บทที่ 533 พี่ลั่วสุ่ยดูให้ดี เผ่ามัจฉาสัตมายามีหน้าให้คนไว้!
ณ อาณาจักรอวี้ซวี
ทะเลเหนือ
หลังจากที่พ่อแม่มัจฉาสัตมายากินแอปเปิลเข้าไปแล้ว พวกเขาก็ฟื้นฟูตัวเองกลับมาอย่างรวดเร็ว เกล็ดปลาและเส้นเอ็นเกิดขึ้นมาใหม่
กระทั่งสายเลือดของพวกเขายังได้รับการปรับปรุง สายเลือดของเขาได้รับการย้อนกลับ ไม่แตกต่างอะไรไปจากสายเลือดของบรรพบุรุษ เหนือชั้นยิ่งกว่าสมาชิกในเผ่ามัจฉาสัตมายาผู้อื่นไปไกลลิบ
“น่าอัศจรรย์เหลือเกิน!”
บิดาของมัจฉาสัตมายาอดกล่าวขึ้นมาไม่ได้ “ในร่างของข้ายังมีพลังมหาศาลจนไม่อาจจินตนาการได้อยู่อีก สายเลือดเทียบเท่าบรรพบุรุษไม่ใช่จุดสิ้นสุด ข้ารู้สึกว่าหากกลั่นพลังในร่างแล้ว สายเลือดของข้าจะพัฒนาขึ้นเหนือยิ่งไปกว่าสายเลือดของบรรพบุรุษ!”
“ท่านพ่อ ไม่ใช่แค่เพียงรู้สึก แต่เป็นความจริงอย่างแน่นอน!”
มัจฉาสัตมายากล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม นี่คือแอปเปิลที่คุณชายปลูกขึ้นมา ประสิทธิผลจะธรรมดาได้อย่างไร?
เขายังรู้สึกโล่งใจเป็นอย่างมาก ในอนาคตความสำเร็จของพ่อแม่เขาจะไม่มีวันอยู่ในระดับต่ำ เทียนตี้อาจไม่ใช่จุดสิ้นสุดของพ่อแม่เขาเสียด้วยซ้ำ
มัจฉาสัตมายาคุยกับพ่อแม่เป็นเวลานาน บอกให้พวกเขาได้รู้ว่าตนเองประสบโชควาสนาครั้งใหญ่ พ่อกับแม่ไม่จำเป็นต้องกังวลอีกต่อไป ทว่าเขาไม่ได้พูดรายละเอียดอะไรมากนัก ตัวเขาย่อมไม่มีทางกล้าพูดอะไรเกี่ยวกับคุณชาย
ท้ายที่สุดเขากับลั่วสุ่ยก็ออกเดินทาง จากทะเลเหนือไป
“พวกเราจะไปแคว้นโบราณชางเยว่กันก่อน! ที่นั่นอยู่ห่างออกไปไม่ไกล” มัจฉาสัตมายากล่าว
“ได้”
ลั่วสุ่ยพยักหน้า ก่อนมุ่งไปยังแคว้นโบราณชางเยว่พรัอมกับมัจฉาสัตมายา
ณ แคว้นโบราณชางเยว่
นี่คือแคว้นเก่าแก่ที่สุดของอาณาจักรอวี้ซวี สืบทอดกันมาอย่างยาวนาน กล่าวกันว่าสามารถตรวจสอบพบได้ตั้งแต่ช่วงก่อตั้งแรกเริ่มของอาณาจักรอวี้ซวี ภูมิหลังลึกลับเกินหยั่งถึง
เทียบกับตระกูลมัจฉาสัตมายาแล้ว แคว้นโบราณชางเยว่ถือได้ว่าแข็งแกร่งกว่า เป็นขุมกำลังที่สูงขึ้นไปอีกขั้น นับได้ว่าเป็นกองกำลังโบราณที่แท้จริงของอาณาจักรอวี้ซวี
ในตอนที่มีก้อนหินอัศจรรย์ร่วงลงมาจากท้องฟ้า ภายในอาณาจักรอวี้ซวีเกิดความวุ่นวายครั้งใหญ่ ดึงดูดกองกำลังนับไม่ถ้วนเข้ามาแย่งชิง กล่าวได้ว่าเป็นการต่อสู้ที่สามารถสะเทือนฟ้าดิน ดุเดือดอย่างหาที่เปรียบไม่ได้
