ไท่ฮูหยินฟังแล้วก็ไม่ได้พูดอะไร
สืออีเหนียงเห็นว่าเข้าทางจึงเกลี้ยกล่อมต่อไปว่า “หากไม่มีข่าวลือเช่นนี้ ไม่ว่าจะเป็นนิสัยใจคอหรือรูปลักษณ์ของฟังซื่อก็นับว่าได้รับการปลูกฝังมาอย่างดี คู่ควรกับฉินเกอของพวกเรา หากหย่ากันจริงๆ ในภายภาคหน้าฟังซื่อคงต้องใช้ชีวิตอย่างลำบาก ฉินเกอก็อาจจะไม่สามารถหาภรรยาแบบฟังซื่อได้อีก คำว่า ‘ไม่ต้องมาเกี่ยวข้องกันอีก นั้นเป็นผลดีต่อทั้งสองฝ่าย’ ก็มีเพียงคนที่พูดไม่คิดอย่างฟังจี้เท่านั้นที่จะพูดออกมาได้ การแต่งงานเป็นเรื่องใหญ่ จะพูดง่ายๆ เช่นนั้นได้อย่างไร ยิ่งกว่านั้นสามีภรรยารักใคร่กลมเกลียวกัน สนับสนุนซึ่งกันและกัน เหตุใดต้องมาเปลี่ยนเส้นทางตอนเดินมาถึงครึ่งทางแล้วด้วยเล่า”
ไท่ฮูหยินก้มหน้าจิบชา
สืออีเหนียงยิ่งมั่นใจมากกว่าเดิม ยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านแม่ พวกเราส่งคนไปสืบที่หูโจวดีหรือไม่เจ้าคะ ดูว่าสิ่งที่ฟังซื่อพูดนั้นจริงหรือไม่ หากสิ่งที่นางพูดเป็นเรื่องเหลวไหล ก็จะเห็นได้ว่านางเป็นคนอย่างไร เมื่อถึงเวลานั้นพวกเราค่อยเอาความกับสกุลฟังก็ยังไม่สาย จากนั้นก็นำวันตกฟากของฉินเกอกับฟังซื่อมาให้ผู้เชี่ยวชาญคำนวณให้ ดูว่าสรุปแล้วดวงสมพงษ์กันหรือไม่ ข้าเคยได้ยินคนพูดว่าสตรีบางคนมีวันตกฟากที่ดี คนที่ไม่มีวาสนาจะไม่สามารถอยู่ด้วยกันได้ ไม่แน่วันตกฟากของฟังซื่ออาจเป็นคนมีวาสนา ชะตาชีวิตจึงต้องมาแต่งงานกับผู้สูงส่งอย่างสกุลสวีของพวกเรา!จากนั้นข้าค่อยไปคุยกับฟังจี้ ดูว่าจริงๆ แล้วเป็นเพียงแค่ความหุนหันพลันแล่นของเขา หรือว่าได้ปรึกษากับสกุลฟังไว้นานแล้ว ท่านแม่เจ้าคะ ท่านว่าทำเช่นนี้ดีหรือไม่”
“เช่นนั้นก็ทำตามที่เจ้าพูดเถิด!” ไท่ฮูหยินพยักหน้าเล็กน้อย สายตาจับจ้องไปที่สวีลิ่งอี๋ “เรื่องไปสืบที่หูโจวต้องมอบหมายให้เจ้าแล้ว” พูดพลางสูดหายใจเข้า “ข้าเริ่มเหนื่อยแล้วพวกเจ้าเองก็รีบพักผ่อนเถิด!” น้ำเสียงแฝงไว้ด้วยความเหนื่อยหน่ายเล็กน้อย
เรื่องนี้ทำให้คนรู้สึกหดหู่จริงๆ
สืออีเหนียงกับสวีลิ่งอี๋คำนับแล้วถอยออกไป
ป้าตู้ที่เฝ้าอยู่หน้าประตูรีบเรียกจู๋เซียงให้หยิบโคมไฟมา ส่งทั้งสองคนที่ประตูเรือนก่อนจะหันหลังกลับ
สวีลิ่งอี๋และสืออีเหนียงสองสามีภรรยาจึงได้มีโอกาสพูดคุยกันเป็นการส่วนตัว
“ฉินเกอบอกกับเจ้าว่าไม่อยากปลดภรรยาจริงๆ หรือ”
สืออีเหนียงย้อนถาม “ข้าดูเหมือนคนชอบกุเรื่องขึ้นมาอย่างนั้นหรือเจ้าคะ”
สวีลิ่งอี๋มองนางแล้วยิ้ม เห็นได้ชัดว่าไม่เชื่อคำพูดของนางเลยแม้แต่นิด
“หากท่านโหวไม่เชื่อก็ไปถามฉินเกอเองเถิด!” สืออีเหนียงถลึงตาใส่เขา
