หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา A World Worth Protecting – บทที่ 1328 เมืองเหมือนสำนัก

บทที่ 1328 เมืองเหมือนสำนัก
เมื่อเห็นทุกคนในร้านยินดีต้อนรับตนขนาดนี้ หวังเป่าเล่อก็เผยรอยยิ้มออกมา ก่อนกวาดมองไปรอบด้าน มองดูร้านค้านี้แล้วเขาก็รู้สึกทอดถอนใจขึ้นมา
ตนนับว่ามีกิจการเป็นของตัวเองในเมืองแห่งนี้แล้ว
“แล้วก็ วัตถุดิบที่พวกเจ้าพูดถึงเมื่อครู่นี้คืออะไร” หวังเป่าเล่อเช็ดมุมปาก กวาดมองคนทั้งสี่
ทั้งสี่ไม่กล้าปิดบังแม้แต่น้อย ไม่ช้าก็ตอบคำถามหวังเป่าเล่อทีละข้อ
ที่บอกว่าวัตถุดิบอาหารนั้น ความจริงแล้วไม่ได้กินคนจริงๆ เรื่องเช่นนี้แม้จะอยู่ในเมื่องปรารถนารสก็ยังพบเห็นได้น้อยมาก สาเหตุที่เมื่อครู่พวกนี้เห็นหวังเป่าเล่อแล้วเกิดความโลภก็เพราะได้กลิ่นอายของเต๋าสุข
ร่างแยกร่างนี้ของหวังเป่าเล่อนั้น เนื่องจากแบ่งออกมาจากร่างจริง ดังนั้นย่อมปนเปื้อนกลิ่นอายของกฎเกณฑ์แห่งสุขอยู่บ้างเป็นธรรมดา และกลิ่นอายนี้สำหรับผู้ฝึกตนเมืองปรารถนารสแล้ว มันเหมือนกับอาหารโอชะชั้นเลิศ แค่ได้กลิ่นก็เพิ่มความอยากอาหารขึ้นมาก
ดังนั้นพวกเขาจึงเกิดความโลภ หลังจับตัวหวังเป่าเล่อก็เตรียมจะใช้วิธีการหลอมกลั่นดึงเอากลิ่นอายแห่งสุขภายในร่างของเขาออกมาสนองความกระหายอยากของตน
ขณะเดียวกันหากนำไปขาย ราคาก็จะสูงลิ่วอย่างยิ่ง ความจริงแล้วไม่ใช่แค่กลิ่นอายแห่งสุขเท่านั้นที่เป็นเช่นนี้ แต่เจ็ดอารมณ์ก็เช่นกันล้วนเป็นอย่างนี้ทั้งสิ้น สำหรับผู้ฝึกตนเมืองปรารถนารสแล้ว เต๋าแต่ละอย่างล้วนเป็นรสชาติโอชะชั้นยอด
แต่เห็นได้ชัดว่าถึงอย่างไรสี่คนในร้านค้าแห่งนี้ก็คิดไม่ถึงว่าวัตถุดิบที่พวกเขาเห็นว่าไม่เลวอย่างยิ่งผู้นี้ จะเปลี่ยนตัวตนเป็นเหมือนภูตผีปีศาจ จัดการพวกเขาได้ในพริบตา
โดยเฉพาะ…จากการอธิบายของพวกเขาตอนนี้ ก็สังเกตเห็นได้ทันทีว่าชายหนุ่มที่นั่งอยู่ตรงนั้นซึ่งเปรียบเหมือนฝันร้ายกลับฉายความเสียดายออกมา
สิ่งนี้ทำให้ทั้งสี่ใจสั่นสะท้านยิ่งกว่าเดิม
เมื่อสังเกตเห็นท่าทางของคนทั้งสี่ หวังเป่าเล่อก็ส่ายหน้า
“ที่แท้ก็เป็นแบบนี้ ไม่เหมือนกับที่ข้าคิดเอาไว้เลย น่าเสียดายอยู่สักหน่อย…” ขณะที่หวังเป่าเล่อกล่าว สายตาก็กวาดมองบนร่างคนทั้งสี่ สุดท้ายก็จดจ้องอยู่ที่เจ้าอ้วนน้อยที่แม้ใบหน้าจะบวมเป่ง เลือดเนื้อปะปนจนพร่าเลือน แต่เห็นได้ชัดว่ามีร่างกายขาวๆ นุ่มๆ
เมื่อสายตาคู่นี้กวาดมองมา ทันใดนั้นมันก็ทำให้สีหน้าของทั้งสี่คนซีดขาวเข้าไปใหญ่ ในใจสั่นสะท้าน อดคาดเดาไม่ได้ว่าอีกฝ่าย…เสียดายที่ตรงไหน
“เสียดายที่วัตถุดิบอาหารไม่ใช่เนื้อคน…”
“ต้องเป็นเช่นนี้แน่”
“นี่มันคนบ้าชัดๆ!”
