บทที่ 529 มัวนิ่งอึ้งอันใดอยู่ รีบตั้งกระทะทอดน้ำมันให้ข้าเดี๋ยวนี้!
“จะนำทางให้เดี๋ยวนี้!”
ผู้อาวุโสผู้ถูกโบกยิ้มแก้มปริเอาใจ ปราศจากความโกรธเกรี้ยว เขามิกล้าแสดงโทสะ โมโหใส่มัจฉาสัตมายาในตอนนี้คงต้องตายเท่านั้น
เขารีบเดินอยู่ด้านหน้าสุด เพื่อนำทางให้มัจฉาสัตมายา รุดหน้าไปยังคุกใต้ดินชั้นสิบแปด
อีกด้าน ลั่วสุ่ยวาดลวดลายมวยไทเก๊ก กฎระเบียบสูงส่งอย่างหามิได้นั้นน่าทึ่งขึ้นเรื่อย ๆ แทบมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
มู่ขุยสติหลุดลอยตั้งแต่ลั่วสุ่ยทำลายทวนสยบคีรีในหมัดเดียว เขาไม่ต้องการ และไม่กล้าสู้กับลั่วสุ่ยต่อ
ทว่าเขาไม่มีสิทธิ์ตัดสินใจในเรื่องนี้ กฎระเบียบสูงส่งอย่างหามิได้ที่สำแดงออกจากมวยไทเก๊กชักจูงเขาอยู่ตลอด เขาไม่อาจหนีไปไหนได้ ถูกพาตัวเข้าไปอย่างไม่อาจควบคุม ทำได้เพียงยอมรับการต่อสู้กับลั่วสุ่ย
นี่มิใช่พลังที่เขาต่อกรด้วยได้ ห่างชั้นกันจนเกินจินตนาการ เขาเปรียบเสมือนปลาบนเขียง ต้องยอมให้ลั่วสุ่ยเชือดเฉือน ไม่ว่าจะใช้วิชาใด หรือพลังเช่นไรก็สู้ไม่ไหวทั้งนั้น ทุกอย่างล้วนสลายหายไปเมื่อเผชิญกับมวยไทเก๊ก
นี่คือวิชามวยระดับเซียนจริงหรือ
เขาเกิดความคิดเช่นนี้ขึ้นมาอีกครั้งอย่างอดไม่ได้ เจตจำนงมวยของมวยไทเก๊กน่ากลัวเกินไป!
พรวด! พรวด! พรวด!
เลือดสาดกระเซ็น อย่าให้พูดเลยว่าตัวเขาน่าสังเวชเพียงใด ถูกอัดจนกระอักเลือดคำโต เนื้อกายเทียนตี้สุดแข็งแกร่งยังยับเยินไปหมด เลือดโชกทั้งตัว!
น่ากลัวจริง ๆ เหลือเชื่อเกินไปแล้ว วิชามวย ‘นุ่มนวล’ เยี่ยงนี้ เหตุใดถึงเปล่งพลังออกมาได้น่าสะพรึงเยี่ยงนี้!?
สุดท้ายลั่วสุ่ยเก็บหมัด จบการต่อสู้นี้ สภาพมู่ขุยอนาถอย่างยิ่ง ขืนสู้กันต่อ มู่ขุยได้สูญสิ้นชีวิตแน่
นางจำสิ่งที่เสี่ยวชีบอกนางได้ มู่ขุยต้องเหลือไว้ให้เสี่ยวชีจัดการ นางจะฆ่ามู่ขุยมิได้ แม้ว่านางอยากฆ่ามู่ขุยมากก็ตาม
“อ่อนแอจริง ๆ ต่อยมวยไปยังไม่ถึงครึ่งชุดด้วยซ้ำ…”
นางส่ายหัวเบา ๆ แต่เดิมคิดว่ามู่ขุยซึ่งอยู่ในขั้นเทียนตี้สามารถต่อสู้กับนางได้อย่างหนำใจ ให้นางได้ประจักษ์ถึงพลานุภาพของมวยไทเก๊ก ทว่าน่าเสียดาย นางประเมินความสามารถของมู่ขุยสูงไป และประเมินพลานุภาพของมวยไทเก๊กต่ำไป
หากต่อยมวยไทเก๊กจนครบชุด จักมิใช่สิ่งที่ระดับเทียนตี้รับได้ไหว!
