“พี่ใหญ่!” ฟังซื่อถอนหายใจ “ท่านสอบไปสามครั้งแล้ว ครั้งแรกบอกว่าอากาศเย็นเกินไปท่านจึงพักผ่อนได้ไม่เพียงพอ ครั้งที่สองก็บอกว่าอาหารไม่ถูกปากก็เลยหิวจนตาลาย…”
“เจ้าอายุแค่นี้แต่เหตุใดถึงได้ขี้บ่นเหมือนแม่ข้าเช่นนี้!” ฟังจี้รีบขัดจังหวะน้องสาว “ครั้งนี้ข้าจะตั้งใจสอบแล้ว พอใจหรือไม่”
ฟังซื่อรู้ว่าพี่ชายของตนผู้นี้ไม่ชอบให้ใช้ไม้แข็ง จึงพูดขึ้นมาว่า “พี่ใหญ่ต้องตั้งใจเรียน เมื่อสอบติดบัณฑิตชั้นสูงท่านป้าสะใภ้ก็จะบ่นพี่ใหญ่ไม่ได้แล้ว เมื่อถึงเวลานั้นอยากจะทำอะไรก็ทำ แบบนี้ดีจะตายไปเจ้าค่ะ” ไม่กล้าพูดอะไรมาก จากนั้นก็ถามถึงสถานการณ์ที่จวน
“ทุกอย่างเรียบร้อยดี!” ฟังจี้ไม่อยากพูดเรื่องเหล่านี้กับน้องสาว ยิ้มแล้วพูดว่า “น้องหญิงสองมีกำหนดออกเรือนวันที่สิบแปดเดือนสี่ น้องหญิงสามได้หมั้นหมายกับลูกหลานสกุลเจียงแห่งตงหยาง แม้ว่าจะเป็นสกุลย่อย แต่สถานการณ์ในครอบครัวถือว่าดี ท่านปู่และท่านพ่อของเขาเป็นบัณฑิตซิ่วไฉทั้งคู่ เขาเองก็มีชื่อเสียงตั้งแต่อายุยังน้อย ส่วนน้องสาม เรื่องการเรียนของเขาก้าวหน้าเป็นอย่างมาก…”
สองพี่น้องพูดคุยกันเป็นเวลานาน ฟังซื่อทั้งร้องไห้ทั้งหัวเราะ จนกระทั่งชิวอวี่มารายงานว่า “ท่านโหวจัดงานเลี้ยงต้อนรับคุณชายฟังที่เรือนนอกเจ้าค่ะ” จึงได้ไปส่งฟังจี้ที่ประตูเรือน
สืออีเหนียงส่งคนให้ไปเชิญฟังซื่อมาพูดคุย “ได้ยินว่าพี่ชายของเจ้ามา ถ้าหากยังไม่มีที่พัก ไปพักที่เรือนฉงเซียงในจวนนี้ดีหรือไม่ ถ้าหากคิดว่าเรือนฉงเซียงอยู่ใกล้กับถนนทำให้มีเสียงดังรบกวน เช่นนั้นข้าจะให้พ่อบ้านไป๋ไปเก็บกวาดเรือนซงเจินเซวียนที่อยู่ข้างเรือนซวงฝูก็ได้เช่นกัน”
“พี่สะใภ้ใหญ่เป็นหลานสาวของรองเจ้ากรมหลิว ทุกครั้งที่พี่ใหญ่เข้าเมืองหลวงก็จะไปพักอยู่ที่เรือนนอกจวนของรองเจ้ากรมหลิวเจ้าค่ะ” ฟังซื่อเอ่ยขอบคุณแล้วขอบคุณเล่า แล้วยังพูดอีกว่า “ขอบคุณท่านอาสะใภ้สี่ที่ใส่ใจ เพียงแต่ว่าเมื่อวานพี่ใหญ่ได้ไปพักที่เรือนนอกจวนของรองเจ้ากรมหลิวแล้ว หากย้ายออกมากะทันหันจะดูไม่ดี” ปฏิเสธอย่างอ้อมค้อม
สืออีเหนียงได้ฟังดังนั้นก็พูดว่า “หากมีเรื่องอันใดต้องการให้ช่วยก็บอกมาได้เลย” ในวันเทศกาลโคมไฟก็เชิญฟังจี้มาทานอาหารที่จวนอีกครั้ง
