เวลาเที่ยงวัน พระอาทิตย์ส่องแสงเจิดจ้า มีสายลมพัดมาเอื่อยๆ
ประชาชนในเมืองหลวงประจำมณฑลรู้สึกพูดไม่ออกเมื่อพวกเขาได้ยินว่าภัตตาคารไห่ปินจะกลับมาเปิดกิจการอีกครั้ง
พวกเขาเป็นคนที่มีความสุขยิ่งกว่าใครตอนที่มันปิดตัวลง
ในที่สุดอันธพาลขาใหญ่แห่งเมืองหลวงประจำมณฑลก็ถูกกำจัด!
แต่ตอนนี้กลับมีคนพยายามที่จะเปิดมันขึ้นอีกครั้ง!
ต่อให้เจ้าของจะเป็นใคร ผลลัพธ์ก็คงเหมือนเดิมมิใช่หรือ
เจ้าของคนใหม่อาจเป็นนักต้มตุ๋นอีกคนก็ได้ เขาอาจจะทำให้พ่อค้าทุกคนขยาดจนไม่กล้ามาเหยียบที่นี่ และทำให้เมืองหลวงประจำมณฑลไม่มีวันได้พัฒนา
สุดท้ายคนลำบากก็คือเหล่าชาวนาและชาวประมงนี่เอง
สิ่งเดียวที่ทำให้พวกเขาคลายความกังวลลงได้เล็กน้อยคือการที่เจ้าของภัตตาคารไห่ปินคนใหม่จะรับซื้ออาหารทะเลในราคาสูง ยิ่งกว่านั้น เจ้าของคนนั้นก็จะมาเป็นผู้ตรวจสอบคุณภาพสินค้าที่หน้าภัตตาคารต่อสายตาประชาชนเอง และจ่ายเงินให้กับพวกเขาเป็นเงินสด!
นี่เป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
ก่อนหน้านี้ พวกเขาไม่เคยได้รับเงินที่เหมาะสมจากการส่งสินค้าให้กับภัตตาคารไห่ปิน
บางครั้งจะมีสัตว์ทะเลล้ำค่าติดอวนของชาวประมงมา กุ้งมังกรตัวใหญ่มีราคากว่าห้าตำลิง แต่ภัตตาคารกลับจ่ายให้พวกเขาเพียงแค่หนึ่งตำลึงเท่านั้น
ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะการค้าขายเหล่านี้เกิดขึ้นลับหลังห้องครัว และไม่มีเบื้องบนมาสนใจ
แต่ตอนนี้พวกเขาจะจ่ายเงินให้ในทันทีต่อหน้าสายตาทุกคน มิหนำซ้ำยังยอมจ่ายในราคาสูงอีกด้วย…
มีคนจำนวนไม่น้อยที่คิดจะเปลี่ยนใจ แต่เพราะชื่อเสียงด้านลบที่เคยมี พวกเขาจึงทำเพียงแค่แอบดูสถานการณ์จากทางเข้าภัตตาคารไห่ปินเท่านั้น
เฮ่อเหลียนเวยเวยนั่งอยู่ติดหน้าต่างบนชั้นสองของภัตตาคาร นางถือถ้วยชาไว้ในมือข้างหนึ่ง ส่วนมืออีกข้างยกขึ้นเท้าคาง พร้อมกับทอดสายตามองออกไปนอกหน้าต่างด้วยดวงตาเป็นประกายราวกับดวงดาว