นางตะลึงนิดหน่อย ด้วยวิชามวยไทเก๊ก นางสามารถต่อกรกับเซียนได้เชียวหรือ?
พลังของนางในตอนนี้อยู่ขอบเขตใดกันแน่!?
บรรลุเป็นเซียนแล้วหรือ?
นางไม่รู้ นับแต่นางกลายร่างเป็นมนุษย์ จนได้รับคำชี้แนะนานัปการจากคุณชาย ขอบเขตพลังของนางพุ่งทะยานต่อเนื่อง จนตอนนี้นางไม่รู้แล้วว่านางอยู่ขอบเขตไหน หรือขั้นไหนแล้ว
สิ่งสำคัญคือ ‘ขอบเขต’ ของนางในอดีตต่ำต้อยเกินไป มีความรู้ในขอบเขตสูงส่งเพียงน้อยนิด เฉกเช่นเดียวกับต้นหลิวและก้อนหิน
ส่วนขอบเขตเซียน นางยิ่งรู้น้อยขึ้นไปอีก ไม่อาจคิดไปถึงได้เลย
หลังได้ฟังวาจาของลั่วสุ่ย อย่าให้พูดเลยว่ามู่ขุยสะอึกเพียงใด นี่หรือที่ว่าฆ่าคนเฉือนใจ ถึงได้เอ่ยว่าเขาไม่อาจต้านทานวิชามวยนี้ได้แม้เพียงครึ่งชุด…
เขาคิดว่าเขาแข็งแกร่งมากแล้ว เป็นยอดฝีมือชั้นยอดในอาณาจักรอวี้ซวีมานมนาน ก้าวสู่ขั้นเทียนตี้ มือถือทวนสยบคีรี จนเขารู้สึกว่าเขาคือยอดฝีมืออันดับหนึ่งแห่งอาณาจักรอวี้ซวี ไม่มีผู้ใดทัดเทียม
แต่เขากลับพ่ายแพ้ให้กับเด็กรุ่นหลังอย่างลั่วสุ่ย ซ้ำยังถูกกล่าวหาว่าอ่อนแอ อย่าให้พูดเลยว่าจิตใจของเขาย่ำแย่ปานใด…
“เสี่ยวชีไปคุกใต้ดินแล้ว”
ลั่วสุ่ยเอ่ยเสียงเบา ตั้งจิตเพียงเสี้ยววินาทีก็รับรู้ว่ามัจฉาสัตมายาไปที่คุกใต้ดิน นางพาตัวมู่ขุยรุดหน้าไปยังคุกใต้ดิน หมายใจให้มัจฉาสัตมายาเป็นผู้จัดการมู่ขุย
สมาชิกทั้งหมดของเผ่ามัจฉาสัตมายาตาโตอ้าปากค้างกันหมด หัวใจสับสนไปหมด ลั่งสุ่ยมาจากไหน เหตุใดถึงแข็งแกร่งได้เพียงนี้!?
สมาชิกเผ่ามัจฉาสัตมายาสายมู่ขุย รวมถึงกลุ่มที่เข้าสวามิภักดิ์ต่อมู่ขุยล้วนมีสีหน้าขมขื่น พวกเขาเข้าใจดีว่าทะเลเหนือนี้ฟ้ากำลังจะเปลี่ยนสีอีกแล้ว และคราวนี้ ฝ่ายที่โชคร้ายคือพวกเขา
พวกเขาอยากหนี แต่จะหนีพ้นหรือ?
เป็นไปได้อย่างไรกัน!
