ตอนที่ 551 ทนายทอม
โรงพยาบาลผู่จี้
ฟางจั๋วหรานเพิ่งจะทำการผ่าตัดใหญ่เสร็จไปเคสหนึ่ง และกลับมาพักผ่อนที่ห้องทำงาน
พยาบาลคนหนึ่งพาชายชาวต่างชาติผมบลอนด์ตาสีฟ้าคนหนึ่งและผู้ชายหน้าจีนๆ คนหนึ่งมาตรงหน้าเขา แล้วพูดกับเขาว่า
“ศาสตราจารย์ฟาง ชาวต่างชาติท่านนี้บอกว่ามาหาคุณค่ะ”
ฟางจั๋วหรานยืนขึ้น พิจารณาแขกที่ไม่ได้รับเชิญทั้งสอง ซึ่งเขาไม่รู้จักพวกเขาเลย
ชาวต่างชาติคนนั้นแย้มยิ้มบางพร้อมกับยื่นมือข้างหนึ่งมาหาเขา แล้วรัวภาษาอังกฤษมาเป็นชุด
ฟางจั๋วหรานไปแลกเปลี่ยนทางวิชาการที่ต่างประเทศอยู่บ่อยๆ จึงพูดภาษาอังกฤษได้คล่องแคล่วอย่างมาก แน่นอนว่าเขาก็ฟังเข้าใจว่าชาวต่างชาติคนนั้นพูดว่าอะไรเช่นกัน
ชาวต่างชาติคนนั้นยืนยันว่าเขาใช่ฟางจั๋วหรานหรือเปล่าและแนะนำตัวเอง
เขาชื่อว่าทอม คลานซ์ เป็นทนายของน้องสาวของตาเขา ซึ่งก็คือยายของเขานั่นเอง
ฟางจั๋วหรานจับมือเขา แล้วพูดด้วยภาษาอังกฤษ “ผมเองครับ ยินดีอย่างยิ่งที่ได้รู้จักคุณ คุณทอม ไม่ทราบว่าคุณมาหาผมมีเรื่องอะไรเหรอครับ”
ผู้ชายผมดำผิวเหลืองคนนั้นที่มาด้วยกันกับทอมคือล่ามภาษาอังกฤษ
เมื่อเห็นว่าภาษาอังกฤษของฟางจั๋วหรานคล่องแคล่วยิ่งกว่าเขาเสียอีก จนไม่มีที่ให้เขาได้แสดงศักยภาพ ก็พลันมีสีหน้าคับแค้นใจ
ทอมพูด “ผมได้รับความไว้วางใจจากมาดามถังชูอี้ยายของคุณ ให้มาจัดการขั้นตอนการรับมรดกให้กับคุณครับ”
ฟางจั๋วหรานตกตะลึง “คุณหมายความว่า ยายของผม ท่าน……”
ทอมพยักหน้า “มิสเตอร์ฟาง ขอแสดงความเสียใจกับคุณด้วยนะครับ”
……
ตอนเที่ยง น้าหวงทำอาหารเที่ยงเสร็จก็เลิกงานตามปกติ
เมื่อหล่อนเดินมาถึงประตูรั้ว ก็เห็นฟางจั๋วหรานขี่จักรยานกลับมาพอดี
หล่อนแปลกใจเล็กน้อย “ศาสตราจารย์ฟาง ทำไมถึงกลับมาตอนเที่ยงเลยล่ะคะ?”
