึ่ง ยื่นให้พี่ชายเสี่ยวหยา ให้พี่ชายเสี่ยวหยากินองุ่นพวงนี้
นี่คือองุ่นที่ปลูกในลานของคุณชาย แม้ว่าความพิศวงในร่างกายพี่ชายของเสี่ยวหยาถูกขจัดไปแล้ว กระนั้นร่างกายยังอ่อนแออยู่มาก ลมปราณมิสู้จะมั่นคงเท่าใด หลิงอินกลัวจะเกิดเรื่องกับพี่ชายเสี่ยวหยา จึงช่วยให้พี่ชายเสี่ยวหยาฟื้นตัวก่อนแล้วค่อยว่ากัน
ฝานหย่าเจ๋อหันมองเสี่ยวหยา เสี่ยวหยาพยักหน้าให้พี่ชายของนาง “ท่านพี่กินเถิด หลังกินเข้าไปท่านพี่จะฟื้นคืนกำลัง ถึงเวลานั้น น้องจะเล่าทุกอย่างให้ท่านพี่ฟัง”
“ได้”
แม้นฝานหย่าเจ๋อยังเชื่อไม่ลงว่านี่คือเรื่องจริง แต่ต่อให้นี่คือความฝัน เขาก็ยินดีฟังคำบอกเล่าของเสี่ยวหยา เขาเด็ดองุ่นลูกหนึ่งขึ้นมากิน
หลังองุ่นลูกนั้นเข้าปาก เขาสัมผัสได้ถึงขุมปราณชีวิตอันกว้างใหญ่ไพศาลปะทุออกจากองุ่นได้ในชั่วพริบตา ก่อนจะหลั่งไหลเข้าไปในกายของเขา
สีหน้าของเขาแดงระเรื่อขึ้นมาในบัดดล ลมปราณมั่นคงขึ้น ไม่เหลือเค้าอ่อนแรงอีก
“มารับพวกเราเลย”
อีกด้าน หลิงอินเรียกหอยสังข์ออกมาอันหนึ่ง ติดต่อหัวหน้าเผ่านารีจิ้งจอกสวรรค์ ให้หัวหน้าเผ่าขับเคลื่อนเรือล่องนภามารับพวกนาง
หอยสังข์คือศาสตราสื่อสารที่นางได้จากเศษซากดวงดาว ติดต่อสื่อสารได้ทุกที่ทุกเวลาแม้กระทั่งในจักรวาลอันไพศาล
ก่อนไป นางเคยสั่งหัวหน้าเผ่านารีจิ้งจอกสวรรค์ไว้ว่า ไม่ว่าอย่างไรให้คำนึงถึงความปลอดภัยของเผ่าไว้ก่อน หากพบเจอกับความอันตรายที่ไม่อาจต้าน ให้ถอนกำลังทันที ห้ามมิให้ละล้าละลัง
การต่อสู้ด้านนี้น่าประหวั่นพรั่นพรึงถึงเพียงนี้ กระทบออกไปเป็นบริเวณกว้างขวาง คิดแล้วหัวหน้าเผ่าคงขับเคลื่อนเรือล่องนภาหนีไปถึงดวงดาวที่อยู่ห่างออกไปไกลโข จึงบอกให้หัวหน้าเผ่าเข้ามารับพวกนาง
อย่างที่คิด
เสียงหัวหน้าเผ่าดังมาจากอีกด้านของหอยสังข์ ก่อนการต่อสู้ใหญ่ปะทุ หัวหน้าเผ่าก็สัมผัสถึงพลังงานสุดแสนน่ากลัวกำลังคืบคลาน แม้ว่าสรรพคุณที่ไม่เคยถูกค้นพบมาก่อนของเรือล่องนภาถูกเปิดใช้จนครบถ้วน พลังป้องกันน่าทึ่ง หัวหน้าเผ่าก็ยังรู้สึกว่าเรือล่องนภาต้านทานคลื่นพลังน่ากลัวเยี่ยงนี้มิไหว จึงรีบขับเรือล่องนภาหนีออกไป
การตัดสินใจนี้ถูกต้องอย่างยิ่ง เพราะหลังจากนั้น คลื่นพลังที่น่ากลัวยิ่งขึ้นปะทุออกมา ดวงดาวมากมายไม่อาจต้านทานได้เลย ถูกกำจัดด้วยคลื่นพลังสยดสยองนี้ในพริบตา ไม่เหลือแม้กระทั่งเศษซากธุลี
หากเรือล่องนภายังจอดอยู่ที่เดิม ย่อมต้องถูกทำลายในเสี้ยวอึดใจ ไม่มีทางเป็นอื่นได้เลย
“ท่านไม่เป็นไรก็ดีแล้ว! พวกเราจะไปรับท่านเดี๋ยวนี้!”