เมื่ออยู่เบื้องหน้าตัวตนอันน่าพรั่นพรึงเหนือจินตนาการอย่างลั่วสุ่ย ต่อให้พวกเขาหนีออกจากทะเลเหนือไปได้ก็ไร้ผล ถูกลั่วสุ่ยจับตัวกลับมาได้ในพริบตาเดียว
คุกใต้ดินชั้นสิบแปด
“ผู้อาวุโสฮู่ ท่านทำอันใด เหตุใดถึงพาเขาเข้ามา ข้างนอกนั่นเกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่!?”
ณ ทางเข้า มีคนสกัดมัจฉาสัตมายาและผู้อาวุโสท่านนั้น เขาคือผู้เฝ้าระวังคุกใต้ดินชั้นสิบแปด ขอบเขตพลังกล้าแกร่ง เป็นถึงตี้จวินตนหนึ่ง
“อย่ามาขวางทาง รีบปล่อยให้พวกเราผ่านทาง หัวหน้ามู่ขุย…ไม่สิ ผู้อาวุโสมู่ขุยปราชัยแล้ว!”
ผู้อาวุโสท่านนั้นรีบบอก เดิมจะเรียกมู่ขุยว่าหัวหน้าเผ่า แต่นึกได้ว่ามัจฉาสัตมายาอยู่ข้างกาย เขายังเรียกหัวหน้าเผ่าอยู่อย่างนี้ไม่เหมาะสมนัก จึงเรียกเปลี่ยนจากหัวหน้าเผ่าเป็นผู้อาวุโส
ผู้เฝ้าระวังคุกใต้ดินชั้นสิบแปดไม่เชื่อ สายตาทอประกายคลางแคลงอย่างมาก “ท่านพูดเหลวไหลอะไร หัวหน้ามู่ขุยหรือจะปราชัย มิใช่ว่าท่านแปรพักตร์ไปแล้วหรือ!”
ตึง!
เขาเพิ่งเอ่ยจบประโยค ลั่วสุ่ยก็พาตัวมู่ขุยมาถึงที่นี่ นางเหวี่ยงมู่ขุยลงพื้น มู่ขุยเจ็บจนร้องลั่น
“หัวหน้าเผ่า!”
ผู้เฝ้าระวังคุกใต้ดินชั้นสิบแปดตกอกตกใจ รีบวิ่งมาหามู่ขุย ประคองมู่ขุยขึ้น เขาคิดไม่ถึงเลยว่าหัวหน้าเผ่ามู่ขุยจะพ่ายแพ้จริง ๆ ซ้ำยังพ่ายแพ้อย่างหมดสภาพ ตายแหล่มิตายแหล่!
มัจฉาสัตมายามิได้สนใจ เขาในตอนนี้รีบร้อนอยากพบหน้าพ่อแม่ เขาวิ่งเข้าไป
คุกใต้ดินชั้นสิบแปดมีห้องขังมากมาย จองจำหัวหน้าเผ่าและผู้อาวุโสทั้งหลายไว้ ส่วนพ่อแม่ของเขาถูกจับห้อยตัวไว้ที่ตรงกลางของคุกใต้ดิน เลือดเนื้อเละเหลวรวมกันทั้งตัวจนมองไม่เห็นหน้าตา ซ้ำยังมีโลหิตหยดลงมา!
“ท่านพ่อ ท่านแม่!”
มัจฉาสัตมายาวิ่งร่ำไห้เข้าไป น้ำตานองหน้า เขาคิดไม่ถึงจริง ๆ ว่าการพบหน้าพ่อแม่อีกครั้งจะเป็นไปในภาพการณ์เยี่ยงนี้!
เขารีบใช้พลังตัดเชือกที่ตรึงร่างท่านพ่อท่านแม่ แล้วค่อย ๆ วางท่านพ่อท่านแม่ลงอย่างระมัดระวัง
“ท่านพ่อ ท่านแม่ ลูกอกตัญญู!”