ฟังจี้สอบติดจอหงวนตั้งแต่อายุสิบแปดปี จากนั้นก็วนไปวนมาอยู่หน้าประตูบัณฑิตชั้นสูง ดูเป็นคนกล้าหาญและเป็นมิตร แต่ก็มีความทะนงตนอยู่ในตัว สวีซื่อฉินไม่ค่อยพูดคุยกับเขาเท่าไรนัก แต่ว่าสวีซื่ออวี้กลับรู้สึกดีกับเขาเป็นอย่างมาก หลังจากที่รู้จักกันเขาก็เชิญสวีซื่อฉินกับสวีซื่ออวี้ไปเป็นแขกอยู่หลายครั้ง แนะนำสหายสนิทให้สวีซื่ออวี้รู้จัก เมื่อรู้ว่าสวีซื่อฉินมีกำหนดย้ายเรือนวันที่สี่เดือนสองเขาก็เห็นด้วยเป็นอย่างมาก พูดกับฟังซื่อเป็นการส่วนตัวว่า “สามารถใช้ชีวิตได้อย่างสงบก็ถือว่าดีแล้ว โชคดีที่เจ้าพอจะมีความรู้ ถึงแม้ว่าจะสอนสามีไม่ได้แต่ก็สามารถสอนบุตรได้!”
ด้วยเหตุนี้จึงได้มองสวีซื่อฉินเปลี่ยนไป ไม่ได้มีความดูแคลนเหมือนตอนที่เจอกันครั้งแรก
สวีซื่อฉินไม่เข้าใจว่าทำไม เพียงแต่รู้สึกว่าพี่ชายภรรยาผู้นี้ความคิดกลับไปกลับมา เข้าถึงได้ยาก จึงอ้างว่ายุ่งเพราะต้องเตรียมตัวย้ายเรือน ฟังจี้เชิญเขาสามครั้งเขาก็ปฏิเสธไปหนึ่งครั้ง ไปๆ มาๆ ฟังจี้กลับค่อยๆ สนิทสนมกับสวีซื่ออวี้มากขึ้น
เมื่อถึงกลางเดือนสอง ผู้บัญชาการหลี่สองพ่อลูกถูกนำตัวเข้าเมืองหลวง เมื่อเรื่องนี้ถูกเปิดเผยก็เกิดความโกลาหลไปทั่วทั้งเมืองหลวง
ฟังจี้และบัณฑิตคนอื่นๆ ที่เข้าเมืองหลวงมาเข้าร่วมการสอบก็รู้สึกตื่นเต้นที่ได้เขียนหนังสือหมื่นอักษรนำเสนอฮ่องเต้ เรียกร้องให้ประหารชีวิตหลี่จง
สืออีเหนียงกังวลใจเป็นอย่างมาก รีบถามข่าวสารจากสวีลิ่งอี๋ “…ทางด้านของผู้บัญชาการหลี่ ฮ่องเต้ต้องการจะทำอย่างไรเจ้าคะ”
“ขึ้นอยู่กับแผนการของฮ่องเต้” สวีลิ่งอี๋ยกถ้วยชาร้อนที่นางนำมาให้ขึ้นมา “หากต้องการจะให้คนสกุลโอวเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย เช่นนั้นก็คงจะทำให้เรื่องของผู้บัญชาการหลี่กลายเป็นเรื่องใหญ่ แต่ถ้าหากยังไม่แตะต้องสกุลโอวตอนนี้ ก็จะทำให้เรื่องใหญ่กลายเป็นเรื่องเล็กจนเงียบไป”
“ถ้าอย่างนั้น จากมุมมองของท่านโหวแล้ว ฮ่องเต้จะกำจัดสกุลโอวในเวลานี้หรือไม่เจ้าคะ” สืออีเหนียงพูดพึมพำ “นี่ถือเป็นโอกาสที่ดี”
“เป็นโอกาสที่ดีอย่างที่เจ้าว่า” สวีลิ่งอี๋ยิ้มแล้วพูดต่อไปว่า “ขึ้นอยู่กับว่าฮ่องเต้จะทรงจัดการอย่างไร!”