หัวหน้าเผ่าได้ยินเสียงหลิงอินแล้วตื้นตันปีติเป็นอย่างยิ่ง
พวกนางเป็นห่วงความปลอดภัยของหลิงอินและเสี่ยวหยาอยู่ตลอด บัดนี้ ได้ยินเสียงของหลิงอินว่าไม่เป็นไร พวกนางยินดีปรีดากันหมด หัวหน้าเผ่าขับเรือล่องนภาไปรับหลิงอินและเสี่ยวหยาทันที
องุ่นนั้นมีประสิทธิภาพน่าทึ่ง กินไปเพียงลูกเดียวเท่านั้น ฝานหย่าเจ๋อก็ฟื้นกำลังกลับมาได้เต็มที่
มิหนำซ้ำเขายังแข็งแกร่งขึ้นด้วย สมรรถภาพแต่ละด้านในร่างกายล้วนยกระดับขึ้นมหาศาล!
“ขอบคุณ!”
เขาเอ่ยขอบคุณหลิงอินอย่างจริงจัง ยื่นองุ่นที่เหลือให้หลิงอิน
หลิงอินยื่นองุ่นให้เขาเป็นพวง ซึ่งมีองุ่นอยู่อย่างน้อยสามสิบสี่สิบลูก
“เก็บไว้เถิด ไว้ใช้ในภายหน้า”
หลิงอินคลี่ยิ้ม มิได้รับองุ่นที่เหลือกลับมา
“ท่านพี่เก็บไว้เถิด! พวกเรายังมีองุ่นเช่นนี้อีกเยอะ ทั้งหมดนี้คุณชายเป็นผู้ให้เรามา!”
เสี่ยวหยาคลี่ยิ้มอย่างมีความสุข เมื่อเห็นพี่ชายของนางไม่เป็นไรแล้ว ซ้ำยังฟื้นคืนกำลังกลับมา นางดีใจเหลือแสน
จากนั้น นางเล่าเรื่องราวทุกอย่างให้พี่ชายของนางฟัง เริ่มตั้งแต่หลังพี่ชายของนางจากบ้านไป รวมถึงเรื่องที่นางถูกจักรพรรดิบุปผาเข่นฆ่า แล้วได้คุณชายชุบชีวิตกลับมาในยุคนี้
ระหว่างนั้น พี่ชายเสี่ยวหยาก็ฟังด้วยความตะลึง โลกนี้มีการดำรงอยู่สุดยอดระดับนี้ด้วยหรือ!?
หนึ่งบทเพลงเชื่อมต่อยุคโบราณ ประสานวิญญาณในกาลปัจจุบัน สร้างเลือดเนื้อใหม่ขึ้นด้วยเศษซากกระดูก!
สวรรค์!
ต้องเป็นตัวตนสูงส่งอย่างหามิได้เพียงใดกันนี่!?
เขาตะลึงจริง ๆ หัวใจเปี่ยมล้นไปด้วยความสะท้าน
“ฝันของข้าพิสดารขึ้นเรื่อย ๆ…”
เขาพึมพำเสียงเบา นึกในใจว่าเขาช่างใจกล้า จินตนาการได้แม้กระทั่งผู้ยิ่งใหญ่สูงส่งเกินหยั่งเยี่ยงนี้!