มัจฉาสัตมายาเอ่ยเสียงร่ำไห้ หัวใจร้าวรานเกินทน ท่านพ่อท่านแม่ของเขาอนาถาเกินไปแล้ว ถูกลอกเกล็ดออกไปทั้งหมด เลือดเนื้อเปิดเผยอยู่ข้างนอก
“ชวนเอ๋อร์ ใช่เจ้าหรือไม่ เจ้าปลอดภัยก็ดีแล้ว…”
มารดาของเขาปริปากอย่างยากลำบาก นางถูกทรมานมาอย่างแสนสาหัส สภาพของนางย่ำแย่ถึงขีดสุด ที่เหลืออยู่ในยามนี้เป็นเพียงลมหายใจสุดท้าย
นี่แหละผู้เป็นมารดา แม้ว่าตัวเองนั้นถูกทรมานเพียงใด ในใจก็ยังห่วงหาแต่เพียงลูกของตน นาทีนี้เห็นว่ามัจฉาสัตมายาไม่เป็นไร นางเผยรอยยิ้มดีใจ
“ข้ารู้อยู่แล้วว่าเจ้าตัวเล็กต้องไม่เป็นไร!”
บิดาของเขาฝืนหัวเราะออกมาหนึ่งเสียง ในใจห่วงหามัจฉาสัตมายาอยู่ตลอดเวลา เมื่อเห็นว่ามัจฉาสัตมายาปลอดภัย ในที่สุดก้อนหินในใจของเขาก็ถูกยกออกไปได้อย่างสิ้นเชิง
ลั่วสุ่ยได้เห็นท่าทางท่านพ่อท่านแม่ของเสี่ยวชีแล้ว หัวใจปวดร้าวเหลือแสน มู่ขุยโหดเหี้ยมอำมหิต ปราศจากความรู้สึกผิดชอบชั่วดี กับเผ่าพันธุ์เดียวกันยังลงมืออย่างโหดร้ายถึงเพียงนี้ น่าชิงชังจริง ๆ!
นางรีบหยิบแอปเปิ้ลออกมาสองลูก ยื่นให้ท่านพ่อท่านแม่ของเสี่ยวชี
นี่คือผลแอปเปิ้ลของต้นแอปเปิ้ลที่คุณชายปลูกในลาน แต่เดิมต้นแอปเปิ้ลต้นนั้นวิเศษสูงส่ง หลังผ่านการดูแลจากคุณชายไปแล้วระยะหนึ่ง ต้นแอปเปิ้ลนี้ยิ่งทวีความอัศจรรย์
ขอเพียงท่านพ่อท่านแม่ของเสี่ยวชีกินแอปเปิ้ลนี้เข้าไป ไม่ว่าท่านพ่อท่านแม่ของเสี่ยวชีบาดเจ็บหนักหนาปานใด ก็ฟื้นคืนสภาพได้อย่างสมบูรณ์
“ท่านลุง ท่านป้า พวกท่านกินแอปเปิ้ลก่อนเถิด!” นางเอ่ย
แอปเปิ้ลสองลูกนี้กลมกลึงฉ่ำวาว เปลือกนอกแดงสุกจนทั่ว น่ากินเป็นหนักหนา ซ้ำขุมปราณชีวิตที่แผ่ซ่านออกมานั้นมหาศาลจนเกินจะจินตนาการออก
นี่หรือคือผลเซียน?
บิดามารดาของมัจฉาสัตมายาตะลึง ขุมปราณชีวิตที่แผ่ซ่านออกจากแอปเปิ้ลสองลูกนี้เข้มข้นน่าทึ่งยิ่งกว่าโอสถเทียนตี้เสียอีก!
พวกเขามีที่มาอย่างไรกันแน่!
หัวใจมู่ขุยเต้น ‘ตึกตัก’ เขาไปยุ่งกับผู้ที่ไม่ควรยุ่งด้วยแล้วจริง ๆ นำผลเซียนออกมาสองผลได้โดยไม่คิดมาก ลั่วสุ่ยมีภูมิหลังและรากฐานเช่นไรกันแน่!?