โดยเฉพาะเจ้าอ้วนน้อยที่ถูกหวังเป่าเล่อจ้องมองเป็นคนสุดท้าย ตอนนี้ใกล้จะร้องคร่ำครวญออกมาอยู่รอมร่อ ความหวาดกลัวในดวงตาราวกับจะทำให้เขาตกใจตายได้เลย
ขณะที่ทั้งสี่ตัวสั่นเทิ้มพลางมองหน้ากันและกัน ตอนนี้เอง ระหว่างพวกเขาก็ไม่มีความต่างเรื่องฐานะอะไรทั้งสิ้นอีก พนักงานก็ดี พ่อครัวหลังร้านก็ดี แม้แต่ผู้จัดการร้าน ตอนนี้ล้วนเป็นนักโทษต่ำต้อยเหมือนกัน สีหน้าท่าทางหวาดกลัวไม่อาจปกปิด
ขณะนี้ท้องฟ้าภายนอกเริ่มมืดลงแล้ว จุดสิ้นสุดของเทศกาลใกล้จะมาถึง เสียงอึกทึกคึกครื้นที่มีอยู่เดิมก็เริ่มเงียบสงบลงช้าๆ ร้านค้ามากมายเริ่มแขวนโคม แม้จะยังไม่เปิดทำการ แต่เมื่อมองไป แสงโคมในเมืองค่อยๆ กลายเป็นประกายดวงดาว มากขึ้นเรื่อยๆ
แต่การมาถึงและความเงียบสงบของยามค่ำคืนกลับยิ่งทำให้บรรยากาศภายในร้านกดดันขึ้นมา บางทีอาจเป็นเพราะตกใจกับสายตาและความเสียดายของหวังเป่าเล่อ จึงทำให้ผู้ฝึกตนทั้งสี่ซึ่งรวมถึงผู้จัดการร้านรู้สึกหวาดผวามากขึ้น ยามตอบคำถามต่อๆ มาของหวังเป่าเล่อก็ยังมีความหวั่นวิตกรุนแรง พูดจาอึกอัก พร้อมทั้งไม่กล้าปิดบังแม้แต่นิด
นี่ทำให้หวังเป่าเล่อรู้จักเมืองปรารถนารสแห่งนี้รอบด้านมากขึ้น ถึงอย่างไรความรู้เกี่ยวกับเมืองปรารถนารสของคนทั้งสี่ก็ถูกรวมเข้าด้วยกัน แม้หวังเป่าเล่อจะไม่คุ้นเคยกับเมืองปรารถนารส แต่หลังจากรู้เรื่องทั้งหมดแล้ว เขาก็เข้าใจมันขึ้นไม่น้อยเลย
ตัวอย่างเช่น ผู้ฝึกตนในเมืองที่มีสิทธิอาศัยอยู่ระยะยาวทั้งหมดอาจมาจากหลายๆ เมืองด้วยซ้ำ แม้แต่เมืองโบราณก็มีคนได้รับสิทธิอาศัยอยู่ในเมืองปรารถนารสเช่นกัน
และการได้รับสิทธิเช่นนี้ก็ยากลำบากไม่น้อย จำเป็นต้องแลกมาด้วยการอุทิศระดับหนึ่งถึงจะได้
แต่ขอแค่ได้มาแล้วก็จะได้รับประโยชน์ไม่น้อยเลยทีเดียว เพราะตราบใดที่อาศัยอยู่ในเมือง พลังฝึกตนจะเพิ่มพูนขึ้นช้าๆ และถ้ากินของในเมืองปรารถนารสล่ะก็ ประโยชน์ที่ช่วยเสริมด้านการฝึกตนก็จะมีมหาศาล
ขณะเดียวกัน หากเปิดร้านค้าของตนในเมืองแห่งนี้ สัญญาร้านเดิมทีก็เป็นคำแนะนำ และคำแนะนำนี้ก็สามารถทำให้ผู้ฝึกตนตระหนักรู้…กฎเกณฑ์ของเมืองปรารถนารสได้
กฎเกณฑ์เช่นนี้ต่างหากจึงจะเป็นรากฐานของเมืองปรารถนารส และเป็นสัญลักษณ์เมืองปรารถนารสสายตรง
ส่วนจะตระหนักรู้ได้อย่างไรก็ต้องมีอาหารเลิศรสต่างๆ อยู่ในมือก่อน ยิ่งอาหารของร้านอร่อยเท่าไร ชื่อเสียงและคนที่กระหายอยากเข้ามากินก็ยิ่งมาก เจ้าของร้านค้ากับพนักงานทั้งหมดก็จะได้ประโยชน์จากเรื่องนี้มหาศาล