สวีลิ่งอี๋ถอนหายใจ เขาก้าวฝีเท้าช้าๆ ให้เดินอยู่ข้างๆ กับสืออีเหนียง เดินเนิ่บนาบบนระเบียงทางเดินที่เต็มไปด้วยโคมไฟสีแดง
“เดิมทีคิดว่าอ่านหนังสือพันเล่มก็ไม่เท่าเดินทางหมื่นลี้ ฉินเกออาศัยอยู่ที่ซานหยางมาช่วงเวลาหนึ่ง สิ่งที่เขาได้เห็นและได้ยินระหว่างทางจะช่วยให้เขามีการพัฒนา ตอนนี้ดูเหมือนว่าเด็กคนนี้ยังขาดไหวพริบไปหน่อย” เขาพูดช้าๆ ว่า “ในเวลานี้ไม่ใช่การขัดแย้งกันระหว่างพวกเขาสองสามีภรรยาที่จะขอร้องให้คนพูดแทนให้แล้วไกล่เกลี่ยเล็กน้อยก็จบเรื่องแล้ว ตอนนี้เป็นการขัดแย้งกันระหว่างสองสกุล แต่เขากลับพูดคำพูดเช่นนี้ออกมา” ถ้าทางผิดหวังเล็กน้อย
เพราะเหตุนี้จึงได้ขมวดคิ้วอย่างนั้นหรือ
สืออีเหนียงก็เดินช้าลงเช่นกัน เดินช้าๆ ไปตามทางคดเคี้ยวบนระเบียงทางเดินกับสวีลิ่งอี๋ “กังวลมากไปจะทำให้สับสนวุ่นวาย ท่านโหวอย่าได้คาดหวังมากเกินไปเจ้าค่ะ”
ตั้งแต่สวีซื่ออวี้ไปอยู่ที่เล่ออาน ความแตกต่างระหว่างสวีซื่อฉินกับเขาก็ค่อยๆ ชัดเจนขึ้น ไม่รู้ว่าเป็นเพราะสวีซื่อฉินยังไม่พบโอกาสในการเรียนรู้เพื่อเติบโต หรือว่าเป็นเพราะอาจารย์เจียงทุ่มเทกับสวีซื่ออวี้เป็นอย่างมาก
เมื่อนางเห็นว่าสวีลิ่งอี๋ดูท่าทางไม่มีความสุขจึงยิ้มแล้วเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “ท่านแม่มีแผนอย่างไร ท่านโหวควรจะส่งสัญญาณให้ข้าสักนิด พอข้าได้พบกับคนของสกุลฟังจะได้ปฏิบัติตัวถูก!”
เมื่อคิดถึงตรงนี้ นางก็พูดถึงเรื่องของสวีซื่ออวี้ “เดือนแปดปีนี้สวีซื่ออวี้จะเข้าร่วมการสอบระดับราชสำนักหรือไม่เจ้าคะ”
“ต้องรอให้อวี้เกอกลับไปเล่ออานก่อนแล้วค่อยว่ากัน” สวีลิ่งอี๋พูดต่อไปว่า “ก่อนหน้านี้อาจารย์เจียงส่งจดหมายมาถึงข้า เตือนให้ข้าใส่ใจกับสถานการณ์ในฝูเจี้ยน ส่วนเรื่องอื่นก็ไม่ได้พูดอะไรอีก!”
“สถานการณ์ในฝูเจี้ยน?” สืออีเหนียงประหลาดใจเล็กน้อย “สถานการณ์ในฝูเจี้ยนมีอะไรหรือเจ้าคะ”
สวีลิ่งอี๋พูดเบาๆ ว่า “อาจารย์เจียงรู้สึกว่าความเกลียดและความชอบส่วนตัวนั้นเป็นเรื่องเล็ก แต่ความปลอดภัยของครอบครัวนั้นเป็นเรื่องสำคัญ สกุลโอวแพ้เร็วเกินไป ไม่เป็นผลดีกับสกุลสวีของพวกเราเท่าไร ให้ข้าคิดหาวิธีสนับสนุนเจี่ยงอวิ๋นเฟย”
สืออีเหนียงประหลาดใจเล็กน้อย “ท่านโหวพูดคุยเรื่องสำคัญในราชสำนักกับอาจารย์เจียงอยู่บ่อยๆ หรือ”
“นับว่าเป็นโอกาสทอง ดังนั้นจึงได้พูดคุยบ้างเป็นบางครั้ง” สวีลิ่งอี๋รู้สึกว่าไม่เหมาะสมที่จะพูดคุยหัวข้อดังกล่าวในเวลานี้ ยิ้มแล้วพูดต่อว่า “จริงสิ ท่านแม่ถามถึงวันแต่งงานของเจินเจี่ยเอ๋อร์ ให้พวกเรารีบกำหนดวันโดยเร็ว!”
