ก็จริง นี่ไม่ใช่เวลาต้องกลับเมืองหลวงมาเพื่อรายงาน แล้วก็ไม่ใช่ช่วงเวลาเลื่อนตำแหน่งของราชสำนัก คุณชายสามกลับมาเช่นนี้ ไท่ฮูหยินก็คงจะพอเดาออกอยู่บ้าง นอกจากนี้ไท่ฮูหยินก็ยังอะลุ่มอล่วยต่อคุณชายสามเสมอมา เขาออกไปทำงานต่างถิ่น ไม่เพียงแต่ไม่เป็นหน้าเป็นตาให้สกุลสวี แม้แต่รักษาตำแหน่งไว้ก็ยังทำไม่ได้ ไม่รู้ว่าจะโกรธมากแค่ไหน
“เช่นนั้นท่านก็ต้องรีบบอกท่านแม่ให้เร็วที่สุด” สืออีเหนียงพูดต่อไปว่า “พวกท่านคุยกันอยู่ที่ห้องหนังสือเรือนนอกเป็นเวลานาน ซ้ำยังให้คุณชายสามอยู่ทานอาหารกลางวันแล้วค่อยกลับตรอกซานจิ่ง ในเรือนมีคนตั้งมากมาย จะสามารถปิดบังได้อย่างไร!”
“เพียงแค่สองวันเท่านั้น” สวีลิ่งอี๋พูดต่อไปว่า “ช่วงนี้เจ้าพยายามปรึกษากับท่านแม่เรื่องงานแต่งของเจินเจี่ยเอ๋อร์ เบนความสนใจท่านแม่ไว้ ข้าจะค่อยๆ เล่าให้ท่านแม่ฟังเกี่ยวกับเหตุผลการกลับมาของพี่สาม มีเรื่องมงคลของเจินเจี่ยเอ๋อร์อยู่เบื้องหน้า ต่อให้ท่านแม่รู้เรื่องของพี่สามแล้ว ความโกรธก็จะน้อยลง”
สืออีเหนียงพยักหน้า “ข้าจะทำตามที่ท่านโหวบอกเจ้าค่ะ”
จิ่นเกอสวมเพียงเสื้อซับในวิ่งเข้ามา
“คุณชายน้อยหก คุณชายน้อยหกเจ้าคะ” แม่นมกู้ตะโกนเรียกเบาๆ นางวิ่งตามเข้ามาด้วยสีหน้าตื่นตระหนกเล็กน้อย
“เกิดอะไรขึ้น” สวีลิ่งอี๋ยังไม่ทันพูดจบ จิ่นเกอก็ปีนขึ้นไปบนเตียงอย่างรวดเร็ว
“นอนกับท่านแม่ นอนกับท่านแม่” จิ่นเกอพูดพึมพำพลางมุดเข้าไปในผ้าห่ม แล้วเอาผ้าห่มพันตัวเองไว้แน่นเหมือนกลัวว่าจะมีใครอุ้มเขาไป
แม่นมกู้มองสวีลิ่งอี๋และสืออีเหนียงอย่างไม่สบายใจ
สวีลิ่งอี๋เห็นบุตรชายทำท่าทางเช่นนี้ก็ใจอ่อน รีบโบกมือให้แม่นมกู้เป็นสัญญาณให้นางถอยออกไป
สืออีเหนียงหน้าร้อนผ่าวเล็กน้อย
ท่าทางของแม่นมกู้เห็นได้ชัดว่า นางรู้ว่าทำไมสวีลิ่งอี๋ถึงส่งเด็กน้อยให้ไปนอนที่ห้องหน่วนเก๋อ
นางเก็บซ่อนความอึดอัดแล้วนั่งลงข้างเตียง
จิ่นเกอรีบคลานเข้าไปในอ้อมแขนของสืออีเหนียง “ท่านแม่ เล่านิทาน เล่านิทาน!”
เมื่อครู่เล่านิทานให้เขาฟังอยู่นาน ไม่ง่ายเลยกว่าจะทำให้เขาสงบลง หากไม่ใช่เพราะชิวอวี่มาหานาง บอกว่าสวีลิ่งอี๋กลับมาแล้วมีเรื่องจะคุยด้วย ตนก็คงไม่ให้จิ่นเกอที่ยังไม่ทันนอนหลับไปกับแม่นมกู้
สืออีเหนียงยิ้มพลางลูบศีรษะเขา “เช่นนั้นเจ้าไปเอาสมุดภาพของอาจารย์จ้าวมา!”