“คนนอกมาอยู่ในเมืองปรารถนารสก็เพื่ออาหารโอชะต่างๆ ที่จะทำให้การฝึกตนเพิ่มระดับขึ้น แต่สำหรับผู้ฝึกตนของกฎเกณฑ์ปรารถนารสแล้วนั้น สิ่งที่ต้องการคือดูดซับความคิดกระหายอยากของผู้คน” ผู้จัดการร้านหญิงเอ่ยเสียงสั่น
หวังเป่าเล่อได้ยินเรื่องเหล่านี้แล้วก็ครุ่นคิด ก่อนถามคำถามอื่นๆ อีกนิดหน่อย
ตัวอย่างเช่นเรื่องระดับชั้นและโครงสร้างของผู้ฝึกตนในเมืองปรารถนารสแห่งนี้
กล่าวโดยสรุปแล้ว เมืองปรารถนารสสามารถมองเป็นสำนักใหญ่ขนาดมหึมาแห่งหนึ่งได้เลย และภายในสำนักนี้ก็มีศิษย์นับไม่ถ้วน แต่ส่วนมากล้วนเป็นศิษย์นอก มีเพียงผู้ที่มีร้านรวงของตัวเองเท่านั้นถึงจะเป็นศิษย์สายใน
ศิษย์ในเช่นนี้ ในเมืองปรารถนารสเรียกว่าผู้อิ่มท้อง
และศิษย์นอกที่อยู่ต่ำกว่าผู้อิ่มท้องก็แบ่งออกเป็นสองประเภท ประเภทแรกเรียกว่าผีหิวโหย ประเภทที่สองเรียกว่าผู้ยากจน
อย่างแรกนั้นมีจำนวนมากที่สุด พวกคนบ้าคลั่งผอมโซหนังหุ้มกระดูกที่หวังเป่าเล่อเห็นอยู่ข้างนอกก่อนหน้านี้ส่วนใหญ่เป็นผีหิวโหย และคนที่ดีกว่าพวกเขาขึ้นมาเล็กน้อยก็คืออย่างหลัง
แต่ก็มีข้อจำกัดเช่นกัน ดังนั้นเมื่อมองโดยรวมแล้ว ในแง่หนึ่งนั้น ผู้ฝึกตนสองประเภทที่อยู่ในเมืองปรารถนารสก็คือแหล่งฝึกบำเพ็ญของผู้ฝึกกฎเกณฑ์ปรารถนารสนั่นเอง
ก็เหมือนกับระดับชั้นของการโกงกิน เหนือกว่าระดับผู้อิ่มท้องยังมีอีกหนึ่งระดับชั้นอยู่ ถูกเรียกว่าผู้มีกิน
คนประเภทนี้พวกเขามักจะมีความคิดเป็นของตัวเองในเรื่องกฎเกณฑ์แห่งปรารถนารส ทั้งยังก้าวล้ำห่างไประยะหนึ่ง ร้านอาหารไม่อาจตอบสนองการฝึกบำเพ็ญของพวกเขาได้แล้ว ดังนั้นส่วนใหญ่จึงเลือกเลี้ยงดูคนรับใช้ที่สามารถให้ความกระหายอยากในปริมาณมากๆ กัน
อย่างเช่นผู้คนในกลุ่มขบวนแห่เหล่านั้น ซึ่งก็คือคนประเภทผู้มีกินนั่นเอง
ถัดจากผู้มีกิน ยังมีอีกหนึ่งระดับชั้น พวกนี้นับว่าอยู่ระดับสูงของเมืองปรารถนารส พวกเขาถูกเรียกว่าสาวกเนื้อ ผู้ที่สามารถฝึกฝนกฎเกณฑ์ปรารถนารสจนบรรลุถึงระดับนี้ได้นับว่ามีไม่มาก
ทั้งเมืองปรารถนารสก็มีแค่ไม่กี่สิบคนเท่านั้น เนื่องจากวิธีการฝึกตนแบบพิเศษจึงทำให้ผู้ฝึกตนประเภทนี้มักจะกักตนเป็นส่วนใหญ่ น้อยนักที่จะออกมาข้างนอก จึงพบได้ไม่บ่อย
ตรงกันข้าม ผู้ฝึกตนระดับสูงที่พบเห็นได้ง่ายกว่าก็คือ…เจ้าแห่งสวาปามผู้เป็นรองเพียงเจ้าปรารถนาเท่านั้น