“ท่านพ่อ ท่านแม่ พวกท่านกินเถิด นี่คือพี่ลั่วสุ่ย เป็นผู้ที่ข้านับเป็นพี่สาว รายละเอียดรอให้ท่านพ่อท่านแม่ฟื้นตัวกลับมาแล้ว ข้าค่อยเล่าให้พวกท่านฟัง”
มัจฉาสัตมายาบอกกับบิดามารดาของเขา
“ล้ำค่ายิ่ง…”
บิดามารดาของเขายังไม่อยากกินเท่าไร เพราะรู้สึกว่าออกจะเปลืองไปหน่อยหากกินจริง ๆ ถึงอย่างไรแอปเปิ้ลสองลูกนี้ก็อัศจรรย์อย่างยิ่งยวด
“จะเป็นการเปลืองได้อย่างไรเล่า! พวกท่านรีบกินเข้าเถิด!”
ด้วยการยืนกรานของมัจฉาสัตมายา สุดท้ายท่านพ่อท่านแม่ของเขาก็กินแอปเปิ้ลเข้าไปทั้งคู่
และทันทีที่พวกเขากินแอปเปิ้ลเข้าไป ประกายเจิดจ้ามากมายแวววับออกจากเนื้อตัวพวกเขา ขณะเดียวกัน ยังมีพลังอันนุ่มนวลไหลเวียนไปทั่วร่างพวกเขาอีกด้วย คอยฟื้นบำรุงร่างกายพวกเขา
“พี่ลั่วสุ่ย ท่านช่วยข้าไว้มากขนาดนี้ ข้าไม่มีสิ่งใดตอบแทน ขอเลี้ยงปลาพี่ลั่วสุ่ยสักตัวแล้วกัน”
มัจฉาสัตมายาหมายหัวมู่ขุย บอกกับลั่วสุ่ย
ลั่วสุ่ยคลี่ยิ้ม “ข้าไม่กินปลาดิบ”
“ไม่มีปัญหาพี่ลั่วสุ่ย ข้าเองอาศัยในลานเล็กมาตั้งนาน เห็นเป็นประจำย่อมได้รับความรู้มาบ้าง คิดแล้วปลาที่ข้าปรุงรสชาติคงไม่แย่เท่าใด”
มัจฉาสัตมายาหัวเราะคิกคัก
จาบจ้วงเบื้องบน ซ้ำร้ายยังลอกเกล็ด ดึงเอ็นท่านพ่อท่านแม่ของเขา มู่ขุยต้องตาย!
ลั่วสุ่ยเอ่ยยิ้ม ๆ “ก็จริง ฮ่า ๆ เช่นนั้นข้าจักตั้งตารอปลาที่เจ้าปรุง”
แม่เจ้า!
นี่จะตุ๋นเขากินหรือ?
มู่ขุยขนลุกขนพอง อย่าให้พูดเลยว่าหวาดหวั่นใจเพียงใด
อีกด้าน ผู้เฝ้าระวังคุกใต้ดินชั้นสิบแปดและผู้อาวุโสท่านนั้นก็ผงะไปเช่นกัน
มัจฉาสัตมายาอาศัยอยู่ในลานเล็กแบบใดกัน?
เห็นเป็นประจำย่อมได้รับความรู้มาบ้าง…หมายถึงการปรุงปลาหรือ
นี่มันเรื่องอันใดกัน พวกเขาอยากบอกเหลือเกินว่า เจ้าเองก็เป็นปลาตัวหนึ่ง เรียนรู้เรื่องแบบนั้นไปเพื่อกระไร!
มัจฉาสัตมายาโบกเข้าที่ศีรษะผู้อาวุโสท่านนั้น “มัวนิ่งอึ้งอันใดอยู่ รีบไปตั้งกระทะทอดน้ำมันให้ข้าเร็วเข้า!”