เพราะงานของฟางจั๋วหรานค่อนข้างรัดตัว ปกติแล้วจึงไม่ได้กลับมากินข้าวในตอนเที่ยง
ฟางจั๋วหรานส่งเสียงอืมคำหนึ่ง แล้วเข็นจักรยานเข้าไปในบริเวณบ้านอย่างมีเรื่องหนักอกอยู่ในใจ โดยที่ไม่เอ่ยอะไรเพิ่มเติมอีกเลย
อาหวงได้ยินเสียงความเคลื่อนไหว ก็เห่าต้อนรับโฮ่งๆ ออกมา
หลินม่ายตามออกมาดู ก็พบว่าฟางจั๋วหรานกลับมาแล้ว เธอหน้าแดงขึ้นมาโดยอัตโนมัติ พลันหมุนตัวเข้าไปในบ้าน
ทว่าก็ยังเพิ่มถ้วยและตะเกียบให้คู่หนึ่งอย่างมีคุณธรรมดีเลิศ
ฟางจั๋วหรานเข้ามาในบ้าน หลังล้างมือเสร็จแล้วจึงนั่งลงที่โต๊ะอาหาร กินข้าวด้วยจิตใจเหม่อลอย
คุณย่าฟางสังเกตเห็นว่าเขาแปลกไป จึงถามด้วยความเป็นห่วง “จั๋วหราน หลานเป็นอะไรไป งานไม่ได้ดั่งใจงั้นเหรอ?”
ฟางจั๋วหรานหยุดกินข้าว เขานิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่ง ก่อจเอ่ยขึ้นด้วยเสียงทุ้มต่ำ “คุณยายน้องสาวของตาผมจากไปแล้วครับ”
ทุกคนได้ยินดังนั้น ก็นิ่งไปนานกว่าจะตอบสนอง
คุณปู่ฟางตกตะลึง “คุณยายจากไปแล้วเหรอ? หลานรู้ได้ยังไงกัน?”
น้องสาวของคุณตาฟางจั๋วหรานไปอยู่อาศัยที่สหรัฐอเมริกานานแล้ว และตัดความสัมพันธ์กับตาของเขานานแล้วด้วย แต่ฟางจั๋วหรานกลับยังรู้สถานการณ์ของนางได้ คุณปู่ฟางและคนอื่นๆ ถึงได้ตกตะลึงกันขนาดนั้น
ฟางจั๋วหรานพูดด้วยหัวใจหนักอึ้ง “ก่อนที่คุณยายจะเสีย ท่านได้ฝากฝังให้ทนายทอมมาหาผมในประเทศ เพื่อให้ผมรับสืบทอดมรดกของท่านครับ คุณทอมเสียเวลาอยู่ครึ่งปีถึงเพิ่งจะหาผมเจอวันนี้ ผมถึงได้เพิ่งรู้ข่าวการเสียชีวิตของคุณยาย”
คุณปู่ฟางพูดอย่างฉงนสนเท่ห์ “ทำไมคุณยายของหลานถึงต้องให้หลานรับมรดกของหล่อนด้วย? ทำไมถึงไม่ให้ลูกสาวลูกชายของหล่อนรับล่ะ?”
ฟางจั๋วหรานก้มหัวลงแล้วพูดเสียงเบา “คุณยายผมไม่มีลูกทั้งหญิงทั้งชาย เมื่อไม่กี่ปีก่อน สามีของท่านเองก็มาจากไป….”