ก่อนหน้านี้ตอนที่หวังเป่าเล่ออยู่ในขบวนแห่ ภูเขาเนื้อแปดคนที่ถูกแบกที่เขาเห็นก็คือเจ้าสวาปามของเมืองปรารถนารสนั่นเอง แต่ละคนล้วนมีพลังต่อสู้น่าสะพรึงของขั้นที่สี่อยู่
และผู้อยู่จุดสูงสุดของเมืองปรารถนารสก็มีเพียงผู้เดียว ซึ่งก็คือ…ผู้ก่อตั้งเมืองนี้ ครอบครองแหล่งกำเนิดกฎเกณฑ์แห่งปรารถนารส ผู้ปรากฏตัวอยู่บนแท่นบูชารูปร่างเหมือนก้อนเนื้อผู้นั้น…เจ้าแห่งปรารถนา
“ดูจากโครงสร้างแล้ว ความจริงเมืองปรารถนารสแห่งนี้ก็คือสำนักแห่งหนึ่ง แต่ไม่มีกฎสำนักมากมายก็เท่านั้น” เมื่อฟังถึงตรงนี้แล้ว หวังเป่าเล่อก็หรี่ตา
…………………………………………
หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา A World Worth Protecting

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา A World Worth Protecting

Status: Ongoing

เรื่อง : หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา (三寸人间)ผู้เขียน : เอ่อร์เกิน (耳根) ผู้แปล : Thunderbird Translators ค.ศ. 3029 วิทยาการบนโลกมนุษย์พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว จนแต่ละประเทศไม่มีเขตพรมแดนกั้นอีกต่อไป โลกได้ผสานรวมกลายเป็นหนึ่งเดียว เริ่มต้นยุคสมัยแห่งสหพันธรัฐ ตอนนั้นเอง กระบี่ยักษ์เล่มหนึ่งตกลงมาจากห้วงอวกาศ ปักเข้าใจกลาง ดวงอาทิตย์ ฝักกระบี่แตกออกเป็นเศษชิ้นส่วนจำนวนมาก กระจัดกระจายไปทั่ว ทั้งจักรวาลรวมถึงบนโลก และก่อให้เกิดแหล่งพลังงานรูปแบบใหม่อันไร้ขีดจำกัด พลังงานนี้มีชื่อเรียกกันว่า ปราณวิญญาณ ‘หวังเป่าเล่อ’ หนุ่มร่างท้วมผู้ทะเยอทะยาน ใฝ่ฝันจะได้เป็นผู้นำสหพันธรัฐ ด้วยหวังว่าจะไม่มีใครมารังแกเขาได้อีกต่อไป และเมื่อเดินทางเข้ามาศึกษาใน สำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ เขาก็ใช้ความรู้เหล่านั้นบวกกับความหน้าหนาหน้าทน ของตัวเอง วางกลยุทธ์อันฉลาดล้ำกำราบศัตรูคนแล้วคนเล่า ใครหน้าไหนก็ไม่อาจมาขัดขวางเส้นทางสู่การเป็นหนึ่งในใต้หล้าของชายอ้วนผู้นี้ได้ เว้นเสียแต่คำสาปประจำตระกูล ที่บอกไว้ว่าหวังเป่าเล่อจะต้องตาย หากเขาไม่ผอมลงก่อนอายุสามสิบปี ในเมื่อบรรพบุรุษร่างจ้ำม่ำมายืนรอให้เขาไปอยู่ด้วยขนาดนี้ ชายหนุ่มจึงต้องทั้งฝึกตนและลดน้ำหนักไปพร้อมๆ กัน!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท