ในคืนนั้นตระกูลหนิงดำเนินการกวาดล้างภายในครั้งใหญ่และโหดเหี้ยมนองเลือดมากที่สุดที่เคยมีมาในประวัติศาสตร์
ในค่ำคืนนั้น เสียงฝีเท้าดังไปทั่ว ทุกแห่งล้วนเต็มไปด้วยเสียงกรีดร้อง ทุกที่ล้วนเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก
ไม่ต้องรอให้ถึงวันถัดไป หัวหน้าตระกูลรุ่นก่อนก็จัดการหนิงเซ่าอวี่ทันที
หนิงเซ่าอวี่ถูกทำลายวรยุทธ์ ใส่โซ่ตรวนที่แขนขา และถูกส่งเข้าไปในต้าฮวง[1] นับตั้งแต่นี้ไม่สามารถออกจากต้าฮวงได้ชั่วชีวิต เฝ้าดูแลสุสานตระกูลหนิงอยู่ในดินแดนต้าฮวงที่บรรพชนทิ้งเอาไว้ให้
ในคืนนั้น หนิงเซ่าอวี่ที่ถูกกุมตัวก็อยู่ระหว่างทางไปต้าฮวง
ตอนเขาเดินทางไป หนิงเหล่าเหยียไม่เพียงแต่จะไม่พบหน้าเขาเป็นครั้งสุดท้าย แต่ยังจงใจให้คนหลุดปากบอกเซี่ยซื่อที่กำลังกินเจสวดมนต์ในวัดประจำตระกูลรู้อีกด้วย
ค่ำคืนเช่นนี้ มั่วเชียนเสวี่ยจะหลับอย่างสงบได้อย่างไร ย่อมต้องตื่นขึ้นมาแต่เช้า
ตื่นขึ้นมาก็เรียกกุ่ยซามาสอบถาม เพื่อทำความเข้าใจเรื่องราวเมื่อคืนคร่าวๆ
อยากจะไปหาหนิงเซ่าชิงมาก แต่ก็รู้ว่าตอนนี้เขาที่เหนื่อยมาทั้งคืนกำลังพักผ่อนอยู่
ในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้ เขาก็ไม่มีทางและไม่สามารถมาพักกับนางได้
ด้วยความสงสาร จึงอยากจะต้มข้าวต้มบำรุงสุขภาพให้เขาด้วยตนเอง แต่สภาพแวดล้อมไม่อำนวยให้ทำเช่นนั้น
เรือนข้างไม่มีห้องครัวเล็ก จวนหนิงยังไม่ถึงเวลาที่นางเอ่ยแล้วทุกคนต้องทำตาม ไปต้มข้าวต้มที่ห้องครัวใหญ่ตามใจชอบได้เช่นไร
คนที่รู้ก็บอกว่านางสงสารหนิงเซ่าชิง ไม่รู้ก็บอกว่านางเป็นปีศาจจิ้งจอกที่ยังไม่ทันจะแต่งงานเข้าตระกูลมาก็ไปเอาอกเอาใจสามีในอนาคตก่อนเสียแล้ว
มั่วเชียนเสวี่ยที่จิตใจไม่สงบเล็กน้อยหาหนังสือมาอ่านเล่มหนึ่ง หวังว่าจะสามารถเบี่ยงเบนความสนใจได้บ้าง รอหนิงเซ่าชิงตื่นแล้วค่อยไปหาเขา
แต่ด้านนอกกลับมีเสียงฉือหมัวมัว หมัวมัวข้างกายฮูหยินผู้เฒ่าดังลอยมา บอกว่าฮูหยินผู้เฒ่าเชิญนางไปกินอาหารเช้าด้วยกัน
ฮูหยินผู้เฒ่าเชิญนางไปกินอาหารเช้าด้วยกัน เป็นการให้เกียรตินางอย่างยิ่ง และยอมรับในตัวนางเช่นกัน นางไม่สามารถปฏิเสธได้
ภายใต้การปรนนิบัติของชูอีและจื่อฉิง ก็ผลัดอาภรณ์ เตรียมตัวเรียบร้อยอย่างรวดเร็ว