“ท่านพี่ ไยท่านถึงไม่ยอมเชื่อว่านี่คือเรื่องจริงเล่า!”
เสี่ยวหยาเอ่ยอย่างมีน้ำโห หยิกแขนพี่ชายของนางอย่างแรง นางสาธยายจนปากแห้งคอแห้งไปหมด พี่ชายของนางกลับยังไม่ยอมเชื่อ คิดว่านี่คือความฝัน
“เป็นความฝันจริง ๆ ด้วย เจ้าดูสิ เจ้าหยิกข้า ข้ายังไม่รู้สึกเลย”
ฝานหย่าเจ๋อเอ่ย
เสี่ยวหยาหมดคำพูด จะรู้สึกได้อย่างไรเล่า
นางมิได้ออกแรงจริง ๆ มิหนำซ้ำกายเนื้อพี่ชายของนางมิใช่กายเนื้อธรรมดา พี่ชายของนางไม่มีทางเจ็บอยู่แล้ว
ก็แค่ไม่รู้สึกถึงความเจ็บ
เรื่องนั้นง่ายนิดเดียว!
“ท่านพี่รอเดี๋ยว!”
เสี่ยวหยาเรียกฉินปี้เทียนชางไห่ออกมา บรรเลงด้วยสองมือ สะกดพลังในตัวพี่ชายลงทั้งหมด
จากนั้น นางเริ่มปฏิบัติการ มือเล็ก ๆ ตามหยิกบนตัวพี่ชายไม่หยุด หยิกจนใบหน้าพี่ชายของนางเปลี่ยนเป็นสีเดียวกับตับหมูในพริบตา
“อ๊าก…เจ็บ ๆๆ! ข้าเชื่อแล้ว นี่มิใช่ความฝัน ทั้งหมดคือความจริง เสี่ยวหยารีบหยุดเข้าเถิด!”
ฝานหย่าเจ๋อหน้าตาเหยเก รู้สึกถึงความเจ็บที่บาดลึกเข้าขั้วหัวใจ หนนี้เสี่ยวหยาออกแรงเต็มที่ เขารีบบอกให้เสี่ยวหยาหยุด
“คราวนี้คงเชื่อแล้วใช่หรือไม่!”
เสี่ยวหยาเอ่ยด้วยใบหน้ายิ้มกริ่ม อารมณ์เบิกบานเหลือคณา
“เชื่อแล้ว เชื่อแล้ว!”
ฝานหย่าเจ๋อรีบพยักหน้า เขาเชื่อแล้วจริง ๆ หากเป็นความฝันไฉนเลยจะรู้สึกถึงความเจ็บปวด ทั้งหมดนี้คือความจริง เขามิได้ฝันไป
ดวงตาของเขามีน้ำตาปริ่ม มองเสี่ยวหยาพลางกล่าว “พี่คิดไม่ถึงจริง ๆ ว่ายังมีวันที่พวกเราได้พบหน้ากันอีกครั้ง และยิ่งคิดไม่ถึงว่าเจ้าจะเดินทางมาช่วยพี่! พี่คิดว่าชีวิตนี้คงไม่ได้พบเจ้าอีกแล้ว…”
เขาดึงเสี่ยวหยาเข้ามาในอ้อมกอด ความรู้สึกในใจปะทุ น้ำตาหลั่งรินอย่างกลั้นไม่อยู่
กี่ปีแล้วนะ…
เขาจำไม่ได้จริง ๆ ว่าผ่านมากี่ปีแล้ว เขาเฝ้าคิดถึงเสี่ยวหยามาตลอด เสี่ยวหยาเป็นคนเดียวที่เขาห่วงหา
“ครานั้น พี่ถูกหลอกให้ไปติดกับผู้อื่น พวกเขาบอกว่าจะให้งานดี ๆ กับพี่ แต่ทั้งหมดนั่นคือคำโกหก ทั้งหมดล้วนเป็นเรื่องไม่จริง…พวกเขามิใช่คนดี พวกเขาเป็นคนค้ามนุษย์ พี่ถูกพวกเขาพาไปขาย…”
เขาเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต
ครานั้น เขาใช้ชีวิตอยู่กับเสี่ยวหยาเพียงสองคน ชีวิตแสนจะแร้นแค้น เพื่อหาเงินให้ได้มากขึ้น สุดท้ายจึงถูกหลอกเอาได้…
เขาถูกจับไปขายให้กับกองกำลังมืดกลุ่มหนึ่ง
ที่นั่น เขาไม่รู้ว่าได้รับความทุกข์ตั้งเท่าไร ต้องทรมานมาตั้งเท่าไร…
ทว่าเขาได้ก้าวสู่เส้นทางฝึกตนจากที่นั่นเช่นกัน
นับแต่นั้นมา เขาทุ่มเทชีวิตให้กับกองกำลังมืดนี้มาโดยตลอด เขาอยากกลับไปหาเสี่ยวหยา อยากหนีออกจากกองกำลังมืดนี้ แต่กลับทำมิได้เลย
เขาถูกกองกำลังมืดนั้นควบคุมตัวไว้ ไร้ซึ่งอิสรภาพ
นั่นเป็นช่วงเวลาอันแสนยาวนาน เขาจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่ารับใช้กองกำลังมืดนั้นมานานเพียงใด…
“หลังจากนั้น ข้าได้พบเจ้าหลวง ถูกเขาพาตัวมาที่นี่ เขาต้องการให้ข้าโอบกอด ‘ความพิศวง’ ข้าไม่ยอม…”
การโอบกอด ‘ความพิศวง’ เช่นนี้ไม่เหมือนกับที่เขาเคยรับใช้กองกำลังมืด
ถึงแม้เขารับใช้กองกำลังมืดด้วยชีวิต แต่เขาก็ยังเป็นเขา เขายังมีจิตสำนึกหลงเหลือในใจ มิเคยเอาชีวิตผู้ใด เขาทำแต่ภารกิจอื่น
คราวนั้น เขาต้องลำบากเพราะเรื่องนี้ไม่น้อย ทว่าเขาก็ยืนหยัดมาได้ ไม่เคยทำร้ายผู้ใด
ยังดีที่เขามีพรสวรรค์ฝึกตนค่อนข้างสูง ยกระดับขอบเขตพลังได้รวดเร็วเหนือกว่าสมาชิกอื่นในกองกำลังมืดมาก สุดท้ายกองกำลังมืดถึงยอมจำนน ให้เขารับผิดชอบเรื่องอื่น
แต่การโอบกอด ‘ความพิศวง’ ไม่เหมือนกัน ซ้ำยังไม่เหมือนกันอย่างมหันต์!
ทันทีที่เขาโอบกอด ‘ความพิศวง’ เขารู้ว่าเขาจะตกต่ำอย่างสมบูรณ์ ถูกความพิศวงกัดกร่อน จิตสำนึกในใจเขายากจะคงไว้ได้ ท้ายที่สุด เขาก็จะไม่ใช่ตัวเขาอีกต่อไป
เพราะอย่างนั้น เขาจึงไม่เคยยอมตั้งแต่แรก และยืนหยัดมาจนถึงป่านนี้
“ท่านพี่!”
เสี่ยวหยาฟังจนตาแดงก่ำ น้ำตาไหลรินลงมาไม่หยุด นางกอดพี่ชายของนางไว้แน่น
เขามิได้เล่ารายละเอียดมากนัก แต่นางรู้ดี พี่ชายของนางต้องทนทุกข์ทรมานมากขนาดที่จินตนาการไม่ออก นางสงสารพี่ชายเหลือเกิน
ชีวิตพี่ชายของนางช่างรันทดจริง!