ท้ายที่สุดแคว้นโบราณชางเยว่ก็สามารถยึดหินอัศจรรย์เอาไว้ได้ แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของแคว้นโบราณชางเยว่
หากแคว้นโบราณชางเยว่แข็งแกร่งไม่เพียงพอ ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะสามารถรักษาหินอัศจรรย์เอาไว้ได้ภายใต้การแย่งชิงของกองกำลังมากมาย
ใช้เวลาเพียงไม่นาน พวกเขาก็มาถึงแคว้นโบราณชางเยว่ เบื้องหน้าของพวกเขาปรากฏแคว้นโบราณอันกว้างใหญ่ไพศาล
แคว้นโบราณรุ่งโรจน์กว้างใหญ่ พระราชวังตั้งตระหง่าน พื้นที่ใหญ่โตจนไม่อาจคาดคะเน ยิ่งใหญ่ตระการตาเป็นอย่างมาก
พวกเขาลอยลงมายังพื้น ทำตัวมีมารยาท ไม่ลอยตรงเข้าไปในแคว้นโบราณ
หากลอยตรงเข้าไปในแคว้นโบราณเลย ก็นับว่าเป็นการเสียมารยาทมากเกินไป
“มีบางสิ่งไม่ถูกต้อง…”
มัจฉาสัตมายาขมวดคิ้ว นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขามายังแคว้นโบราณชางเยว่ สถานที่แห่งนี้ดูแตกต่างจากแคว้นโบราณชางเยว่ที่เขาเคยมาก่อนหน้าอย่างมาก
สภาพแวดล้อมที่นี่ย่ำแย่กว่าเดิม รัศมีฟ้าดินเบาบางลงอย่างมาก พลังที่ใช้ในการฝึกฝนก็น้อยลงเช่นเดียวกัน
“มีบางอย่างไม่ถูกต้อง”
ลั่วสุ่ยเองก็สังเกตเห็นเช่นเดียวกัน คิ้วของนางเลิกขึ้นเล็กน้อย
แม้ว่านางจะไม่เคยมาแคว้นโบราณชางเยว่ แต่ก็เคยได้ยินมัจฉาสัตมายาบอกเล่าว่าแคว้นโบราณชางเยว่แข็งแกร่งรุ่งโรจน์เพียงใด จัดได้ว่าเป็นกองกำลังชั้นบนสุดของอาณาจักรอวี้ซวีอย่างแน่นอน
แคว้นโบราณชางเยว่ที่แข็งแกร่งถึงขั้นนี้ จะต้องตั้งอยู่ในสถานที่อันพิเศษและเหนือชั้นอย่างแน่นอน รัศมีฟ้าดินและสสารสำหรับการฝึกฝนก็จะต้องสูงกว่าที่อื่นด้วย
ทว่าสภาพแวดล้อมที่นี้กลับไม่ดีเท่าไหร่นัก อย่าว่าแต่แคว้นโบราณชางเยว่เลย เกรงว่ากองกำลังชั้นสองรองลงมาก็ไม่มาตั้งรกรากที่นี่
รัศมีฟ้าดินและสสารบ่มเพาะที่นี่เบาบางเกินไป ไม่เหมาะสมที่จะฝึกฝนเป็นอย่างยิ่ง
“ข้ามาผิดที่หรือ?”
มัจฉาสัตมายาเกาหัวด้วยความสับสน ดวงตาของเขากวาดมองแคว้นโบราณไปมา
น่าแปลกใจเสียจริง เขาจำได้ว่าแคว้นโบราณชางเยว่มีรัศมีฟ้าดินและสสารฝึกฝนอยู่เปี่ยมล้นจนแทบจะสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า เหตุใดเวลาล่วงผ่านไปไม่นาน แคว้นโบราณชางเยว่จึงเลวร้ายลงถึงเพียงนี้?
ครั้งสุดท้ายที่เขามา ก็เพิ่งผ่านไปเพียงไม่กี่ปี
เวลาเพียงไม่กี่ปี สภาพแวดล้อมจะสามารถเปลี่ยนเป็นเลวร้ายถึงเพียงนี้ได้อย่างไร?
เขาไม่อยากจะเชื่อ สงสัยว่าตนเองมาผิดที่หรือไม่
“ถูกแล้ว! ที่นี่คือแคว้นโบราณชางเยว่!”
