บทที่ 530 เจวี๋ยเนี่ยน จักรพรรดินีอนันตกาลอยู่ที่ภพเซียน!
ตั้งกระทะทอดน้ำมัน นี่คิดจะตุ๋นกันจริงหรือ?
ผู้อาวุโสท่านนั้นตกตะลึง เดิมคิดว่ามัจฉาสัตมายาแค่ขู่มู่ขุยเท่านั้น ไม่คิดเลยว่ามัจฉาสัตมายาพูดจริง ๆ
เขามิกล้ารีรอ รีบออกจากตรงนี้ไปเตรียมกระทะ ขืนมัวชักช้า เขากลัวว่ามัจฉาสัตมายาจะจับมันไปต้มด้วย!
“เจ้ามัวยืนอึ้งอะไรอยู่ ยังไม่รีบปล่อยหัวหน้าเผ่าและบรรดาผู้อาวุโสออกมาอีก!”
มัจฉาสัตมายาถลึงตาใส่ผู้เฝ้าระวังชั้นสิบแปด เอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์
ผู้เฝ้าระวังผู้นั้นได้สติในฉับพลัน รีบปิดผนึกทั้งหมดในห้องขัง หัวหน้าเผ่าและผู้อาวุโสทั้งหลายที่เคยถูกจองจำพากันเดินออกจากห้องขัง
พวกเขามีสีหน้าประหลาด คาดไม่ถึงจริง ๆ ว่าสุดท้ายแล้วผู้ที่ช่วยพวกเขาออกมาจะเป็นมัจฉาสัตมายา และพวกเขาต่างเห็นลั่วสุ่ยนำแอปเปิลสองลูกที่เสมือนผลเซียนออกมาให้บิดามารดาของมัจฉาสัตมายากิน ลั่วสุ่ยผู้นี้เป็นตัวตนลึกล้ำเกินหยั่งระดับไหนกันอีกล่ะนี่!?
“หัวหน้าเผ่า!”
มัจฉาสัตมายาทำความเคารพหัวหน้าเผ่าอย่างนบนอบ มิได้เสียมารยาทต่อหัวหน้าเผ่าเพียงเพราะเขาในตอนนี้แตกต่างจากในอดีต
หัวหน้าเผ่าดีต่อเขามาก เขาเองก็นับถือหัวหน้าเผ่ามากเช่นกัน ในใจของเขา หัวหน้าเผ่าคือหัวหน้าของเผ่ามัจฉาสัตมายาตลอดไป
“ข้าเคยเป็นห่วงเจ้า บัดนี้ดูแล้วความเป็นห่วงเหล่านั้นหาได้จำเป็นไม่ เจ้าอยู่ข้างนอกมีพัฒนาการที่ดียิ่งขึ้น”
หัวหน้าเผ่าพยักหน้ายิ้ม ๆ ให้มัจฉาสัตมายา ดีใจแทนมัจฉาสัตมายาอย่างสุดซึ้ง
“ท่านนี้คือ?”
เขาหันมองลั่วสุ่ย ให้มัจฉาสัตมายาช่วยแนะนำให้เขารู้จัก
“นี่คือพี่สาวของข้า พี่ลั่วสุ่ย ส่วนเรื่องอื่น…หัวหน้าเผ่าโปรดอภัย ข้าไม่สะดวกบอกไปมากกว่านี้”
มัจฉาสัตมายาแนะนำ มิกล้ากล่าวถึงคุณชาย
“ได้ มิเป็นไร”
หัวหน้าเผ่าคลี่ยิ้ม รู้ขอบเขตดี มิได้คาดคั้นจี้ถามให้ถึงที่สุด มัจฉาสัตมายาเอ่ยถึงขั้นนี้แล้ว คิดแล้วคงไม่สะดวกเอ่ยถึงจริง ๆ
เขาหันมองลั่วสุ่ย เอ่ยขึ้น “สวัสดี”
ลั่วสุ่ยยิ้มน้อย ๆ ตอบอย่างมีมารยาท “สวัสดีหัวหน้าเผ่า”
มู่ขุยหมอบราบอยู่บนพื้น สภาพน่าสังเวช เลือดยังไหลออกมาจากทั้งตัว เขาทอดมองหัวหน้าเผ่า เอ่ยขึ้น “แพ้เป็นเจ้า ชนะเป็นโจร ข้าไม่มีอันใดจะพูด แต่เจ้าตั้งใจให้มู่ชวนต้มข้าจริงหรือ”
เขายอมถูกฆ่าทิ้งเสียดีกว่าถูกจับไปต้ม เขากล่าวต่อ “เจ้าไม่คำนึงถึงผลกระทบบ้างเลยหรือ หากจับข้าไปต้ม จากนี้ไป มู่ชวนจะยังมีที่ยืนในเผ่าอีกหรือ ฆ่าข้าให้จบในคราเดียว เช่นนี้ดีต่อทุกฝ่าย!”