ผลการแข่งขันศิลปะการต่อสู้จะออกในเดือนแปด สกุลเซ่าอาจจะอยากได้โชคสองชั้น วันที่เสนอมาล้วนอยู่ในเดือนเก้าเดือนสิบ สืออีเหนียงพยายามให้เจินเจี่ยเอ๋อร์แต่งงานช้าที่สุดเท่าที่จะช้าได้ ที่เตรียมไว้กับสวีลิ่งอี๋เลยอยากจะเลือกวันในเดือนสิบ เพียงเพื่อจะได้แต่งบุตรสาวออกไปได้อย่างเชิดหน้าชูตา เตรียมรอให้แม่สื่อของสกุลเซ่ามาเร่งเร้าอีกครั้งค่อยกำหนดวันเวลาที่แน่นอน ตอนนี้สวีลิ่งอี๋ถามเรื่องนี้ขึ้นมา นางจึงคิดว่าไท่ฮูหยินมีอะไรจะกำชับ “หรือท่านแม่มีฤกษ์ในใจแล้ว?”
“ไม่ใช่อย่างนั้น!” สวีลิ่งอี๋พูดต่อไปว่า “ท่านแม่แค่อยากรู้แต่เนิ่นๆ ท่านมีของบางอย่างต้องการจะมอบให้เจินเจี่ยเอ๋อร์ หากกำหนดวันไว้แล้วก็จะได้รีบจัดเตรียมไว้”
“เช่นนั้นท่านโหวคิดว่าวันที่สิบสองเดือนสิบเป็นอย่างไรเจ้าคะ”
“เช่นนั้นก็ดี!” สวีลิ่งอี๋พูดต่ออีกว่า “ชังโจวใช้เวลาเดินทางมาถึงที่นี่ห้าถึงหกวัน พวกเราส่งคนไปรับวันที่หกเดือนสิบ ก็จะมาถึงวันที่สิบสองเดือนสิบพอดี เป็นเลขคู่ นับว่าเป็นวันมงคล”
ทั้งสองคนพูดคุยกันพลางเดินเข้าไปในเรือน
แม่นมกู้กำลังอุ้มจิ่นเกอยืนอยู่กลางลาน ส่วนสวีซื่อเจี้ยกำลังพูดคุยอะไรบางอย่างอยู่ข้างๆ เขา
เมื่อได้ยินเสียงความเคลื่อนไหว ทั้งสามคนก็หันมามอง จิ่นเกอดิ้นไปมาทันที จะวิ่งไปหาบิดามารดา “ท่านพ่อ ท่านแม่!”
สวีลิ่งอี๋กลัวว่าเขาจะสะดุดล้มจึงรีบเข้าไปอุ้มบุตรชาย “ดึกขนาดนี้แล้ว ทำไมยังไม่นอนอีก”
จิ่นเกอบุ้ยปาก ดวงตาหงส์กลมโตมีน้ำตาไหลออกมา มองสืออีเหนียงด้วยท่าทางน้อยใจเป็นอย่างมาก “ท่านแม่ เล่านิทาน!”
สวีซื่อเจี้ยเดินเข้ามาคำนับทั้งสองคน พูดขึ้นมาว่า “น้องหกจะให้ท่านแม่เล่านิทานให้ได้ พวกเราจึงมารอที่ประตูลานเป็นเพื่อนเขาขอรับ”
คงเป็นเพราะจิ่นเกองอแงไม่หยุด สวีซื่อเจี้ยคงกำลังปลอบเขา
สืออีเหนียงโอบไหล่สวีซื่อเจี้ย “พรุ่งนี้เจ้ายังต้องไปเรียน รีบไปนอนเถิด!”