อีกด้าน หลังหลิงอินได้ยินทุกอย่าง ก็ลอบถอนใจอย่างหนัก แสบจมูกขึ้นมาเช่นกัน
ต้องยอมรับว่า พี่ชายของเสี่ยวหยาเป็นคนที่หาได้ยากมาก ในสถานการณ์เช่นนั้น เขายังรักษาความเป็นตัวเอง รักษาจิตสำนึกไว้ได้ มิใช่เรื่องที่คนทั่วไปทำได้จริง ๆ!
หากเป็นผู้อื่น น่ากลัวว่าคงยอมจำนน กลายเป็นส่วนหนึ่งของความมืดไปนานแล้วกระมัง…
เรือล่องนภาแล่นต่อไปด้วยความเร็วสูง เพียงไม่นานก็มาถึงด้านนี้
“ท่านพี่ เรื่องราวทั้งมวลจบลง เรากลับบ้านกันเถิด!”
เสี่ยวหยาเอ่ยกับพี่ชายอย่างหนักแน่น พาพี่ชายของนางขึ้นเรือล่องนภา และมีหลิงอินต่อท้าย
“ใช่แล้ว เรื่องราวทั้งมวลจบลงแล้ว พวกเรากลับบ้าน!”
หลิงอินกล่าว ขับเรือล่องนภาเพื่อเดินทางกลับ
…
ณ อาณาจักรอวี้ซวี
บนมหาสมุทรกว้างใหญ่ไพศาลมองไม่เห็นที่สิ้นสุด ร่างสองร่างเหินเข้ามาด้วยความว่องไว
ที่นี่คือทะเลเหนือ
ถิ่นที่อยู่ของเผ่ามัจฉาสัตมายา
ร่างสองร่างนั้นก็คือลั่วสุ่ยและมัจฉาสัตมายา
มัจฉาสัตมายาในยามนี้มิได้อยู่ในร่างปลาอีกต่อไป หากแต่กลายร่างเป็นมนุษย์ เป็นเด็กหนุ่มรูปงามหน้าขาวปากแดง เปี่ยมชีวิตชีวาผู้หนึ่ง
“รูปร่างไม่เลวนี่!”
แม้แต่ลั่วสุ่ยยังคิดไม่ถึงว่า ร่างมนุษย์ของเสี่ยวชีจะหล่อเหลาไม่ธรรมดาเยี่ยงนี้
“ฮ่าฮ่า ไม่งามแล้วจะเป็นน้องชายพี่ลั่วสุ่ยได้อย่างไร ใครใช้ให้พี่ลั่วสุ่ยโฉมสะคราญขนาดนั้นเล่า!”
มัจฉาสัตมายาปากหวานราวอาบน้ำผึ้ง
“กะล่อนนัก ภายหน้าไม่รู้ว่าต้องมีสาวงามตั้งกี่คนถูกเจ้าหลอกเอาได้”
ลั่วสุ่ยมองค้อนอีกฝ่าย มัจฉาสัตมายาคารมคมคายยิ่งนัก
ซ่า!
เวลานั้นเอง บนผิวน้ำทะเลที่เคยเรียบนิ่ง มีเกลียวคลื่นซัดสาดขึ้นมาฉับพลัน ร่างแกร่งกล้าน่าพรั่นพรึงมากมายพุ่งออกมา
“พวกเจ้าเป็นใคร มีธุระใดที่ทะเลเหนือของเรา!”
พวกมันคือพลทหารกุ้ง พลทหารปูอย่างแท้จริง มือถือทวนยาวดาบยาว ขวางทางลั่วสุ่ยและมัจฉาสัตมายา เอ่ยคาดคั้นเสียงดัง
ทะเลเหนืออยู่ในการปกครองของเผ่ามัจฉาสัตมายามาโดยตลอด พวกมันอยู่ในการปกครองของเผ่ามัจฉาสัตมายา มีหน้าที่ลาดตระเวนดูแลความปลอดภัยในทะเลเหนือ