จิ่นเกอรีบลงจากเตียงไปอย่างเชื่อฟังทันที วิ่งไปที่ห้องหน่วนเก๋อแล้วก็วิ่งกลับมา ถือสมุดภาพไว้ในมือ ใบหน้าเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ
เมื่อเห็นความน่ารักของเขา อย่าว่าแต่สืออีเหนียง แม้แต่สวีลิ่งอี๋ก็อดยิ้มไม่ได้
“แล้วจิ่นเกออยากจะฟังเรื่องอะไร” สืออีเหนียงนั่งลงข้างๆ จิ่นเกอแล้วมองไปที่บุตรชาย
“ข่งหรงสละผลสาลี่!”
“เช่นนั้นเจ้าก็เปิดไปหน้านิทานเรื่องข่งหรงสละผลสาลี่ แม่จะได้เล่าให้เจ้าฟัง!”
จิ่นเกอหมอบลงบนเตียง เปิดไปหน้าที่มีรูปภาพข่งหรงสละผลสาลี่แล้วยื่นให้สืออีเหนียง “ท่านแม่ เล่านิทาน!”
สืออีเหนียงประหลาดใจอย่างมาก
นางคิดไม่ถึงว่าจิ่นเกอจะจำได้ นางแค่อยากจะอาศัยสิ่งที่จิ่นเกอสนใจค่อยๆ สอนให้จิ่นเกอรู้จักตัวอักษร
“เหตุใดเจ้าถึงได้ฉลาดนัก!” สืออีเหนียงยังไม่ทันได้พูดจบดี สวีลิ่งอี๋ก็อุ้มจิ่นเกอแล้วโยนขึ้นลอยอยู่กลางอากาศ
จิ่นเกอหัวเราะคิกคัก ใบหน้าเล็กๆ ของเขาเหมือนดอกทานตะวันที่ส่องแสงไปจนถึงก้นบึ้งหัวใจของสวีลิ่งอี๋อยู่เสมอ
เขาโยนจิ่นเกอสองครั้งเหมือนตอนที่เขายังเป็นเด็ก
จิ่นเกอยิ่งหัวเราะร่าเริงกว่าเดิม
สืออีเหนียงรู้สึกเหมือนหัวใจจะหลุดออกมา
“ไม่ได้ ไม่ได้!” นางเอ่ยห้ามสวีลิ่งอี๋ “ตอนนี้จิ่นเกอโตแล้ว ไม่ใช่ตอนเด็กๆ แล้ว ตอนนี้แม้แต่ข้าก็อุ้มไม่ไหวแล้วเจ้าค่ะ…ระหว่างจะทำเขาหล่นพื้น”
“หนักแค่ไม่กี่จินเอง” สวีลิ่งอี๋ไม่คิดเช่นนั้น จิ่นเกอกเอ่ยเรียกอย่างเอาใจ “ท่านพ่อ” ส่งสัญญาณให้เขาโยนตัวเองอีกครั้ง
สืออีเหนียงจับไหล่สวีลิ่งอี๋ “ตอนนี้ก็ต้นยามไฮ่แล้ว หากท่านเล่นกับเขาเช่นนี้ต่อ อีกสักครู่พอถึงเวลานอนเขาก็จะนอนไม่หลับ”
สวีลิ่งอี๋เห็นว่าคำพูดนี้สมเหตุสมผล ยิ้มแล้วพูดกับจิ่นเกอว่า “แม่ของเจ้าไม่อนุญาต!”
จิ่นเกอหันไปจะกอดสืออีเหนียง เอ่ยด้วยน้ำเสียงออดอ้อน “ท่านแม่”
สืออีเหนียงกลับไม่กอดเขา ถามเขาว่า “จิ่นเกอยังอยากฟังนิทานอยู่หรือไม่ หากอยากฟังนิทานก็ไปนอนบนเตียงกับแม่ หากไม่อยากฟังนิทานก็เล่นอยู่ตรงนี้กับท่านพ่อ!”
จิ่นเกออยากเล่นกับท่านพ่อ แล้วก็อยากฟังท่านแม่เล่านิทานด้วย เขาลังเล มองดูสีหน้าอ่อนโยนของท่านพ่อ แล้วมองดูสีหน้าจริงจังเล็กน้อยของท่านแม่ จากนั้นก็มองมารดาด้วยดวงตาที่เป็นประกายพลางกางแขนออก “ฟังนิทาน ฟังนิทาน”
สืออีเหนียงยิ้มพลางอุ้มบุตรชายไว้ในอ้อมแขน “พวกเรามาเล่าเรื่องข่งหรงสละผลสาลี่กันเถิด”
จิ่นเกอรู้สึกถึงความสุขของท่านแม่ จึงใช้โอกาสนี้ให้คุ้มค่า “กวาง กวางตีโอ่ง”
สืออีเหนียงอดยิ้มไม่ได้ “ซือหม่ากวางตีโอ่งต่างหาก”
“ซือ…ตีโอ่ง!”