เพราะการตายของทูตทั้งสองชนเผ่า อวี่เสวียนถูกทิ้งไว้อยู่เป็นเพื่อนชังมู่ที่บ้านไร่ สืออู่ต้องเฝ้าเรือน
ครั้งนี้มั่วเชียนเสวี่ยจึงพาชูอีกับจื่อฉิงที่หนิงเซ่าชิงมอบให้นางมาปรนนิบัติสองคน
กลัวว่าหนิงเซ่าชิงตื่นขึ้นมาแล้วจะร้อนใจเพราะหานางไม่เจอ มั่วเชียนเสวี่ยจึงให้ชูอีเฝ้าเรือนข้าง และนำจื่อฉิงมุ่งหน้าไปยังเรือนฉือหย่างของฮูหยินผู้เฒ่า
เรือนฉือหย่างที่ฮูหยินผู้เฒ่าพำนักห่างจากเรือนหลักที่มั่วเชียนเสวี่ยพักชั่วคราวเป็นระยะทางหนึ่ง สองครั้งก่อนล้วนมีหนิงเซ่าชิงพานางไป ตลอดทางทั้งสองคนก็สนทนากันอย่างเบิกบานใจ ทำให้นางไม่ได้รู้สึกว่าเดินไกล เดินเป็นเวลานานเท่าใด
นางมัวแต่สนทนากับหนิงเซ่าชิง ไม่ได้ตั้งใจมองเส้นทางที่ผ่านไป
ครั้งนี้จื่อฉิงเป็นคนพานางมา จื่อฉิงเฉลียวฉลาดมาก ช่างสังเกต แต่กลับเป็นสาวใช้ที่พูดน้อยมาก การกระทำและความประพฤติเหมาะสม ไม่ธรรมดาเป็นอย่างมาก แค่มองก็รู้แล้วว่าเป็นสาวใช้ที่ผ่านการฝึกฝนในตระกูลใหญ่มา
จื่อฉิงเดินนำทางไม่เร็วไม่ช้าอยู่ข้างหน้า มั่วเชียนเสวี่ยตามอยู่ข้างหลัง เดินไป พลางสังเกตรอบด้านไป
ไม่มีหนิงเซ่าชิงอยู่ข้างกาย เดินอยู่ในจวนหนิง ต้องระวังไว้หน่อยจะดีกว่า
ต้นไม้เก่าแก่ที่สูงตระหง่าน หินประหลาดที่เรียงตัวกันราวกับป่าเขา ล้อมรอบไปด้วยหุบเขาและสายน้ำ เส้นทางระเบียงทางเดินคดเคี้ยวไปมา ครั้งนี้ นางเก็บภาพวิวทิวทัศน์ตลอดทางไว้ในสายตา
ตระกูลหนิงสมกับเป็นตระกูลที่มั่งคั่งเป็นอันดับหนึ่งที่ควบคุมการเงินในเทียนฉี ทัศนียภาพเช่นนี้ เกรงว่า อุทยานอวี้ฮวาของราชวงศ์ก็ยากจะเทียบได้
ถึงนอกเรือนฉือหย่าง อิ๋นเซียง สาวใช้ที่เฝ้าอยู่ด้านนอกเห็นมั่วเชียนเสวี่ยมาแล้ว ก็รีบก้าวเข้าไป
“คารวะคุณหนูใหญ่มั่วเจ้าค่ะ”
ทำความเคารพเรียบร้อย ก็เข้าไปประคองมั่วเชียนเสวี่ย พลางเอ่ยว่า “คุณหนูใหญ่มั่วรีบเข้าไปเถอะเจ้าค่ะ ฮูหยินผู้เฒ่ารอเงียบๆ ด้วยความอดทนมานานแล้ว รอคุณหนูใหญ่มั่วมากินอาหารเช้าเจ้าค่ะ”
เข้าไปในห้อง ก็เห็นฮูหยินผู้เฒ่านั่งอยู่บนตั่งหลังโต๊ะกินข้าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
เห็นมั่วเชียนเสวี่ยเข้ามา ฮูหยินผู้เฒ่าก็เงยใบหน้ายิ้มแย้มขึ้นมา แสดงท่าทีสนิทสนม
“เชียนเสวี่ยยาโถว[2] เจ้ามาแล้ว รีบมานั่งเถอะ”
มั่วเชียนเสวี่ยมึนงงเล็กน้อย! ไม่เข้าใจแผนการของฮูหยินผู้เฒ่าอยู่บ้าง!