ไม่กลัวเรื่องที่แน่นอน แต่กลัวเหตุไม่คาดฝัน ยิ่งไปกว่านั้นแม้ว่าสวีซื่ออวี้จะเข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ แต่ก็เป็นเพียงแค่คนที่รับบทบาทโบกธงเท่านั้น หากสำเร็จมันก็ไม่เกี่ยวอะไรกับเขาเลย แต่หากไม่สำเร็จเขาก็อาจจะถูกลากไปเกี่ยวข้องด้วย
สืออีเหนียงให้สวีซื่ออวี้อยู่แต่ในเรือน “อีกไม่กี่วันน้องเขยเจ้าจะต้องเข้าเมืองหลวงแล้ว สกุลพวกเราจะต้องจัดงานเลี้ยงต้อนรับคนสกุลเซ่า จุนเกออายุยังน้อย เมื่อถึงเวลานั้นเจ้าต้องคอยอยู่ข้างๆ คอยช่วยเหลือเขาจะได้ไม่ขาดตกบกพร่องในหน้าที่จนเป็นการเสียมารยาท”
อาจารย์เจียงต้องการรู้หัวข้อในการสอบครั้งนี้ ทั้งข้อสอบฮุ่ยซื่อสิบอันดับแรกและข้อสอบเตี้ยนซื่อสามอันดับแรก ให้สวีซื่ออวี้คิดหาวิธีคัดลอกข้อสอบแล้วกลับเล่ออานหลังจากการสอบในฤดูใบไม้ผลิแล้ว ไม่ว่าอย่างไรนางก็ต้องรั้งสวีซื่ออวี้ไว้จนถึงวันสอบ จนกว่าเหล่าบัณฑิตที่มาเข้าร่วมการสอบฤดูใบไม้ผลิจะหยุดการกระทำต่างๆ ลง
สวีซื่ออวี้ประหลาดใจเล็กน้อย ขานรับอย่างนอบน้อม “ขอรับ” อันดับแรกคือผู้ดูแลจ้าวจะไปรับเซ่าจ้งหรานและคนสกุลเซ่าที่มาเยี่ยนจิงเพื่อเข้าร่วมการสอบที่นอกประตูเมือง หลังจากนั้นก็จะพาไปที่เรือนนอกของสกุลเซ่า ให้หอชุนซีนำอาหารมาส่ง ต่อจากนั้นก็ให้คนสกุลเซ่าพักผ่อน วันรุ่งขึ้นก็นำป้ายชื่อของสวีลิ่งอี๋ไปเชิญคนสกุลเซ่ามารับประทานอาหารที่จวน จัดงานเลี้ยงต้อนรับคนสกุลเซ่า แล้วยังมอบเสื้อผ้าและยาหม่องสมุนไพรให้เซ่าจ้งหรานตามคำสั่งของสืออีเหนียง เมื่อกลับไปแล้ว คนสกุลเซ่าก็เชิญสวีซื่ออวี้กับสวีซื่อจุนไปเป็นแขก ไปๆ มาๆ ก็มาถึงวันที่สามเดือนสามพวกเขาจึงได้มีเวลาว่างไปพบฟังจี้
“ที่แท้น้องเขยใหญ่ของเจ้าก็เป็นคนสกุลเซ่าจากเมืองชังโจว” ก่อนหน้านี้ฟังจี้ได้รับจดหมายจากสวีซื่ออวี้ รู้ว่าหลายวันมานี้เขากำลังต้อนรับน้องเขยที่มาเข้าร่วมการสอบศิลปะการต่อสู้ เมื่อได้พบกันฟังจี้ก็พูดด้วยความสนใจว่า “สกุลพวกเขามีจอมยุทธ์พเนจรที่มีชื่อเสียงอยู่หลายท่าน ล้วนเป็นเทพมังกรที่เห็นหัวแต่ไม่เห็นหาง ไม่เปิดเผยให้ใครรู้ หากวันไหนมีเวลาว่างเจ้าช่วยแนะนำให้ข้าได้รู้จักสักหน่อยได้หรือไหม”
สวีซื่ออวี้ตอบตกลงเต็มปากเต็มคำ รีบถามถึงเรื่องหนังสือหมื่นอักษรที่เก็บไว้อยู่ในใจมาโดยตลอด
“เรื่องของหลี่จงเกี่ยวข้องไปถึงสกุลโอวของจิ้งไห่โหว” ฟังจี้พูดด้วยสีหน้าเบิกบาน “ฮ่องเต้ได้แต่งตั้งขุนนางใกล้ชิดอย่างใต้เท้าหวังนามว่าหวังลี่เข้าไปจัดการเรื่องในฝูเจี้ยนแล้ว จะเริ่มออกเดินทางเร็วๆ นี้”
สวีซื่ออวี้ก็มีสีหน้าเบิกบานเช่นกัน “เมื่อเป็นเช่นนี้ผู้คนที่ตายโดยไม่ยุติธรรมก็จะได้พิสูจน์ความบริสุทธิ์แล้ว!”