“ใกล้จะได้เวลาแล้ว” เฮ่อเหลียนเวยเวยยืนขึ้นแล้วบิดขี้เกียจอย่างเกียจคร้านพลางเอ่ยว่า ”เอากระทะเหล็กออกมา ไปกันได้แล้ว”
ต้าสงกับเฉินเหลียงพยักหน้าแล้วเดินเข้าไปหากระทะเหล็กใบใหญ่ แล้วพยายามช่วยกันยกมันขึ้น
แต่ก่อนที่พวกเขาจะก้มตัวลง เด็กชายตัวน้อยก็ใช้มือข้างหนึ่งหยิบมันขึ้นมาเสียก่อน เขาหันใบหน้ากระตือรือร้นของตัวเองไปทางทั้งสอง และมองพวกเขาอย่างน่ารักน่าชังพร้อมกับกัดซาลาเปาเนื้อเข้าปาก
ต้าสงกับเฉินเหลียง : …
“พวกเจ้ารออะไรอยู่” เฮ่อเหลียนเวยเวยเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งแล้วเดินเข้าไปหาพวกเขา
ต้าสงร้องไห้โฮออกมาทันที ”โฮ นายน้อย พวกข้าแพ้อีกแล้ว!” องค์ชายเจ็ดเป็นเพียงแค่เด็กตัวเล็กๆ ที่ยังเดินไม่แข็งด้วยซ้ำ แต่เขามีเรี่ยวแรงมหาศาลเช่นนี้ได้อย่างไร พวกเขาเป็นชายอกสามศอกเชียวนะ พวกเขาจะใช้ชีวิตอยู่ด้วยความอัปยศเช่นนี้ได้อย่างไร สำหรับพวกเขาแล้ว นี่ไม่ต่างอะไรจากการพ่ายแพ้อย่างหมดรูป
เฮ่อเหลียนเวยเวยหัวเราะอย่างชั่วร้าย และ ’ปลอบใจ’ ผู้ใต้บังคับบัญชาทั้งสองว่า ”ไม่เป็นไร เขายังเด็กอยู่ พวกเจ้าอายุมากกว่าเขาตั้งสิบห้าปี ต่อให้เขาจะเก่งกาจเพียงใด เขาก็แย่งคนรักของพวกเจ้าไปไม่ได้หรอกน่า”
ต้าสงกับเฉินเหลียง : …
ยิ่งนายน้อย ’ปลอบใจ’ พวกเขา พวกเขาก็ยิ่งรู้สึกว่าชีวิตของพวกเขามีแต่ความผิดพลาด
“พี่สะใภ้สาม เดี๋ยวข้าถือฟืนให้ด้วยขอรับ” องค์ชายเจ็ดกระฉับกระเฉงยิ่งนัก ตอนที่พูดเช่นนั้น เขาดูเหมือนผู้ใหญ่ในร่างเด็กไม่มีผิด
ต้าสงกับเฉินเหลีย : !!!!
“องค์ชาย วางมันลงเถอะพ่ะย่ะค่ะ ให้พวกกระหม่อมถือแทนเถอะ!”
“ใช่พ่ะย่ะค่ะ ให้พวกกระหม่อมถือเถอะ!”
พวกเขาต้องหยุดทำตัวให้เป็นที่เสื่อมเสียและแสดงคุณค่าของตัวเองออกมาให้ทุกคนเห็น!
องค์ชายเจ็ดตัวน้อยหยุดเดิน เขายืนนิ่งพร้อมกับจ้องทั้งสองอย่างดุร้ายพร้อมเอ่ยเตือนว่า ”ถือดีๆ อย่าทำฟืนของพี่สะใภ้สามตกล่ะ”
“ไม่ตกแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ พวกกระหม่อม…”
ตุ้บ!