สวีซื่อเจี้ยยิ้มพลางคำนับแล้วถอยออกไป
สวีลิ่งอี๋อุ้มจิ่นเกอเข้าไปในเรือน ตอนกลางคืนเขานอนอยู่ตรงกลางระหว่างทั้งสองคน ฟังสืออีเหนียงเล่านิทานเรื่องฉังเอ๋อร์เหินสู่ดวงจันทร์
กว่าจะกล่อมเขานอนได้นั้นไม่ง่ายเลย สวีลิ่งอี๋อดลูบศีรษะบุตรชายเบาๆ ไม่ได้ “ตอนเด็กๆ เจ้าให้เขานอนกับเจ้าเขาก็ไม่ยอมนอน พอตอนนี้โตแล้วกลับมานอนกับพวกเรา”
สืออีเหนียงเบาตะเกียง “ตอนเด็กๆ ยังไม่รู้ความ! ตอนนี้โตแล้วก็ย่อมอยากอยู่กับพ่อแม่…” ขณะที่พูดก็รู้สึกว่ามีมือซุกซนคู่หนึ่งยื่นมา
สืออีเหนียงรีบคว้ามือนั้นไว้ “ไม่ได้ ลูกอยู่ตรงนี้…” น้ำเสียงแผ่วเบาราวกระซิบ แฝงไว้ด้วยความเขินอาย
สวีลิ่งอี๋พลิกตัว นอนประชิดกับสืออีเหนียง “อากาศเริ่มร้อนขึ้นเรื่อยๆ แล้ว จิ่นเกอไม่ชอบอากาศร้อน ให้เขาไปนอนข้างในเถิด!”
“ข้ออ้างเจ้าค่ะ!” สืออีเหนียงแกะมือของเขาออก
สวีลิ่งอี๋ถามกลับ“ข้าจำเป็นต้องใช้ข้ออ้างด้วยหรือ”
สืออีเหนียงอดหัวเราะไม่ได้
สวีลิ่งอี๋กำชับนางเสียงเบา“พรุ่งนี้รีบกล่อมจิ่นเกอนอนเร็วๆ!”
******
เช้าวันรุ่งขึ้นฮูหยินสามมาคารวะไท่ฮูหยิน แต่ไท่ฮูหยินกับฮูหยินสองไปสำนักดาราศาสตร์ตั้งแต่ก่อนรุ่งสางแล้ว
สืออีเหนียงนั่งเป็นเพื่อนนางอยู่ที่ห้องโถงบุปผา
เมื่อเทียบกับเมื่อวาน สีหน้าของนางดูซีดเซียวอย่างเห็นได้ชัด เวลาพูดจาก็ดูเหม่อลอย
สืออีเหนียงเห็นว่าท่าทางของนางดูผิดปกติ จึงให้ซิ่งเจียวพานางไปพักผ่อนในห้อง “…ที่นั่นมีคนคอยทำความสะอาดอยู่เสมอ เปลี่ยนแค่เบาะนอนก็พอแล้ว”
ฮูหยินสามไม่ได้ปฏิเสธข้อเสนอของนาง มีจู๋เซียงเป็นคนคอยปรนนิบัติรับใช้ กลับไปเรือนที่นางเคยอยู่พร้อมกับซิ่งเจียว
สืออีเหนียงให้สวีซื่ออวี้ที่มาคารวะนางอยู่ต่อ “เมื่อวานทั่นฮวามาเยี่ยมพ่อของเจ้า…” นางบอกกับเขาเรื่องจุดประสงค์การมาของฟังจี้ “…พ่อของเจ้าเป็นผู้อาวุโส บางอย่างก็ไม่อาจถามได้ ช่วงนี้ทั่นฮวาคงยุ่งอยู่กับการไปเยี่ยมอาจารย์และสหายร่วมชั้นเรือน วานเจ้าไปที่จวนรองเจ้ากรมหลิว เชิญทั่นฮวามาพูดคุยให้ข้าที”
สีหน้าของสวีซื่ออวี้เต็มไปด้วยความประหลาดใจ ผ่านไปพักใหญ่กว่าจะได้สติกลับมา ขานรับอย่างนอบน้อม “ขอรับ” จากนั้นก็อดถามไม่ได้ว่า “เช่นนั้นพี่ใหญ่ว่าอย่างไรบ้าง”
ไม่ปลดภรรยาเด็ดขาด!
