“อีกอย่างหนึ่ง” หนึ่งในผู้อาวุโสเหล่านั้นเงียบไปครู่หนึ่งก่อนลอบมองใบหน้าด้านข้างของฮ่องเต้พลางเอ่ยต่อ ”นางยังเป็นพระชายาขององค์ชายสามด้วยพ่ะย่ะค่ะ…”
มือที่ฮ่องเต้ใช้ถือยาอายุวัฒนะเอาไว้สั่นเล็กน้อย จากนั้นเขาจึงค่อยๆ กำมันแน่น ”เจ้าแน่ใจหรือว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยถูกวิญญาณสิงอยู่จริง”
“มีความเป็นไปได้ถึงแปดส่วนเชียวล่ะพ่ะย่ะค่ะ” ผู้อาวุโสเฟิงเริ่มยิ้ม ”ส่วนจะเป็นความจริงหรือไม่นั้น พวกเราจะมั่นใจได้ก็ต่อเมื่อได้ลองทดสอบดูเท่านั้น”
ฮ่องเต้ลดสายตาลง แล้วจิบชาก่อนจะพูดว่า ”เราจะทำการทดสอบได้ด้วยวิธีใดหรือ”
“ในวันอภิเษกสมรสขององค์ชายสาม มีการนิมนต์พระสงฆ์จำนวนสิบแปดรูปจากวัดหลิงอิ่นมาเพื่อสวดมนต์อวยพรให้เขา หากไม่ใช่เพราะได้กิเลนอัคคีช่วยไว้ เฮ่อเหลียนเวยเวยจะต้องเผยร่างที่แท้จริงของตัวเองออกมาอย่างแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ” ผู้อาวุโสเฟิงลดเสียงลง แล้วเอ่ยต่อ ”ทำไมฝ่าบาทไม่ลองทำเช่นนั้นดูอีกสักครั้งล่ะพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้มองเขาด้วยสายตาเย็นชา และตอบว่า ”เจ้าคิดว่าเจ้าสามารถปิดไม่ให้องค์ชายสามรู้เรื่องที่เราจะนิมนต์พระสงฆ์ทั้งสิบแปดรูปนั้นมาที่เมืองหลวงได้หรือเปล่า”
“ฝ่าบาทอย่าทรงเป็นกังวลไปพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเตรียมข้ออ้างที่ฟังดูมีเหตุผลเพื่อจุดประสงค์นั้นเอาไว้แล้ว” ผู้อาวุโสเฟิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ จากนั้นจึงพูดต่อว่า ”ช่วงนี้มีเรื่องมากมายเกิดขึ้นในวังหลวง กระหม่อมได้ยินจากผู้ใต้บังคับบัญชามาว่ามีสาวใช้ในวังหลวงหลายคนหายตัวไปอย่างลึกลับอยู่เสมอ ยิ่งกว่านั้นยังไม่มีแม้กระทั่งซากศพเลยด้วยซ้ำ เราสามารถใช้เหตุการณ์นี้เป็นข้ออ้างในการนิมนต์พระสงฆ์เข้ามาสวดมนต์ปัดเป่าโชคร้ายในวังหลวงได้พ่ะย่ะค่ะ หากทำเช่นนี้องค์ชายสามย่อมไม่รู้สึกผิดสังเกต อดีตฮ่องเต้ก็เริ่มทำการตรวจสอบเรื่องนี้แล้วเหมือนกันพ่ะย่ะค่ะ ในเมื่ออย่างไรมันก็ต้องถูกสอบสวนไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ทำไมเราจึงไม่เป็นฝ่ายที่ตรวจสอบเรื่องนี้เสียเองล่ะพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมพูดถูกหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท”