เขารู้ดีว่าเขาไม่มีทางรอดแล้ว จึงเรียกร้องขอความตายเสีย อย่างไรก็ดีกว่าถูกจับไปต้ม
หัวหน้าเผ่ามิได้เอ่ยวาจา แม้ว่าเขาเองก็อยากต้มมู่ขุยไปเสีย กระนั้นเขาก็ตระหนักดีว่าที่มู่ขุยว่ามานั้นไม่ผิด
มู่ขุยก่อความผิดชั่วช้าเกินอภัย เพื่อให้ได้ตำแหน่งหัวหน้าเผ่า ยามก่อกบฏสังหารสมาชิกเผ่าเดียวกันไปมหาศาล แต่ไม่ว่าอย่างไร มู่ขุยก็เป็นเผ่าพันธุ์เดียวกัน หากมัจฉาสัตมายาต้มกินเผ่าพันธุ์เดียวกัน ส่งผลกระทบไม่ดีจริง ๆ สมาชิกในเผ่าต้องวิพากษ์วิจารณ์มัจฉาสัตมายาอย่างแน่นอน
“ปลิดชีพให้จบเรื่องแทนเถิด”
สุดท้าย เขาหันไปบอกกับมัจฉาสัตมายา ต้องการรักษาชื่อเสียงของมัจฉาสัตมายา เขาเล็งเห็นอนาคตในตัวมัจฉาสัตมายาอย่างมาก หากอนาคตเป็นไปได้ เขาอยากให้มัจฉาสัตมายาสืบทอดตำแหน่งหัวหน้าเผ่าของเขา
“ไม่เป็นไร ข้าบอกพี่ลั่วสุ่ยไว้แล้ว จะไม่ทำตามได้อย่างไรเล่า”
มัจฉาสัตมายาฉีกยิ้ม “เขาสมควรถูกต้ม ไม่เป็นไรหรอก”
หัวหน้าเผ่าเกลี้ยกล่อมอีกครั้ง ไม่อยากให้มัจฉาสัตมายาจับมู่ขุยต้มจากใจจริง เรื่องนี้จะกลายเป็นจุดด่างพร้อยของมัจฉาสัตมายา ทำลายภาพลักษณ์มัจฉาสัตมายาเป็นอย่างมาก
เขาทำเพื่อมัจฉาสัตมายา
มัจฉาสัตมายาหยุดทำหน้ายิ้มแย้มไม่รู้ร้อนรู้หนาว เอ่ยขึ้นด้วยท่าทางขึงขังอย่างเป็นปรากฏการณ์ “สุดท้ายก็ต้องมีใครสักคนรับบทคนร้าย หัวหน้าเผ่ามิต้องพูดอันใดไปมากกว่านี้ ข้าจักเป็นคนร้ายผู้นี้เอง! แค่ฆ่าเขายังไม่พอ ต้องสร้างความน่ายำเกรงให้มากกว่านี้”
ตั้งกระทะทอดน้ำมันต้มมู่ขุย นี่มิใช่ความคิดชั่ววูบของเขา หากแต่ผ่านการพิจารณามาอย่างถี่ถ้วนแล้ว
หลังเรื่องนี้ปิดฉากลง สมาชิกที่เหลืออยู่ในเผ่าเป็นของสายมู่ขุยเสียส่วนใหญ่
เดิมทีสายมู่ขุยนั้นแข็งแกร่งกว่าสายอื่นอยู่แล้ว มีจำนวนสมาชิกมากที่สุด ยามมู่ขุยนำทัพสมาชิกสายของตนก่อกบฏ ก็ได้ฆ่าสมาชิกสายอื่นไปไม่น้อย ส่งผลให้สมาชิกสายอื่นยิ่งมีจำนวนน้อยลง
พวกเขาไม่อาจฆ่าสมาชิกสายมู่ขุยทั้งหมด ลงท้ายก็ต้องเก็บสมาชิกสายมู่ขุยไว้
และการเก็บสมาชิกสายมู่ขุยย่อมต้องมีภยันตรายหลงเหลือไว้ด้วย
ตั้งกระทะทอดน้ำมันต้มมู่ขุย มัจฉาสัตมายาทำเพื่อกำจัดภยันตรายที่อาจยังหลงเหลืออยู่นี้
มีเพียงเช่นนี้ สมาชิกสายมู่ขุยจึงจะไม่มีความคิดแปรพักตร์อีก จึงจะถูกสยบลงได้อย่างสิ้นเชิง!