เดิมนางนึกว่าวันนี้หนิงเซ่าชิงไม่อยู่ ท่าทีของฮูหยินผู้เฒ่าจะต้องไม่ดีแน่นอน นางยังนึกอีกว่านางจะต้องพบกับจิ้งฮูหยินและเหมยฮูหยิน คนเหล่านี้แสดงละครอยู่บนเวทีเดียวกัน เดี๋ยวหน้าแดง เดี๋ยวหน้าซีด เดี๋ยวตกตะลึง จะต้องครึกครื้นเป็นอย่างยิ่ง
สรุปแล้ว มื้อเช้าวันนี้คงจะไม่ค่อยสงบสุขแน่นอน
แต่ว่า…ใบหน้ายิ้มแย้มนี่?
หรือว่าจะเป็นการชมเชยให้ลืมตัว ลำพองใจ จนไม่อาจกระทำการใดสำเร็จได้ในตำนาน?!
พิจารณามองฮูหยินผู้เฒ่าทั่วร่างอีกรอบ แต่ก็ไม่ได้มีเจตนาชั่วร้ายแผ่ออกมาเลยสักนิด เป็นผู้ชราที่อ่อนโยน มีเมตตาคนหนึ่งจริงๆ
หากไม่ได้มีเรื่องจิ้งฮูหยินกับเหมยฮูหยินในครั้งที่แล้ว
หากเมื่อวานตอนที่เพิ่งจะพบหน้ากัน ฉือหมัวมัวไม่ได้สร้างความลำบากใจ โดยการโยนเบาะรองให้นางคุกเข่าทำความเคารพ
หากเมื่อวานเสี้ยววินาทีที่เงยหน้าขึ้นมา นางสามารถจับประกายโหดเหี้ยมและรังเกียจของฮูหยินผู้เฒ่าที่กระทั่งหนิงเซ่าชิงก็มองไม่เห็นได้
นางคงนึกว่าฮูหยินผู้เฒ่ามีเมตตาจริงๆ นางคงจะนึกว่าฮูหยินผู้เฒ่าปฏิบัติต่อนางเป็นอย่างดีจริงๆ
“คารวะฮูหยินผู้เฒ่าเจ้าค่ะ” ทำความเคารพเรียบร้อย มั่วเชียนเสวี่ยก็ไม่กล้าประมาท เขยิบเข้าไปใกล้ทันที “ฮูหยินผู้เฒ่าเป็นผู้อาวุโส ท่านนั่งเถอะเจ้าค่ะ เชียนเสวี่ยปรนนิบัติท่านกินอาหารเช้าก็พอ”
ได้ยินมานานแล้วว่า สะใภ้ในตระกูลร่ำรวยและมีอำนาจล้วนต้องยืนปรนนิบัติอยู่ข้างกายแม่สามี ฮูหยินผู้เฒ่าไม่ใช่แม่สามี แต่เป็นย่าที่มีฐานะสูงกว่าแม่สามี วันนี้นางปรนนิบัติสักหน่อยก็ไม่เห็นจะเป็นไร
ฮูหยินผู้เฒ่าลุกขึ้นยิ้มๆ มั่วเชียนเสวี่ยจึงยื่นมือไปประคอง
หลังจากฮูหยินผู้เฒ่านั่งที่โต๊ะอาหารแล้ว ก็เรียกมั่วเชียนเสวี่ย พลางดึงนางให้นั่งด้วยกัน “ผู้มาเยือนคือแขก นั่งตรงนี้ ให้เด็กสาวที่อายุยังน้อยเช่นเจ้า มากินอาหารเช้าเป็นเพื่อนฮูหยินผู้เฒ่าที่น่าเบื่อเช่นข้า เจ้าคงไม่รู้สึกหงุดหงิดหรอกนะ”
หากปฏิเสธอีกก็ดูจะไร้เหตุผลอย่างเห็นได้ชัด
มั่วเชียนเสวี่ยถือโอกาสนั่งลงแล้วตอบกลับด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “จะเป็นไปได้อย่างไรเจ้าคะ ฮูหยินผู้เฒ่างามสง่า สุขุม และใจกว้าง สติปัญญาเฉียบแหลมไม่ธรรมดา มีเรื่องราวมากมายที่เชียนเสวี่ยไม่เข้าใจ กำลังอยากจะเรียนรู้อยู่ข้างกายท่านให้มากหน่อยเลยเจ้าค่ะ แต่กลัวว่าจะโง่งมเกินไป ทำให้ฮูหยินผู้เฒ่ารำคาญเอาได้…”