มัจฉาสัตมายามองแล้วมองเล่า เพื่อให้แน่ใจว่าไม่ข้อผิดพลาดอันใด อาคารบ้านเรือนในแคว้นโบราณชางเยว่เหมือนกับในความทรงจำของเขาทุกประการ
“ไป พวกเราเข้าไปดูด้านในเถอะ”
ลั่วสุ่ยกล่าว ก่อนจะเดินเข้ายังแคว้นโบราณชางเยว่พร้อมกับมัจฉาสัตมายา
ประตูใหญ่ของแคว้นโบราณชางเยว่เปิดกว้าง มันใหญ่โตประหนึ่งประตูสวรรค์ ทว่ากลับมีสิ่งมีชีวิตเดินทางสัญจรอยู่น้อยนิด
“นี่มันผิดปกติยิ่งนัก…”
มัจฉาสัตมายาเอ่ยเสียงแผ่ว
แคว้นโบราณชางเยว่รุ่งโรจน์ใหญ่โต มักจะมีสิ่งมีชีวิตจำนวนมากเข้าไปยังแคว้นโบราณชางเยว่เพื่อค้าขายเที่ยวชม ทุกวันเต็มไปด้วยความคึกคัก มีผู้หลั่งไหลเข้ามาไม่ขาดสาย
ทว่าตอนนี้กลับเงียบเหงาเป็นอย่างยิ่ง มีเพียงสิ่งมีชีวิตจำนวนน้อยนิด นับเป็นเรื่องแปลกประหลาดอย่างยิ่ง!
นอกจากนี้ที่แตกต่างไปจากเดิมคือ ตอนนี้ดูเหมือนว่าแคว้นโบราณชางเยว่จะไม่สามารถเข้าไปได้โดยง่าย
หากเป็นแคว้นโบราณชางเยว่ในอดีต ทหารอารักขาจะไม่หยุดอะไร ปล่อยให้สิ่งมีชีวิตต่าง ๆ เข้าออกได้ตามสะดวก
ทว่าตอนนี้สิ่งมีชีวิตหลายตนเบื้องหน้าต้องการจะเข้าไปด้านในเมือง กลับถูกทหารอารักขาหยุดเอาไว้ คล้ายกับจะถูกห้ามไม่ให้เข้าไป สิ่งมีชีวิตเหล่านั้นจึงได้แต่เดินกลับอย่างคอตก
“มีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นในแคว้นโบราณชางเยว่หรือไม่?”
มัจฉาสัตมายาอดพูดขึ้นมาไม่ได้
สภาพแวดล้อมเสื่อมโทรมลง อีกทั้งยังยากที่จะเข้าไปในแคว้นโบราณชางเยว่ เป็นไปได้หรือไม่ที่จะเกิดเรื่องบางอย่างขึ้นภายในแคว้นโบราณชางเยว่!
“แต่ถ้าหากพวกเราไม่สามารถเข้าไปได้เล่า?” ลั่วสุ่ยขมวดคิ้ว
กล่าวตามตรงแล้ว ด้วยความแข็งแกร่งในปัจจุบันของนาง ไม่มีผู้ใดสามารถหยุดยั้งนางได้ นางสามารถเข้าไปได้ทุกที่ที่นางต้องการ
ทว่านางจะไม่เริ่มใช้ความรุนแรงก่อน
แม้ว่านางจะถูกดึงดูดความสนใจด้วยหินอัศจรรย์ในแคว้นโบราณชางเยว่ นึกอยากจะนำกลับไปให้คุณชายแกะสลัก แต่นางจะไม่มีทางใช้พลังบีบบังคับเพื่อนำของมาเด็ดขาด
นางมาที่นี่เพื่อเจรากับแคว้นโบราณชางเยว่ เพื่อดูว่าแคว้นโบราณชางเยว่สามารถมอบหินอัศจรรย์ให้นางได้หรือไม่
หากไม่เต็มใจมอบให้ นางก็ไม่คิดบังคับ จะล้มเลิกและเปลี่ยนเป้าหมายใหม่
“ไม่มีปัญหาพี่สาว ข้าเป็นผู้โดดเด่นแห่งเผ่ามัจฉาสัตมายา ย่อมต้องผ่านเข้าไปได้อย่างไม่มีปัญหา แคว้นโบราณชางเยว่ยังต้องให้หน้าเผ่ามัจฉาสัตมายาบ้าง”
มัจฉาสัตมายากล่าวพร้อมตบหน้าอกตนเอง
แม้ว่าแคว้นโบราณชางเยว่จะเป็นกองกำลังลำดับต้น แต่เผ่ามัจฉาสัตมายาก็ไม่ได้อ่อนแอ ยิ่งไปกว่านั้นเผ่ามัจฉาสัตมายาของพวกเขานับได้ว่ามีความสัมพันธ์อันดีกับแคว้นโบราณชางเยว่มาโดยตลอด สนิทชิดเชื้อกันเป็นอย่างยิ่ง น่าจะสามารถผ่านเข้าไปได้
ลั่วสุ่ยพยักหน้า “ตกลง เป็นหน้าที่เจ้าแล้ว”
“พี่สาวคอยดูได้เลย!” มัจฉาสัตมายาเอ่ยออกมาอย่างมั่นใจ
จากนั้นทั้งสองก็พากันเดินไปที่ประตูสูงใหญ่
“หยุด!”