“เสียดายที่ตอนนั้นเจ้าไม่อยู่” ฟังจี้พูดอย่างภูมิใจ “ตอนที่พวกเราบุกเข้าไปในกรมพิธีการ ผู้คนเหล่านั้นต่างพากันตื่นตระหนก…” จากนั้นสีหน้าก็หม่นหมองลง “ล้วนเป็นขุนนางคนสำคัญของราชสำนัก แต่กลับไม่ต่างอะไรกันกับแม่ค้าในตลาด แต่ละคนมีสีหน้าตื่นตระหนก บางคนถึงขั้นไปหลบอยู่ใต้โต๊ะหนังสือ!” ส่ายหน้าอย่างทอดถอนใจ
“พวกเจ้าบุกเข้าไปในกรมพิธีการอย่างนั้นหรือ” สวีซื่ออวี้ตกใจเป็นอย่างมาก
ฟังจี้พยักหน้า “ถ้าหากคนที่ต้าโจวใช้งานเป็นคนเช่นนี้ เช่นนั้นสถานการณ์ก็น่าเป็นห่วง!”
ทันใดนั้นสวีซื่ออวี้ก็นึกถึงเรื่องที่สืออีเหนียงให้เขาทำในช่วงนี้…เขารีบลุกขึ้น “ที่จวนกำลังจัดงานเลี้ยง ข้าไม่สามารถอยู่นานได้ รู้ว่าพี่ใหญ่ฟังสบายดี เช่นนั้นข้าขอตัวกลับก่อน รอผ่านไปอีกสักหน่อย พอพี่ใหญ่ฟังเข้าร่วมการสอบข้าค่อยมาส่งขอรับ”
ฟังจี้ก็เคยได้ยินเกี่ยวกับงานเลี้ยงวันที่สามเดือนสามที่มีชื่อเสียงของจวนหย่งผิงโหว จึงพูดคุยด้วยความเกรงใจก่อนจะไปส่งเขาด้วยตัวเอง
เวลานี้สืออีเหนียงกำลังกระซิบกระซาบอยู่กับโจวฮูหยิน
“…หลี่จงยอมรับหมดแล้ว อานเฉิงช่วยหาทางออกให้บ้าง ทำให้หลี่จี้เป็นผู้บริสุทธิ์ แต่เกรงว่าชีวิตของหลี่จงคงยากที่จะรักษาเอาไว้ได้”
ใช้ชีวิตของพ่อแลกกับโอกาสที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป เกรงว่าหลี่จี้จะต้องอยู่กับความรู้สึกผิดนี้ไปตลอดชีวิต แต่หากไม่ยอมรับโอกาสนี้ เกรงว่าสกุลหลี่คงจะต้องล้มลง จนกระทั่งเป็นไปได้ว่าจะล่มสลาย เมื่อเขารับโอกาสนี้แล้ว อย่างไรเสียองค์หญิงอานเฉิงก็ต้องปกป้องเขาเพื่อบุตรสาวของตัวเอง ทำให้เขาสามารถช่วยเหลือคนในสกุลได้ไม่มากก็น้อย
สืออีเหนียงถอนหายใจ
โจวฮูหยินก็ถอนหายใจเช่นกัน “หลี่จงใช้ความรุนแรงเกินไปแล้ว”
ด้วยความผิดของหลี่จง หลี่ฮูหยินจึงไม่ได้มาร่วมงานเลี้ยง…
เมื่อทั้งสองคนนึกถึงหลี่ฮูหยินก็ยิ้มด้วยใบหน้าที่แฝงไว้ด้วยความระมัดระวังเล็กน้อยแล้วเงียบไป