ฮ่องเต้หมุนยาอายุวัฒนะที่อยู่ในมือ แล้วเอ่ยว่า ”เจ้ากำลังบอกข้าว่าอดีตฮ่องเต้ส่งคนออกไปตรวจสอบเรื่องการหายตัวไปของสาวใช้ในวังหลวงแล้วหรือ ทำไมข้าถึงไม่ได้รับรายงานเรื่องนี้ล่ะ”
“เป็นเพราะมันยังไม่มีการเคลื่อนไหวที่ชัดเจนพ่ะย่ะค่ะ” ผู้อาวุโสเฟิงตอบ จากนั้นเขาจึงโน้มตัวเข้าไปใกล้อีกฝ่ายและบอกว่า ”อดีตฮ่องเต้มักทำอะไรโดยไม่บอกใครเช่นนี้อยู่เสมอ หากไม่ใช่เพราะข้อมูลที่เราได้มาจากข้างกายเขาละก็ การที่อดีตฮ่องเต้มีเจตนาเข้ามายุ่งเกี่ยวกับปัญหาภายในวังหลวงนี้ย่อมเล็ดลอดสายตาทุกคนไปได้อย่างแน่นอน ที่เขาทำเช่นนี้ก็อาจจะเพราะต้องการช่วยให้องค์ชายสามสามารถกลับมาตั้งตัวได้โดยง่ายก็เป็นได้ การที่องค์ชายสามปลอมตัวไปที่เมืองหลวงประจำมณฑลก็ได้รับเสียงตอบรับจากประชาชนเป็นอย่างดี เขาส่งผู้ใต้บังคับบัญชาของตัวเองเข้าไปอยู่ในกรมทั้งหกได้จำนวนไม่น้อยทีเดียว หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป กระหม่อมเกรงว่าสถานการณ์จะบานปลายจนยากจะควบคุมพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท”
ฮ่องเต้มองเปลวเทียนที่ไหวน้อยๆ นั้นพร้อมกับหรี่ตาลง แล้วบอกว่า ”เอาล่ะ เช่นนั้นก็จัดการตามแผนการที่ผู้อาวุโสทั้งสามว่ามาก็แล้วกัน ลองดูว่ามันจะได้ผลหรือไม่”
“พ่ะย่ะค่ะ”
ผู้อาวุโสทั้งสามมองหน้ากัน สีหน้ายินดีแฝงไปด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของพวกเขา…
ตอนดึกคืนนั้น
เหล่าผู้อาวุโสแยกกันขึ้นรถม้าทันทีที่ออกจากวังหลวง
ไม่มีใครสังเกตเห็นจุดเล็กๆ สีดำที่อยู่ด้านหลังคอของหนึ่งในผู้อาวุโสแม้แต่คนเดียว
จุดสีดำจะปรากฏขึ้นบนร่างของคนที่ถูกวิญญาณร้ายสิงสู่เท่านั้น
เงาสองเงาส่ายไหวไปมาอยู่ใต้ฝ่าเท้าของชายคนหนึ่งภายใต้แสงจันทร์ มันดูน่าสะพรึงกลัวจนสุดจะพรรณา
“นายท่านขอรับ ในเมื่อแผนการของพวกเราเป็นไปอย่างราบรื่นเช่นนี้ อีกไม่นานนางก็จะตื่นขึ้นมาใช่ไหมขอรับ” เด็กชายตัวน้อยที่สะพายขวดน้ำเต้าขนาดมหึมาเอาไว้บนหลังถามพลางเงยหน้าขึ้นมองชายหนุ่มในชุดสีขาว
ชายคนนั้นขยับเข้าไปใกล้ แล้วลูบศีรษะของเด็กชาย ”แค่นี้ยังไม่พอที่จะทำให้นางตื่นได้”