การฆ่ามู่ขุยสร้างความน่ายำเกรงได้มากเช่นกัน ทว่าเทียบยมิได้เลยกับการต้มมู่ขุย
มัจฉาสัตมายาตระหนักถึงข้อนี้ดี เพราะอย่างนั้น เขาเต็มใจเป็นคนร้ายผู้นี้
เช่นนี้แล้ว เผ่ามัจฉาสัตมายาจึงจะสงบสุขได้อย่างสมบูรณ์
หัวหน้าเผ่าถอนหายใจหนักหน่วง เขาเข้าใจในความนัยของมัจฉาสัตมายาดี เกิดการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ในเผ่า จำต้องสร้างความน่ายำเกรงขึ้นอย่างมหันต์ถึงจะถูก มิฉะนั้น ไม่แน่ว่าจะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดขึ้นอีกหรือไม่
และผู้ที่เหมาะสมที่สุดในการลงมือ ย่อมคือมัจฉาสัตมายาอย่างไม่ต้องสงสัย
หากเป็นผู้อื่นในกลุ่มพวกเขาลงมือ ย่อมสร้างอิทธิพลได้ไม่เท่ามัจฉาสัตมายา
เพียงแต่ต้องลำบากมัจฉาสัตมายาแล้ว…
ต้มเผ่าพันธุ์เดียวกัน ทั้งชีวิตนี้ของมัจฉาสัตมายาคงต้องเป็นที่ครหา ยากจะลบล้างภาพลักษณ์เลวร้ายนี้ไปได้
ลั่วสุ่ยก็ถึงบางอ้อ นางขมวดคิ้วนิดหน่อย เอ่ยขึ้น “เสี่ยวชี ให้ข้าลงมือเองเถิด”
นางไม่ต้องการให้มัจฉาสัตมายาเป็นที่ครหาขนาดนี้เช่นกัน จึงอยากลงมือแทนมัจฉาสัตมายา ตุ๋นเองกินเอง!
“ไม่เป็นไร พี่ลั่วสุ่ย ข้าเป็นผู้ลงมือดีกว่า”
มัจฉาสัตมายารู้ว่าพี่ลั่วสุ่ยทำเพื่อเขา แต่อย่างที่เขาว่า เรื่องนี้ให้เขาเป็นฝ่ายลงมือดีกว่า
ลั่วสุ่ยเป็นคนนอก อย่างไรความน่าเกรงขามก็มีจำกัด สร้างความยำเกรงได้มิเท่าผู้ที่เป็นเผ่าพันธุ์เดียวกันอย่างเขา
“มีความรับผิดชอบจริง พี่มองเจ้าไม่ผิด!” ลั่วสุ่ยพยักหน้าให้มัจฉาสัตมายา
เพื่อความสงบในเผ่า มัจฉาสัตมายายินดีแบกรับคำครหา ต้องยอมรับว่ามัจฉาสัตมายามีความรับผิดชอบจริง ๆ
“ไปเถิด พี่ลั่วสุ่ยจะได้ชิมฝีมือข้าด้วย!”
มัจฉาสัตมายากลับมามีท่าทีระรื่นอีกครั้ง พร้อมหิ้วมู่ขุยไปจากที่นี่
เขาต้องการต้มมู่ขุยต่อหน้าธารกำนัล เช่นนี้จึงจะสร้างความยำเกรงได้สูงสุด
หลังออกจากคุกใต้ดิน เขาหิ้วมู่ขุยมาอยู่ที่ใจกลางลานกว้าง สั่งให้ผู้อาวุโสท่านนั้นตั้งกระทะน้ำมันที่นี่ ก่อนจะเริ่มลงมือ
มู่ขุยถูกลั่วสุ่ยทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัสอยู่แล้ว สภาพย่ำแย่ถึงขีดสุด มัจฉาสัตมายาอัดมู่ขุยจนกลับสู่ร่างเดิมได้อย่างง่ายดาย จากนั้น เขาสั่งให้ผู้อาวุโสนำดาบขั้นเทียนตี้ออกมา ลงมือทันที!