ด้านนอกมีเสียงหัวเราะอันไพเราะของคุณนายใหญ่สกุลหลินดังขึ้น “…หากเรือนหน่วนฝังของสกุลสวีเป็นที่สองในเยี่ยนจิงก็ไม่มีใครกล้าเป็นที่หนึ่งแล้ว แม้ว่าข้าจะไม่ใช่เจ้าของจวน แต่ข้ากล้ารับประกันพวกเจ้าแทนฮูหยินสี่สกุลสวี เมื่อถึงเวลานั้นพวกเจ้าก็เพียงแค่ส่งบรรดาสาวใช้หรือหญิงรับใช้เฒ่ามาขอต้นไม้ได้เลย แต่ถ้าหากฮูหยินสี่สกุลสวีขมวดคิ้ว เช่นนั้นก็ถือว่าเป็นความผิดของข้าก็แล้วกัน”
สืออีเหนียงกับโจวฮูหยินพากันหัวเราะ
บรรยากาศในห้องเบาสบาย
“สตรีแซ่เซ่าผู้นี้ให้คำสัญญามั่วซั่วอีกแล้ว” โจวฮูหยินยิ้มพลางลุกขึ้น “พวกเรารีบไปดูกันเถิด มิเช่นนั้นเจ้าคงจะต้องสูญเสียครั้งใหญ่แล้ว”
สืออีเหนียงยิ้มแล้วเดินออกไปพร้อมกับโจวฮูหยิน เห็นว่าคุณนายใหญ่สกุลหลินกำลังพูดคุยอยู่กับสตรีอายุประมาณสี่สิบปีที่สวมเสื้อกั๊กยาวสีทองน้ำผึ้งอยู่ที่ประตูห้องโถงเตี่ยนชุน ข้างกายพวกเขายังมีคุณนายสามหวงและสตรีคนอื่นๆ อีกเจ็ดแปดคนยืนอยู่ด้วย
เป็นฮูหยินของโต้วเก๋อเหล่า
สืออีเหนียงเข้าไปทักทายและแนะนำโจวฮูหยินให้กับนาง
“พวกเราเคยเจอกันแล้ว” เมื่อโต้วฮูหยินเห็นว่าทั้งสองคนเดินเคียงกันออกมาจากห้อง รอยยิ้มก็ดูเป็นมิตรมากขึ้น “ที่งานแต่งบุตรชายคนโตของใต้เท้าหลี่ โจวฮูหยินจำได้หรือไม่”
“ทำไมจะจำไม่ได้เล่า!” โจวฮูหยินยิ้มพลางคำนับนาง
สายตาของโต้วฮูหยินจับจ้องไปที่สืออีเหนียง “ข้าได้ยินมานานแล้วว่าฮูหยินสี่เก่งเรื่องการเพาะปลูกต้นไม้และดอกไม้ วันนี้มีโอกาสได้มาที่นี่จึงอดถามขึ้นมาไม่ได้…”
“บรรดาพี่หญิงก็ชมเกินไปเจ้าค่ะ จากที่พอใช้ได้ก็กลายเป็นดีมาก” สืออีเหนียงพูดอย่างถ่อมตัว “หากโต้วฮูหยินไม่รังเกียจ ให้ข้าพาไปเดินเล่นที่สวนดอกไม้ดีหรือไม่”
“เอาสิ!” โต้วฮูหยินยิ้มแล้วพูดว่า “ข้ากำลังอยากไปอยู่พอดี เพียงแต่ว่าไม่กล้าเอ่ยปาก”
สืออีเหนียงกับนางมุ่งหน้าไปที่เรือนหน่วนฝัง แนะนำฟังซื่อให้นางรู้จัก “นี่คือหลานสะใภ้คนโต เป็นคนรักดอกไม้เช่นกัน”
โต้วฮูหยินพยักหน้าให้ฟังซื่อ ฟังซื่อรีบย่อเข่าคำนับ เมื่อเข้าไปเรือนหน่วนฝังก็ช่วยแนะนำดอกไม้พืชพรรณต่างๆ ตามความเคยชิน โต้วฮูหยินที่ได้ฟังดังนั้นก็พยักหน้า
มีสาวใช้น้อยเข้ามา กระซิบกับสืออีเหนียงว่า “ฮูหยิน คุณชายน้อยสองมาพบท่านเจ้าค่ะ!”