ทุกคนอยู่ในความเงียบงันอีกครั้ง
ครู่หนึ่ง คุณย่าฟางก็พูดขึ้น “อย่างนั้นหลานก็รับลางานไปอเมริกาสักรอบสิ ไปจัดการเรื่องงานศพให้กับคุณยายของหลาน แม้ว่ามันจะสายไปแล้ว แต่ก็ต้องแสดงความกตัญญูเป็นครั้งสุดท้ายสักหน่อย”
แล้วนางก็มองไปทางหลินม่าย “เด็กดี หลานจัดเตรียมงานกิจการที่โรงงานเอาไว้สักหน่อย แล้วไปจัดการเรื่องงานศพที่อเมริกาด้วยกันกับจั๋วหรานเถอะนะ”
หลินม่ายพยักหน้า
กินข้าวเที่ยงเสร็จแล้ว ฟางจั๋วหรานก็กลับไปพักผ่อนที่ห้องด้วยความรู้สึกจมดิ่ง
หลินม่ายเก็บถ้วยชามไปแล้วล้างแล้วจึงขึ้นไปดูเขาที่ชั้นบน
ส่วนความเขินอายจากเรื่องเมื่อคืนนั้นถูกเธอโยนทิ้งไปตั้งนานแล้ว
ตอนนี้ในจิตใจและแววตาของเธอมีเพียงฟางจั๋วหราน และความเศร้าเสียใจของเขาเท่านั้น
เธอเปิดประตูห้องของฟางจั๋วหรานอย่างแผ่วเบา และเห็นเขากำลังนอนอยู่บนเตียง
เมื่อเดินเข้าไปดูใกล้ๆ เขากำลังเบิกตากว้าง ที่หางตามีน้ำตาใสแวววาวเม็ดโตร่วงหล่นลงมา
หลินม่ายไม่เคยเห็นฟางจั๋วหรานที่เศร้าโศกเช่นนี้มาก่อน
วันนั้นที่ไปปัดกวาดหลุมศพให้แม่ของเขา ก็ยังไม่เห็นเขาเจ็บปวดถึงขนาดนี้
เธอนั่งลงข้างเตียงของเขา กุมมือใหญ่ข้างหนึ่งของเขาเอาไว้แล้ว ปลอบโยนเขาอย่างเงียบๆ
ดวงตาที่ไม่กระพริบราวกับซากศพของฟางจั๋วหรานก็เริ่มมีการตอบสนอง
ลูกตาของเขาเคลื่อนไหวและหยุดอยู่ที่ตัวเธอ เอ่ยเสียงสะอื้น “ม่ายจื่อ บ้านฝั่งแม่ของผมนอกจากผม ก็ไม่มีใครอีกแล้ว ไม่มีใครอีกแล้ว!”
หลินม่ายพูดเสียงเบา “คุณยังมีฉัน คุณจะไม่โดดเดี่ยว ฉันจะอยู่เคียงข้างกายคุณตลอดไป”
จะเดินไปด้วยกันกับคุณผ่านเส้นทางชีวิตอันยาวไกลนี้
ฟางจั๋วหรานพลันดึงเธอเข้ามาในอ้อมกอดของตน กอดเธอเอาไว้แน่น ราวกับว่าเธอคือที่พึ่งพิงเพียงหนึ่งเดียวในชีวิตของเขา
หลังทั้งสองกอดกันอยู่เนิ่นนาน อารมณ์ของฟางจั๋วหรานถึงมั่นคงขึ้นมา
เขาไม่เคยเจอกับคุณยายมาก่อน ต่อให้จะเศร้าใจอย่างไรก็มีขีดจำกัด
สิ่งที่เขารู้สึกเศร้าก็คือ ญาติสายตรงฝั่งแม่ทั้งหมดของเขาล้วนจากไปหมดแล้ว ที่ตรงนั้นมันโหวงเหวง จนทำให้เขาไม่มีแม้แต่ความอาลัยแม้สักนิด
เหมือนกับมีมืออันโหดเหี้ยมข้างหนึ่ง บังคับฉีกกระชากเขากับแม่ของเขาออกจากกัน ตั้งแต่นี้ไปทั้งสองก็เป็นคนที่อยู่คนละโลกกันจริงๆ แล้ว
ในตอนนี้ การทำพาสปอร์ตเข้าประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นเรื่องยาก