เขาช่ำชองเป็นอย่างยิ่ง แม้นมิเคยต้มปลามาก่อน แต่ใครใช้ให้คุณชายต้มทุกวันกันเล่า เขาเห็นมานักต่อนักแล้ว
เพียงแต่เรื่องที่เขาคิดไม่ถึงคือ จะมีวันที่เขาได้ต้มปลาด้วยตัวเอง…
มู่ขุยถูกฆ่าตายสนิท ดาบขั้นเทียนตี้ฟันวิญญาณมู่ขุยจนแตกดับ
มีสมาชิกเผ่ามัจฉาสัตมายาเข้ามาล้อมกันในลานกว้างมากมาย พวกเขาได้เห็นภาพนี้แล้วต่างมีสีหน้าชอบกล
ต้มเผ่าพันธุ์เดียวกันอย่างนั้นหรือ!
มัจสัตมายาทำได้อย่างไร!
พวกเขาต่างมีข้อครหาต่อมัจฉาสัตมายาในใจอย่างรุนแรง
ทว่าการต้มของมัจฉาสัตมายาสร้างความยำเกรงได้มหาศาลจริง ๆ สมาชิกมัจฉาสัตมายาทั้งหมดล้วนสะท้านใจ เกิดความหวาดกลัวต่อมัจฉาสัตมายาขึ้นมาอย่างเหลือคณา
มัจฉาสัตมายาทำได้ทุกอย่างจริง ๆ!
สมาชิกสายมู่ขุยมิกล้ามีใจเป็นอื่นอีก มัจฉาสัตมายาน่ากลัวเกินไป เลือดเย็นเกินไป เผ่าพันธุ์เดียวกันยังต้มได้ลง ชวนผวายิ่งนัก!
ผ่านไประยะหนึ่ง ปลาถูกต้มจนสุก กลิ่นหอมตลบอบอวล ลั่วสุ่ยลองชิมดูหนึ่งคำ พบว่ารสชาติใช้ได้จริง ๆ
ทว่า หากเทียบกับปลาต้มของคุณชาย ยังห่างชั้นอยู่มากโข ไม่อาจเทียบกันได้เลย
“ไม่เลว! พยายามต่อไป เอาให้ยิ่งต้มยิ่งอร่อย!”
ลั่วสุ่ยเอ่ยพลางกลั้วหัวเราะ
อะไรกันนี่
ยังจะพยายามอีกหรือ!?
พยายามตุ๋นพวกมันหรือไร
สมาชิกเผ่ามัจฉาสัตมายาต่างสั่นเทิ้มอย่างอดมิได้ ตื่นตกใจกับวาจาของลั่วสุ่ย
…
เหนืออาณาจักรทั้งปวงขึ้นไป ท่ามกลางความว่างเปล่า ภายในหมอกเซียนเลือนราง ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนอัศจรรย์สูงส่ง แสงเซียนสว่างวาบเป็นครั้งคราว วังเซียนมีให้เห็นอยู่ทั่วไป
ที่นี่คือภพเซียน!
ภพเซียนที่สิ่งมีชีวิตนับล้านใฝ่ฝันอยากมา!
“ตระกูลใหญ่ทั้งหลายเคลื่อนไหวถี่ขึ้นเรื่อย ๆ หรือว่าจะระแคะระคายถึงบางอย่าง”
ภายในวังเซียนแห่งหนึ่ง ร่างวัยกลางคนร่างหนึ่งพึมพำเสียงเบา
“เจวี๋ยเนี่ยนอยู่ที่ใด เข้ามาพบข้า”
เขาเอ่ยเสียงเบา ทว่าเสียงนั้นชัดเจนแจ่มแจ้ง ดังกึกก้องไปทั่วทั้งวังเซียน
ณ สถานที่แห่งหนึ่งในวังเซียน
สตรีงามพิไลนางหนึ่งกำลังสลักเสลาบางอย่าง หลังได้ยินเสียงนี้ ร่างของนางสะดุ้งโหยง
นางถอนหายใจยาว ดูมีท่าทีไม่เต็มใจนัก กระนั้นยังยอมวางของในมือลง อาภรณ์สีขาวพลิ้วไสว ไปจากที่แห่งนี้ มุ่งหน้าไปพบร่างวัยกลางคนร่างนั้น
นางก็คือจักรพรรดินีอันดับหนึ่งแห่งยุคอนันตกาลผู้ปราดเปรื่องไร้ผู้ใดเทียบเทียม มีชีวิตมานานถึงสิบภพสิบชาติ
และนางก็คือเจวี๋ยเนี่ยนที่ร่างวัยกลางคนกล่าวถึง
เจวี๋ยเนี่ยน คือหนึ่งในสมญานามจักรพรรดิมากมายของนาง