“จำเป็นต้องมีอะไรอีกหรือขอรับ” เด็กชายตัวน้อยกะพริบตา
ชายคนนั้นหัวเราะออกมาเบาๆ ”ขบวนแห่ราตรีร้อยอสูร”
ซ่าซ่า
หยาดฝนตกกระทบกับอีกด้านของหน้าต่าง
เฮ่อเหลียนเวยเวยมองดูตัวเองเดินเข้าไปในพระราชวังแห่งหนึ่งอย่างใจลอย มันเป็นสถานที่ที่นางไม่เคยไปมาก่อน ที่แห่งนั้นมีแม่น้ำอยู่สายหนึ่ง มันลึกจนมองไม่เห็นก้นแม่น้ำ และยังส่งกลิ่นที่นางไม่สามารถอธิบายเป็นคำพูดออกมาได้
กลิ่นนั้นช่างคุ้นเคยยิ่งนัก
ในกลิ่นหวานปนเค็มนั้นมีกลิ่นของสนิมแทรกอยู่ด้วย กลิ่นนั้นปกคลุมไปทั่วอากาศ และทำให้รู้สึกอึดอัดอย่างมาก
เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่รู้ว่านางเดินมาถึงที่แห่งนี้ได้อย่างไร นางอยากเรียกหยวนหมิงออกมา แต่ไม่นานหลังจากนั้นนางก็ตระหนักได้ว่านางไม่สามารถเปิดมิติสวรรค์ได้
รอบตัวนางไม่มีร่องรอยของมนุษย์เลยแม้แต่คนเดียว ไม่มีแม้กระทั่งเจ้าเจ็ด
นอกจากเฮ่อเหลียนเวยเวยคนที่นางเคยฝันถึงก่อนหน้านี้
นางกำลังมองนางยืนน้ำตาคลออยู่ริมฝั่งแม่น้ำ
แต่เพียงเสี้ยววินาที นางก็มาปรากฏกายอยู่ตรงหน้าของนาง ใบหน้านั้นซีดราวกับกระดาษ นางแผดเสียงขึ้นว่า ”ทำไม ทำไมเจ้าไม่ยอมคืนร่างให้ข้า ทำไม!”
เฮ่อเหลียนเวยเวยยังคงเงียบ แล้วปล่อยให้นางร้องห่มร้องไห้ออกมาอยู่เช่นนั้น ดวงตาของนางยังเป็นประกายแจ่มใสเช่นเดิม
ดูเหมือนว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยอีกคนหนึ่งคิดไม่ถึงว่านางจะใจเย็นถึงเพียงนี้ นางค่อยๆ หรี่ตาลง แล้วอ้าแขนกอดรอบตัวของเฮ่อเหลียนเวยเวยไว้พร้อมกับบอกว่า ”เจ้าไม่มีทางหนีข้าพ้นหรอก เจ้าจัดการทุกคนได้ แต่เจ้าจัดการข้าไม่ได้ เพราะร่างกายนี้เป็นของข้า และมันจะเป็นของข้าตลอดไป!”
แขนที่พันอยู่รอบตัวนางเหมือนกับรยางค์ของสิ่งมีชีวิตที่นางไม่รู้จัก ไม่ว่านางจะพยายามดิ้นให้เป็นอิสระเพียงใดก็ไม่เป็นผล
เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้สึกเหมือนมีอะไรค่อยๆ ท่วมขึ้นมาถึงเอวของนาง
ทันทีที่นางมองดูให้ดีอีกครั้ง จึงพบว่าตัวเองกำลังยืนอยู่กลางแม่น้ำสีแดงอมน้ำตาลสายนั้น อีกทั้งมือของนางก็ยังถูกมืออันงดงามคู่หนึ่งพยายามกระชากลงไปในแม่น้ำ
“พี่สะใภ้สาม พี่สะใภ้สาม!”
ทันใดนั้นเฮ่อเหลียนเวยเวยก็ลืมตาขึ้น ใบหน้าเยาว์วัยของเจ้าเจ็ดปรากฏขึ้นตรงหน้าของนาง เขาพิงหัวเตียงพร้อมกับมองนางด้วยความเป็นห่วง
คนที่ยืนอยู่ข้างหลังนางคือไป๋หลี่เจียเจวี๋ยที่เพิ่งกลับมาถึง เขายังสวมเสื้อคลุมขนสัตว์ชื้นน้ำฝนอยู่
เขายื่นมือออกมาจัดผมหน้าม้าของนางพร้อมกับถามว่า ”เจ้าฝันถึงอะไรหรือ”
“ไม่มีอะไร” เฮ่อเหลียนเวยเวยยื่นแขนออกไปกอดเอวอันแข็งแรงของเขาพร้อมกับฝังใบหน้าของตัวเองเข้ากับหน้าอกนั้น นางใจเย็นลงมากทีเดียว ”ข้าไปนอนต่อล่ะ ยังรู้สึกง่วงอยู่เลย”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยหลีกทางให้พร้อมกับมองนางด้วยสายตาลึกล้ำ จากนั้นจึงบอกกับเด็กชายตัวน้อยที่ยืนอยู่ว่า ”เจ้าเจ็ด กลับไปนอนได้แล้ว”
“ข้าอยากนอนกับพี่สามแล้วก็พี่สะใภ้สามขอรับ” เด็กชายบอก ”ข้าไม่อยากนอนบนเตียง เตียงนุ่มเกินไปสำหรับข้าขอรับ ข้าจะนอนบนพื้นตราบใดที่พี่สามไม่เหยียบท้องของข้าเข้า”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยชำเลืองมองเขา ”เจ้าอยากจะถอดกางเกงแล้วออกไปเต้นระบำอีกหรือ”
“ไม่ขอรับ!” เด็กชายผุดลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว แล้วกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งเครียดว่า ”ข้าจะกลับไปนอนที่เตียงขอรับ ข้าเองก็เพิ่งจะกลับมาถึงวังหลวงได้ไม่นาน ทางข้าก็มีแต่เรื่องวุ่นวายเช่นกันขอรับ ท่านไม่ต้องมาตามหาตัวข้านะขอรับ พี่สาม ข้าไปล่ะ!”
ทันทีที่พูดจบ เด็กชายตัวน้อยก็รีบเดินออกไป
เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้สึกขำเมื่อเห็นสิ่งที่เกิดขึ้น
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเชยคางนางขึ้น แล้วเอ่ยว่า ”มีคนพยายามจะยึดร่างเจ้าหรือ”
เฮ่อเหลียนเวยเวยตกใจ นางเรียกหยวนหมิงออกมาทันที
หยวนหมิงยักไหล่พร้อมกับบอกว่า ”สามีของเจ้าฉลาดจนยากจะหยั่งถึง ข้านึกไม่ถึงเลยว่าเขาจะเดาออกตั้งแต่ครั้งแรกเช่นนี้ แต่จะว่าไป เจ้าว่ามันไม่แปลกหรือ เวลาที่เจ้าฝันร้าย อีกฝ่ายจะไม่อาละวาดหากมีเขาอยู่ใกล้ๆ ดูอย่างวันนี้สิ ฝันในวันนี้ของเจ้าจัดว่าอันตรายอย่างมากเพราะแม้แต่ข้าก็ยังไม่สามารถเข้าไปในความฝันของเจ้าได้ แต่ระดับน้ำในแม่น้ำกลับลดลงทันทีที่เขาเข้ามา เจ้าไม่คิดว่ามันแปลกหรือ”
“สิ่งเดียวที่อยู่ในหัวข้าตอนนี้ก็คือ เขารู้เรื่องนี้ได้อย่างไร” เฮ่อเหลียนเวยเวยจ้องหน้าหยวนหมิง
ทันทีที่นางกลับออกมาจากมิติสวรรค์ และสบเข้ากับสายตาของไป๋หลี่เจียเจวี๋ย นางก็ตอบตามความจริงว่า ”ใช่ มันอยู่ในความฝันของข้า”
“การครอบครองวิญญาณของเจ้าดูเหมือนจะยังไม่สมบูรณ์” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยโอบนางเข้าสู่อ้อมแขน พร้อมกับพาดคางของตัวเองไว้บนผมของนาง เขาดูเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรอยู่…