แม้ว่าทัศนคติที่แสดงออกมาจะมีความรับผิดชอบต่อภรรยา แต่กลับขัดต่อความปรารถนาของมารดา
สืออีเหนียงรู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่ควรให้นางเป็นคนบอกสวีซื่ออวี้ “เจ้าหาเวลาไปเยี่ยมฉินเกอ เกลี้ยกล่อมเขาสักหน่อย”
สวีซื่ออวี้รับคำแล้วถอยออกไป ป้าซ่งเดินเข้ามา
“ฮูหยิน บ่าวได้ยินข่าวร้ายมา ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องจริงหรือเท็จเจ้าค่ะ” นางกระซิบกระซาบกับสืออีเหนียงว่า “ซิ่งเจียวบอกว่าคุณชายสามกลับมาจากซานหยางอย่างกะทันหันวันนี้ตอนเช้าตรู่ แล้วยังนำเครื่องแบบทางการกับเกี้ยวขุนนางกลับมาด้วย”
มิน่าเล่าฮูหยินสามถึงได้มาช้า
ดูท่าทางแล้ว เกรงว่าเรื่องราวไม่ค่อยดี ถ้าหากได้เลื่อนตำแหน่ง คุณชายสามกับฮูหยินสามจะนิ่งเงียบเช่นนี้ได้อย่างไร! ถ้าหากไม่ได้เลื่อนตำแหน่งแล้วจะนำเครื่องแบบทางการกับเกี้ยวขุนนางกลับมาทำไม…หรือว่าไม่ต้องกลับไปแล้ว?
เมื่อคิดได้เช่นนี้สืออีเหนียงก็เหงื่อแตกพลั่ก
หากไม่ใช่คนพวกเดียวกันก็คงจะอยู่ด้วยกันไม่ได้ ถ้าหากลาออกจากตำแหน่งจริงๆ คิดหรือว่าการหลบอยู่ในตรอกซานจิ่งเช่นนี้จะสามารถแก้ไขปัญหาได้?
สืออีเหนียงกำชับป้าซ่ง “ลูกท้อขาวกับผลอิงเถาที่ในวังพระราชทานมาใหม่ อีกสักครู่เจ้าแบ่งไปอย่างละเล็กละน้อย เอาไปเยี่ยมคุณนายน้อยใหญ่ จากนั้นก็สังเกตดูว่าคุณชายสามอยู่ในเรือนหรือไม่”
สีหน้าของป้าซ่งเต็มไปด้วยความประหลาดใจ ใช้เวลาอยู่พักใหญ่กว่าจะยิ้มออกมา “เจ้าค่ะ”
แต่ว่าเวลายังไม่ทันถึงสองถ้วยน้ำชาด้วยซ้ำ ป้าซ่งก็ย้อนกลับมา “ฮูหยิน ท่านโหวกับคุณชายสามกำลังคุยกันอยู่ที่ห้องหนังสือเรือนนอกเจ้าค่ะ!”
หากพูดเช่นนี้แสดงว่าตนเข้าใจคุณชายสามผิดไป
“เจ้าไปดู คิดหาวิธีสืบมาว่าเหตุใดคุณชายสามถึงได้กลับมาเยี่ยนจิง!”
ป้าซ่งย่อเข่าคำนับแล้วถอยออกไป
สืออีเหนียงเอนหลังพลางครุ่นคิดอยู่บนเตียงเตาอยู่พักใหญ่
จากนั้นป้าซ่งที่กึ่งวิ่งกึ่งเดินก็เข้ามาในเรือนหลักด้วยสีหน้าตื่นตระหนกเล็กน้อย
“ฮูหยิน บ่าวไปสืบมาชัดเจนแล้วเจ้าค่ะ” นางรีบพูดต่อว่า “บอกว่าคุณชายสามให้คนอื่นยืมเงินแล้วถูกฟ้องร้อง เบื้องบนเห็นแก่ท่านโหวกับอาจารย์เจียง จึงให้คุณชายสามขอลาออกด้วยตัวเอง คุณชายสามจึงลาออกแล้วกลับมาเจ้าค่ะ”
พอได้ดิบได้ดีก็ถูกคนฟ้องร้อง!
สืออีเหนียงรู้สึกว่าคุณชายสามมักจะระมัดระวังตัวมาเสมอ ก็ไม่น่าจะทำอะไรที่จะกระทบต่อชื่อเสียงของเขาจนทำให้ต้องตกงาน
สืออีเหนียงนึกถึงฮูหยินสาม…
ขณะที่กำลังคิดว่าจะไปพูดคุยกับฮูหยินสามดีหรือไม่ ไท่ฮูหยินกับฮูหยินสองก็กลับมาพอดี
สืออีเหนียงรีบแจ้งฮูหยินสาม ทั้งสองคนไปต้อนรับที่หน้าประตูฉุยฮวาด้วยกัน
เมื่อไท่ฮูหยินเห็นฮูหยินสามก็พูดเสียงเรียบว่า “มาแล้วหรือ”
ฮูหยินสามรีบเข้าไปจะพยุงไท่ฮูหยินขึ้นรถลาก ไท่ฮูหยินกลับวางมือลงบนไหล่ของฮูหยินสอง ให้ฮูหยินสองเป็นคนประคองขึ้นรถลาก