แม้ว่าฟางจั๋วหรานจะใช้เส้นสายของเขา แต่ก็ต้องใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งเดือนจึงจะทำเสร็จ
ทว่าเมื่อทนายทอมช่วยออกหน้าให้ ก็สามารถทำได้โดยใช้เวลาเพียง 10 วันเท่านั้น
ใกล้จะถึงเดือนพฤศจิกายนแล้ว
อุณหภูมิในเดือนพฤศจิกายนของเมืองเจียงเฉิงนั้นเอาแน่เอานอนไม่ได้
วันนี้อาจจะเป็นอากาศช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วง สวมเสื้อสเวตเตอร์คอเต่าหนึ่งตัว แล้วสวมชุดฤดูใบไม้ร่วงทับอีกตัวก็ได้แล้ว
แต่พรุ่งนี้ก็อาจจะเข้าสู่ฤดูหนาวได้ในชั่วข้ามคืน เสื้อโค้ทบุนวมต่างพร้อมลงสนาม ดังนั้นชุดฤดูหนาวนี้ก็สามารถวางจำหน่ายได้แล้ว
นึกถึงหลังจากไปอเมริกาแล้ว คงจะมีเรื่องมากมายต้องจัดการแน่ๆ ไม่ใช่ว่าสิบวันสิบห้าวันจะสามารถกลับมาได้เลยเสียหน่อย
หลังจากกลับมาจากอเมริกาแล้ว ค่อยวางจำหน่ายเสื้อผ้าฤดูหนาว ก็คงจะช้าเกินไป
หลินม่ายวางแผนที่จะเปิดตัวเสื้อผ้าฤดูหนาวภายในเวลา10วันนี้
เพราะมีผ้าขนสัตว์และผ้าสักหลาดจำนวนไม่น้อยที่ซื้อมาจากศุลกากรก่อนหน้านี้ อีกทั้งผ้าไนลอนที่ซื้อมาก่อนที่ราคาผ้าจะปรับขึ้นอีกจำนวนมาก
ดังนั้นเสื้อผ้าในฤดูหนาวครั้งนี้ หลินม่ายวางแผนว่าจะเน้นไปที่การจำหน่ายชุดเสื้อผ้าขนสัตว์ ชุดปีนเขาจั๊มสูทแบบสวมหมวกแบบยาวปานกลาง ชุดหน้าหนาวผ้าสักหลาดและเสื้อโค้ทตัวสั้นผ้าสักหลาด
หลินม่ายได้ลอกเลียนแบบเสื้อแจ็กเก็ตขนเป็ดตัวยาวปานกลางและเสื้อผ้าสไตล์ต้นฤดูหนาวเนื้อผ้าสักหลาดไว้ไม่น้อยโดยใช้ความทรงจำจากชาติที่แล้วของเธอ
วันต่อมาเธอก็เอาไปให้เถาจืออวิ๋นดู และได้รับการชื่นชมอย่างหนักอีกครั้ง
หลินม่ายให้หล่อนรีบแก้ไขดีไซน์ที่เธอเลียนแบบมาพวกนั้น จากนั้นก็รีบทำแพทเทิร์น เพื่อให้สามารถผลิตในจำนวนมากและออกสู่ตลาดโดยเร็วที่สุด
และเธอก็เตรียมที่จะให้จางอวี้เป็นพรีเซนเตอร์ Unique ต่อ
ครั้งก่อนที่จางอวี้เป็นพรีเซนเตอร์ให้Uniqueมีผลตอบรับดีมาก
นักแสดงสาวที่เล่นแต่บทสาวบ้านนอกเฉิ่มเชยในภาพยนตร์คนหนึ่ง เมื่อใส่ชุดเสื้อผ้าของUniqueแล้วก็งดงามขึ้นมาทันตา แม้แต่ดาราไต้หวันฮ่องกงก็ยังไม่สวยทันสมัยและสง่างามเท่าหล่อนเลย
ความแตกต่างที่เกิดขึ้นนั้นมากเกินไป จนทำให้ผู้ซื้อมากมายต่างก็คิดว่า ไก่งามเพราะขน คนงามเพราะแต่ง
ขอเพียงเสื้อผ้าสวยงาม ถึงเป็นผู้หญิงขี้เหร่ก็ยังเปลี่ยนรูปลักษณ์ได้ ด้วยเหตุนี้จึงตามหาUniqueกันให้ทั่ว