งานเลี้ยงฉลองวันที่สามเดือนสามของสกุลสวี แขกที่เชิญมาล้วนเป็นสตรีทั้งหมด เมื่อถึงวันนี้สวีลิ่งอี๋ยังต้องหลบไปอยู่ที่อื่น แต่สวีซื่ออวี้กลับมาพบนางในเวลานี้ หรือว่าจะเกิดเรื่องอันใดขึ้นกับฟังจี้
นางตอบเพียง “อืม” ด้วยสีหน้านิ่งสงบแล้วหาโอกาสออกจากเรือนหน่วนฝัง
สวีซื่ออวี้ยืนอยู่ใต้ต้นอวี้หลานนอกเรือนหน่วนฝัง
เขาสวมเสื้อสีฟ้า มีกลีบดอกไม้สีขาวดั่งเกล็ดหิมะตกลงบนไหล่ ดูเงียบสงบ สง่างามดั่งรูปวาดด้วยหมึกสีดำก็ไม่ปาน
เมื่อได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวเขาก็เงยหน้าแล้วมองมาทางนี้ ดวงตาสีดำสนิทของเขามีแววตาแปลกๆ ทำให้เขาดูแตกต่างจากปกติเป็นอย่างมาก
สืออีเหนียงชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดขึ้นมาว่า “เกิดอะไรขึ้นหรือ”
เมื่อมองไปยังสายตาที่ซื่อตรงของนาง ถ้อยคำที่วนเวียนอยู่ในใจของเขาที่ราวกับน้ำเดือดพล่านในระหว่างทางที่เดินทางมาก็ได้ถูกกลืนลงไป
บางคำนางไม่เคยพูดออกมา แต่บางเรื่องนางกลับทำอย่างเงียบๆ
จู่ๆ สวีซื่ออวี้ก็หัวเราะในใจ
จะถามหรือไม่ถามก็ไม่ได้สำคัญอะไร
นางไม่มีทางไม่ทำ เพียงเพราะไม่ได้พูด!
“ไม่มีอะไรขอรับ!” เขาสูดลมหายใจเข้าลึก ทันใดนั้นก็รู้สึกโล่งอก “ท่านแม่กำลังต้อนรับแขก ข้าอยากจะถามว่าต้องการให้ข้าช่วยดูแลน้องหกหรือไม่”
สืออีเหนียงนึกถึงจิ่นเกอที่รื้อของออกมาจนเต็มเตียงเตาก็อดส่ายหัวไม่ได้ พูดขึ้นมาว่า “เขาอยู่ที่เรือนหน่วนเก๋อ หากเจ้ามีเวลาก็ไปเล่นกับเขาสักหน่อยเถิด!”
สวีซื่ออวี้คำนับแล้วถอยออกไป
พาจิ่นเกอรื้อของออกมาแล้วค่อยเก็บกลับไป จากนั้นก็รื้อออกมาใหม่ แล้วก็เก็บกลับไป…จนกระทั่งเขาเล่นจนเหนื่อยแม่นมกู้ก็มากล่อมเขานอน สวีซื่ออวี้หย่อนกายนั่งลงบนเก้าอี้ไท่ซือข้างเตียงเตาแล้วลูบผมดกดำของเขาอย่างเบามือ พูดพึมพำออกมาหนึ่งประโยคโดยไม่มีใครฟังออก