ทันทีที่พวกเขามาถึงประตู ทหารอารักขาสองคนก็หยุดพวกเขาเอาไว้
“สวัสดีทั้งสองท่าน ข้ามาจากเผ่ามัจฉาสัตมายามีนามว่ามู่ชวน มีความสัมพันธ์อันดีกับองค์หญิงชางเหยาแห่งแคว้นโบราณชางเยว่”
มัจฉาสัตมายาพูดด้วยรอยยิ้ม
เมื่อทหารอารักขาได้ยินคำว่าเผ่ามัจฉาสัตมายา ดวงตาของพวกเขาก็สว่างขึ้นทันใด
ภายในใจของมัจฉาสัตมายาลอบยกยิ้มยามเห็นดวงตาของทหารอารักขา
เขามองไปที่พี่ลั่วสุ่ย ราวกับกำลังพูดว่า ดูสิ พี่สาว ข้าพูดไม่ผิด พวกเขายังต้องไว้หน้าเผ่ามัจฉาสัตมายาอยู่!
ลั่วสุ่ยแย้มยิ้มจาง ๆ รู้สึกว่าเรื่องที่หวังไว้มีโอกาสประสบความสำเร็จ
“เผ่ามัจฉาสัตมายา อืม สามารถเข้าไปได้”
ทหารอารักขาผู้หนึ่งเอ่ยออกมา
“ขอบคุณทั้งสองท่าน”
มัจฉาสัตมายาหัวเราะ แล้วหันไปพูดกับลั่วสุ่ย “พี่สาว พวกเราเข้าไปกันเถอะ”
จากนั้นเขาก็เตรียมจะเดินเข้าไปพร้อมกับลั่วสุ่ย
“อย่าพึ่งรีบร้อน พวกเรายังพูดไม่จบเลย!”
ทหารอารักขาทั้งสองรีบหยุดมัจฉาสัตมายากับลั่วสุ่ยเอาไว้
“สามารถเข้าไปได้ แต่พวกเจ้าต้องจ่ายค่าเข้าเมือง เผ่ามัจฉาสัตมายาหรือ เป็นเผ่าใหญ่ ค่าเข้าเมืองย่อมต้องไม่น้อย คิดแล้วเป็นจำนวนหนึ่งแสนหินเทวะ”
ทหารอารักขาคนหนึ่งกล่าว
อะไรนะ!?
ค่าเข้าเมือง?
ทั้งยังเป็นจำนวนถึงหนึ่งแสนหินเทวะ?
ใบหน้าของมัจฉาสัตมายามืดครึ้มลงทันที นี่มันอะไรกัน!
เหตุใดเขาจึงไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าแคว้นโบราณชางเยว่ต้องจ่ายค่าเข้าเมืองด้วย!
อีกทั้งจากคำพูดของทหารผู้นี้แล้ว ดูเหมือนว่ายิ่งเป็นเผ่าใหญ่อย่างเผ่ามัจฉาสัตมายายิ่งต้องเสียค่าเข้าเมืองมากขึ้น!
สิ่งนี้ทำให้สีหน้าของเขาแปรเปลี่ยนในทันทีอย่างไม่อาจควบคุมได้
ก่อนหน้านี้เขาเพิ่งจะตบหน้าอกตนเองกล่าวกับพี่ลั่วสุ่ยว่า แคว้นโบราณชางเยว่ต้องให้หน้าเผ่ามัจฉาสัตมายาบ้าง จะต้องปล่อยให้เข้าไปอย่างแน่นอน!
แม้ว่าตอนนี้จะสามารถเข้าไปได้ แต่ก็ไม่เกี่ยวอะไรกับเผ่ามัจฉาสัตมายาของเขา!
ไม่สิ นับว่ามีส่วนเกี่ยวข้องอยู่ หากไม่ใช่เพราะเผ่ามัจฉาสัตมายา พวกเขาก็ไม่ต้องเสียค่าเข้าเมืองมากเพียงนี้!
บัดซบ หากไม่พูดถึงเผ่ามัจฉาสัตมายาอาจจะดีกว่านี้!