ต้าสงกับเฉินเหลียงทำฟืนตกพื้นเพราะความรีบ พวกเขายืนตัวแข็งเป็นหินพลางมองฟืนที่กระจัดกระจายอยู่บนพื้นนั้น แล้วพูดขึ้นมาว่า ”ซุ่มซ่ามถึงเพียงนี้เชียวหรือ”
เด็กชายตัวน้อยมองพวกเขา แต่ไม่ได้สนใจที่จะตำหนิพวกเขาอีก เขาโน้มตัวลง แล้วใช้นิ้วเท้าเก็บฟืนขึ้นมาทีละท่อน ก่อนจะยกมันขึ้นพาดบ่า จากนั้นก็หอบทั้งหมดนั้นเดินออกไป
นี่คือภาพที่ปรากฏในสายตาของทุกคน เด็กชายตัวน้อยเป็นผู้เดินนำออกมาเป็นคนแรก เขาหอบฟืนเอาไว้บนบ่าข้างซ้าย ส่วนมือขวาถือกระทะเหล็กใบใหญ่ มีชายร่างยักษ์สองคนเดินตามหลังอยู่เงียบๆ ในมือของทั้งสองว่างเปล่า…
เมื่อผู้ว่าการเฉินเห็นภาพนี้ เขาก็รีบดึงบุตรชายเข้ามาหาทันที ”เหลียงจื่อ เจ้าปล่อยให้องค์ชายเจ็ดตัวน้อยถือของมากมายเพียงคนเดียวได้อย่างไร”
เฉินเหลียงพยายามอ้าปากเพื่ออธิบาย
แต่ท่านพ่อของเขากลับขัดขึ้นอย่างรวดเร็วว่า ”ต่อให้ไม่คำนึงถึงฐานะของเขา แต่เขาก็ยังเป็นแค่เด็กคนหนึ่งเท่านั้น! ข้าสอนเจ้าว่าอย่างไร เจ้าต้องรู้จักเคารพผู้หลักผู้ใหญ่ และให้ความรักใคร่เอ็นดูเด็กๆ! เจ้า เจ้าทำให้ข้าผิดหวังมาก!”
เฉินเหลียงพูดอะไรไม่ออกสักคำ แต่เขารู้สึกได้ถึงสายตาทิ่มแทงจากผู้คนที่อยู่รอบตัวได้อย่างชัดเจน สายตาผิดหวังนั้นเหมือนกับสายตาของท่านพ่อของเขาไม่มีผิด
“องค์ชายเจ็ด โปรดพูดอะไรแทนพวกกระหม่อมด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ!” เขาร้องออกมา
องค์ชายเจ็ดตัวน้อยไม่สนใจเขา เขาชี้นิ้วไปที่ปูตัวหนึ่งพร้อมกับถามเฮ่อเหลียนเวยเวยว่า ”พี่สะใภ้สาม ปูที่ท่านตาคนนั้นถืออยู่ตัวใหญ่มากเลยขอรับ ดูน่าอร่อยยิ่งนัก”
เฮ่อเหลียนเวยเวยมองตามนิ้วของเขาไป แล้วถามเรียบๆ ว่า ”ท่านตา ปูพวกนี้ท่านขายหรือเปล่า”
น้ำเสียงของนางเยือกเย็น แต่ก็เต็มไปด้วยความเคารพอย่างมาก นางทำการค้ากับเขาตามปกติ ไม่ได้ปฏิบัติกับเขาต่างออกไปเพียงเพราะอีกฝ่ายมีฐานะที่แตกต่างจากนาง
ชายชราคิดไม่ถึงว่าเจ้าของคนใหม่ของภัตตาคารไห่ปินจะเป็นใต้เท้าเว่ยผู้ที่โค่นล้มตระกูลเลี่ยว เขารู้สึกลำบากใจยิ่งนัก สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความลังเล
เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่ได้ฝืนใจเขา นางเอ่ยว่า ”ข้าให้เวลาท่านคิดก่อนก็แล้วกัน” จากนั้นนางก็หันไปอีกทางแล้วสั่งเสียงเบาว่า ”ต้าสง เฉินเหลียง เอาฟืนมาจุดไฟแล้วตั้งกระทะ”
“ขอรับ!”
ทั้งสองคนดูกระตือรือร้นเป็นอย่างมาก!