ทั้งสองคนสนทนากันไปเรื่อย คุยกันถูกคออย่างยิ่ง
ฮูหยินผู้เฒ่ายิ้มอย่างมีเมตตา มั่วเชียนเสวี่ยยิ้มอย่างเป็นกันเอง
ไม่ต้องให้นางเอ่ยปาก ฉือหมัวมัวส่งสายตาไป ด้านนอกก็มีคนเดินยกอาหารเช้าเข้ามา
มีเสี่ยวหลงเปา[3] หมั่นโถว ข้าวต้มหมู และผักดองเรียกน้ำย่อยอีกหลายอย่าง
อาหารเช้าไม่ได้หรูหรานัก แต่กลับเต็มไปด้วยสารอาหาร เหมาะกับคนที่มีอายุมาก ดูท่า ฮูหยินผู้เฒ่าเป็นคนที่รู้จักบำรุงสุขภาพคนหนึ่ง
อาหารเช้าจัดวางเรียบร้อย ก็เห็นสตรีงดงามอ่อนช้อยคนหนึ่งก้าวขึ้นมาข้างหน้า
มั่วเชียนเสวี่ยเพิ่งจะสังเกตเห็นว่านอกจากฮูหยินผู้เฒ่ากับฉือหมัวมัวแล้ว ยังมีคนอื่นอีกคนหนึ่งอยู่ในห้องด้วย
นางยกข้าวต้มคีบอาหารให้กับฮูหยินผู้เฒ่า พลางยืนปรนนิบัติฮูหยินผู้เฒ่ารับประทานอาหาร และพร้อมที่จะให้รับใช้ฮูหยินผู้เฒ่าได้ตลอดเวลา
สตรีนางนั้นคิ้วจางราวกับหมอกควัน เห็นได้ชัดว่านิ่งเงียบจนให้ความรู้สึกไร้ตัวตน มองไม่ออกว่ามีเจตนาดีเพียงใด และยิ่งสัมผัสไม่ออกถึงเจตนาร้าย
ดูจากอาภรณ์และเครื่องประดับที่สวมใส่ บุคลิกท่าทาง มาดที่แสดงออกมา จะต้องไม่ใช่ข้ารับใช้คนหนึ่งเด็ดขาด
สตรีเยาว์วัยในจวนหนิงที่สามารถยืนปรนนิบัติอยู่ข้างกายฮูหยินผู้เฒ่าได้นั้นจะมีสักกี่คน สตรีนางนี้คือใคร
มั่วเชียนเสวี่ยอดสงสัยไม่ได้ และรู้สึกแปลกใจยิ่งกว่า
จำเป็นต้องกล่าวว่า บรรยากาศสุขสันต์สมัครสมานเช่นนี้ ความกลมเกลียวบนโต๊ะอาหารนี้ สตรีเยาว์วัยที่ให้การปรนนิบัติอยู่ข้างกายล้วนสร้างความรู้สึกไม่แน่ใจเล็กน้อยให้นาง
ฮูหยินผู้เฒ่าเห็นมั่วเชียนเสวี่ยจ้องสตรีนางนั้น ก็แนะนำยิ้มๆ “นี่คืออนุภรรยาของหัวหน้าตระกูลรุ่นก่อน นามจื่อหลิ่ว เป็นคนดีเช่นกัน ปกติไม่ค่อยพูดค่อยจา ได้รับความรักจากหัวหน้าตระกูลรุ่นก่อนมาก และทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าเช่นข้าชอบมากเช่นกัน”
[1] ต้าฮวง คือ แดนรกร้างอันกว้างใหญ่
[2] ยาโถว คำเรียกหญิงสาวด้วยความเอ็นดูรักใคร่
[3] เสี่ยวหลงเปา เป็นซาลาเปาหน้าตากึ่งขนมจีบ ไส้หมูสับ มีน้ำซุปอยู่ด้านใน