ต่อให้ต้องจ่ายค่าเข้าเมืองก็จ่ายน้อยกว่านี้!
ตอนนี้เขารู้สึกขายหน้าเป็นอย่างมาก ใบหน้าเปลี่ยนเป็นสีแดงเห่อร้อนเล็กน้อย
“เผ่ามัจฉาสัตมายาเลยนะ เผ่ามัจฉายาสัตมายาแห่งทะเลเหนือ! พวกเจ้าทั้งสองคนผิดพลาดอะไรหรือไม่?”
เขากัดฟันถามออกมา คิดว่าทหารอารักขาทั้งสองจะต้องทำอะไรผิดพลาดอย่างแน่นอน
แม้สิ่งมีชีวิตอื่นจะต้องจ่ายค่าเข้าเมือง แต่เขาที่มาจากเผ่ามัจฉาสัตมายายังต้องจ่ายด้วยอีกหรือ? ความสัมพันธ์ของเผ่ามัจฉาสัตมายาและแคว้นโบราณชางเยว่นั้นแน่นแฟ้นถึงเพียงนี้
“ใช่แล้วน้องชาย เผ่ามัจฉาสัตมายาแห่งทะเลเหนือ ข้าดูผิดไปจริง ๆ!” ทหารอีกคนกล่าวขึ้นมา
ฟังสิ่งที่ทหารกล่าวขึ้นมาแล้ว สีหน้าของมัจฉาสัตมายาก็อ่อนลง
ใช่แล้ว จะต้องเป็นข้อผิดพลาดอย่างแน่นอน เผ่ามัจฉาสัตมายายังต้องจ่ายค่าเข้าเมืองด้วยเหตุใด!
“ควรจะต้องจ่ายห้าแสนหินเทวะต่างหาก!”
ทหารคนนั้นกล่าวต่อ “เผ่ามัจฉาสัตมายาแห่งทะเลเหนือ หนึ่งในเผ่าเรืองอำนาจของอาณาจักรอวี้ซวี มีหินเทวะอยู่มากมาย จะเรียกเก็บเพียงแค่นั้นได้อย่างไร!”
บัดซบ!
นี่มันอะไรกัน!
มัจฉาสัตมายาใกล้จะเป็นบ้าเต็มที เหตุใดจึงยังขึ้นราคาอีก?
“ใช่แล้ว เผ่าเรืองอำนาจแห่งอาณาจักรอวี้ซวีย่อมไม่ขาดแคลนหินเทวะ เช่นนั้นสักหนึ่งล้านหินเทวะแล้วกัน”
ทหารอีกพูด
“ใช่แล้ว ต้องหนึ่งล้านหินเทวะ”
ค่าเข้าเมืองไม่ตายตัว ทหารทั้งสองเรียกเก็บตามอารมณ์ จึงเปลี่ยนค่าเข้าเมืองของมัจฉาสัตมายาอย่างตามใจ
“หนึ่งล้านหินเทวะ? พวกเจ้าบ้าไปแล้วหรืออย่าไร?”
มัจฉาสัตมายาเอ่ยออกมาอย่างไม่อาจอดกลั้น
เพียงแค่ค่าเข้าเมืองก็เรียกเก็บถึงหนึ่งล้านหินเทวะ นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน!
“พอใจเสียเถอะ ยังดีที่เจ้ามากับผู้ฝึกตนหญิง หากมากับผู้ชายแบบเจ้า ก็ต้องจ่ายสองล้านหินเทวะ หนึ่งล้านหินเทวะเป็นเพียงค่าเข้าเมืองของเจ้า”
ทหารอีกคนพูดต่อ “จักรพรรดิชางกล่าวเอาไว้ว่า ผู้ชายต้องเสียค่าเข้าเมือง ส่วนผู้หญิงขึ้นอยู่กับรูปลักษณ์ หากงดงามก็ไม่ต้อง คนที่ผู้ข้าง ๆ เจ้านับว่างดงามเป็นอย่างมาก ดังนั้นจึงไม่ต้องจ่ายค่าเข้าเมือง”
อะไรกัน!
มัจฉาสัตมายาเกิดความสงสัยว่าตนเองได้ยินผิดไป สีหน้าของเขาแปลกประหลาดเป็นอย่างยิ่ง
ผู้ชายต้องเสียค่าเข้าเมือง ส่วนผู้หญิงขอแค่สวยก็สามารถเข้าเมืองได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าเข้า
ช่างฉาบฉวยอะไรเช่นนี้ เลือกปฏิบัติกันด้วยเพศอย่างนั้นหรือ!?