หนึ่งในนั้นรับหน้าที่รั้งองค์ชายเจ็ดเอาไว้ ในระหว่างที่อีกคนรีบจุดไฟที่ฟืนและตั้งกระทะอย่างรวดเร็ว
คราวนี้พวกเขาจะปล่อยให้องค์ชายเจ็ดขโมยงานของพวกเขาไปไม่ได้เด็ดขาด!
เรื่องนี้พิสูจน์ให้เห็นว่าต้าสงและเฉินเหลียงคิดมากไปเองขนาดไหน…
องค์ชายเจ็ดตัวน้อยไม่สนใจพวกเขาเลยแม้แต่นิดเดียว ดวงตาร้อนแรงคู่โตของเขาเบิกกว้างขณะจ้องมองปู กุ้ง และสาหร่ายสีน้ำตาลที่อยู่รอบตัวอย่างตื่นเต้น
ในหัวของเขาคิดได้อยู่อย่างเดียวว่า ของกิน! ของกินเต็มไปหมดเลย!
เปรี๊ยะ!
ฟืนท่อนแรกติดไฟแล้ว
ทุกคนเคลื่อนสายตาไปมองทางภัตตาคารไห่ปิน
ประชาชนส่วนใหญ่ยังสงสัยอยู่ว่าทำไมเฮ่อเหลียนเวยเวยถึงเอากระทะเหล็กใบนั้นออกมา
พ่อค้าสองคนก่อนหน้านี้สบตากันอย่างรวดเร็ว แล้วเอาสิ่งที่อยู่ในถังไม้ใบหนึ่งให้เฮ่อเหลียนเวยเวยดูพร้อมกับเอ่ยว่า ”นี่เป็นอาหารทะเลที่สดใหม่ที่สุดของที่นี่ขอรับ พวกเรามีปลาทะเลหนึ่งตัว กุ้งมังกรสองตัว และปูอีกสองตัวขอรับ ใต้เท้า เรื่องนี้ดูจะยุ่งยากกว่าที่พวกเราคิดเอาไว้ในตอนแรกนะขอรับ ชาวบ้านไม่เต็มใจที่จะทำการค้ากับพวกเรามากนักเพราะชื่อเสียงของภัตตาคารไห่ปิน”
“อืม ก็พอจะเข้าใจได้” เฮ่อเหลียนเวยเวยตอบอย่างใจเย็นเหมือนคิดเอาไว้แล้วว่าผลจะออกมาเป็นเช่นนี้ ”ไม่ต้องห่วง ในไม่ช้านี้จะต้องมีคนสนใจทำการค้ากับพวกเราแน่ เอาถังใบนี้ไปวางไว้หน้าเขียงซะ”
“ขอรับ!”
ทุกคนมีหน้าที่ต้องทำ แม้กระทั่งองค์ชายเจ็ดตัวน้อยก็ยังนั่งคุกเข่าอยู่กับพื้นและจ้องมอง
ปูที่กำลังไต่ไปมานั้นอย่างตั้งใจ
ตอนแรกองครักษ์เงาต่างกำลังเป็นห่วงว่าองค์ชายเจ็ดจะจับทุกอย่างที่ตัวเองเห็นเข้าปาก แต่พวกเขาก็โล่งใจเมื่อเห็นเขาในตอนนี้
จากนั้นพวกเขาก็คุกเข่าลงข้างหนึ่ง พร้อมกับรายงานว่า ”ทุกอย่างปกติดีขอรับ”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยที่อยู่ในหอน้ำชาอีกฝั่งของถนนกำลังเล่นกับถ้วยชากระเบื้องเคลือบในมือ ดวงตาดำขลับอันสง่างามมองไปรอบๆ พร้อมกับกวาดตามองฝูงชนที่อยู่ข้างล่าง จากนั้นบนใบหน้าของเขาก็มีรอยยิ้มผุดขึ้นมา เขาเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอันสูงศักดิ์ว่า ”นางเอาเครื่องครัวออกมาหน้าร้าน เจ้าเรียกการทำเช่นนี้ว่าปกติหรือ”