นอกจากผลลัพธ์ที่ดีจากความแตกต่างนั้นแล้ว หากจางอวี้ปรากฏตัวต่อสาธารณะหรือถ่ายรูปนิตยสารเมื่อใด จะต้องสวมเสื้อผ้าUniqueที่หลินม่ายส่งให้เป็นของขวัญเหล่านั้นเป็นการโฆษณาแฝงให้Uniqueอยู่เสมอ
แม้หลินม่ายจะรู้ว่า ที่จางอวี้ชอบสวมเสื้อผ้าของUniqueเวลาอยู่ในพื้นที่สาธารณะหรือถ่ายนิตยสาร เป็นเพราะหล่อนหาเสื้อผ้าที่ดูดีกว่าของUniqueไม่ได้
แต่หลินม่ายก็ไม่คิดเล็กคิดน้อยเรื่องพวกนี้ ขอเพียงโฆษณาให้กับUniqueของเธอ เธอก็รู้สึกขอบคุณอยู่ในใจแล้ว ดังนั้นครั้งนี้ก็ยังไปหาหล่อน
หลินม่ายกลับมาที่ห้องทำงานของตัวเอง แล้วโทรศัพท์หาผู้กำกับหวง อยากขอให้จางอวี้มาถ่ายโฆษณาชุดเสื้อผ้าฤดูหนาวของUnique
ผู้กำกับหวงตอบตกลงอย่างรวดเร็ว และยังบอกกับหลินม่าย ว่าตอนนี้พวกเขายังถ่ายทำกันอยู่ที่เจียงซีจิ่วเจียง ให้เธอนำเสื้อผ้ามาที่จิ่วเจียงได้เลย
แต่ให้เธอมาถึงภายในหนึ่งสัปดาห์ อีกหนึ่งสัปดาห์กองถ่ายก็จะปิดกล้องกันแล้ว
หากมาช้า กองถ่ายก็จะไม่รอเธอ
เถาจืออวิ๋นได้ยินว่าหลินม่ายต้องรีบไปเจียงซีจิ่วเจียงเพื่อขอจางอวี้มาถ่ายโฆษณา วันนั้นจึงแก้ไขปรับปรุงเสื้อผ้าที่เธอออกแบบพวกนั้น อีกทั้งยังใช้เวลาหนึ่งวันหนึ่งคืนทำเสื้อผ้าตัวอย่างออกมา
หลินม่ายเองก็ไม่ได้อยู่เฉยๆ เช่นกัน เธอสั่งให้หัวหน้าฝ่ายประชาสัมพันธ์ซุนอวิ้นหง ตีพิมพ์เรื่องกิจกรรมรางวัลชิงโชคของเสื้อผ้าUniqueลงหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์
โฆษณาจะต้องเด่นสะดุดตา และชื่อจะต้องมีความเป็นจีน
เงินรางวัลตั้งไว้ที่สามพันหยวน
จนถึงตอนนี้เธอยังจำความเห็นของผู้เช่าเหล่านั้นของเกสต์เฮาส์นั้นที่เมืองหลวงได้ – ในเมื่อเป็นเสื้อผ้าที่ผลิตโดยประเทศจีน แล้วทำไมต้องใช้ชื่อของต่างประเทศด้วย?
หากเธอจะสร้างแบรนด์Uniqueนี้ให้เป็นระดับสากล ก็ไม่สามารถใช้ชื่อต่างประเทศได้
การใช้ชื่อภาษาต่างประเทศนั้น ความจริงแล้วก็เป็นการช่วยให้วัฒนธรรมต่างชาติรุกรานเข้ามาทางอ้อม
ทำไมเธอต้องช่วยวัฒนธรรมต่างชาติรุกรานเข้ามาด้วย ทำไมถึงไม่ทำให้วัฒนธรรมจีนไปรุกรานประเทศอื่นเสียล่ะ?
อารยธรรมจีนมีประวัติศาสตร์ยาวนานถึง 5,000 ปี ควรค่าแก่การเผยแพร่ไปทั่วโลกยิ่งกว่าวัฒนธรรมอื่นใด
……………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
จะได้บินออกนอกประเทศเป็นครั้งแรกแล้ว ถึงจะเป็นการไปร่วมงานศพก็เถอะ
นิยายจากจีนแผ่นดินใหญ่มันก็จะมีความชาตินิยมเข้าไส้อยู่เล็กๆ แบบนี้แหละค่ะ อ่านแล้วจงปล่อยจอยสบายๆ นะคะ
ไหหม่า(海馬)