ชื่อของซือหม่ากวางนั้นออกเสียงอย่างคลุมเครือ ฟังไม่ชัดเจนเล็กน้อย
สืออีเหนียงบอกเขาอีกรอบ แต่เขาก็ยังไม่สามารถออกเสียงได้อย่างชัดเจน
พอเริ่มพูดจิ่นเกอก็พูดออกมาสี่คำ ทำให้คนรู้สึกประหลาดใจ แต่หลังจากผ่านไปหนึ่งเดือนกว่า เขาก็ยังคงพูดได้เพียงสี่คำ ยากนักที่จะพูดเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งคำ
แต่หากรีบร้อนก็ยิ่งยากที่จะบรรลุเป้าหมาย
สืออีเหนียงยิ้มพลางหอมแก้มบุตรชาย ไม่ได้บังคับเขาอีก มุดเข้าไปในผ้าห่มกับเขาแล้วเริ่มเล่านิทาน
สมุดภาพของอาจารย์จ้าวดูมีชีวิตชีวา อธิบายเรื่องราวง่ายๆ ในหนึ่งหน้า ค่อนข้างเหมาะกับเด็กอายุห้าหกขวบ แต่กลับไม่ค่อยดึงดูดจิ่นเกอมากเท่าไร
เขาฟังนิทานจากที่สืออีเหนียงเล่ามากกว่าดูในสมุดภาพ พอบุตรชายหลับแล้วสืออีเหนียงก็ปรึกษากับสวีลิ่งอี๋ “ภาพวาดในสมุดภาพน้อยเกินไป ถ้าเป็นหนึ่งภาพต่อหนึ่งประโยคจะดีกว่า”
ตอนที่สืออีเหนียงเล่านิทานให้จิ่นเกอฟัง สวีลิ่งอี๋ก็ตบก้นจิ่นเกอเบาๆ อยู่ตลอด นี่เป็นเหตุผลที่ว่าทำไมจิ่นเกอถึงได้หลับไปอย่างรวดเร็ว
เมื่อเขาได้ยินดังนั้นก็ไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดขึ้นมาว่า “เอาอย่างนี้ดีหรือไม่ ช่วงนี้ข้าค่อนข้างยุ่ง เจ้ากับจิ่นเกอก็ใช้สมุดภาพของอาจารย์จ้าวไปก่อนชั่วคราว พอถึงเดือนหกข้าว่างแล้วค่อยวาดสมุดภาพให้จิ่นเกอ!”
สืออีเหนียงได้ฟังแล้วก็เหงื่อตก
ตนเตรียมจะวาดสมุดภาพให้จิ่นเกอด้วยตัวเอง…ไม่ได้มีความคิดว่าจะให้สวีลิ่งอี๋เป็นคนทำเลย
เมื่อความคิดผ่านเข้ามา ในหัวก็ปรากฏภาพที่สวีลิ่งอี๋ต้องนั่งเหงื่อไหลวาดสมุดภาพให้จิ่นเกอในฤดูร้อน โดยมีบ่าวรับใช้คอยพัดให้อย่างเอาเป็นเอาตาย
เมื่อนางคิดถึงตรงนี้ก็รู้สึกขับขัน เกิดความคิดชั่วร้ายขึ้นมาทันที
“เอาสิเจ้าคะ!” สืออีเหนียงยิ้มให้สวีลิ่งอี๋ “เช่นนั้นเรื่องสมุดภาพของจิ่นเกอก็ต้องมอบหมายให้ท่านโหวแล้ว!”
อบรมสั่งสอนบุตรชาย เดิมทีก็เป็นหน้าที่รับผิดชอบของเขา เมื่อก่อนเป็นเพราะไปอยู่ต่างแดนตลอดทั้งปีจึงทำให้ขาดตกบกพร่องไปบ้าง ตอนนี้ว่างงานอยู่ที่เรือน แน่นอนว่าเขาต้องดูแลเรื่องนี้ แต่ทำไมท่าทางของสืออีเหนียงถึงเหมือนกับมีความคิดชั่วร้ายแอบแฝง
สวีลิ่งอี๋มองสืออีเหนียง แววตามีความสับสนอยู่ครู่หนึ่ง
หรือว่าตนยิ้มระรื่นจนเกินไป
สืออีเหนียงครุ่นคิด รีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “ข้าได้ยินมาว่าอาจารย์จ้าวเตรียมจะสอบเคอจวี่ จริงหรือไม่เจ้าคะ”
ช่วงสองปีมานี้อาจารย์จ้าวลงหลักปักฐานได้แล้ว นอกเวลาสอนก็จะเริ่มอ่านหนังสือหนักขึ้น นางได้ยินข่าวคราวมาบ้าง หากเป็นเช่นนี้ ก็ต้องรีบเตรียมหาอาจารย์ให้จิ่นเกอล่วงหน้า!
สวีลิ่งอี๋มองสืออีเหนียงที่มีท่าทางเคร่งขรึม สงสัยว่าตัวเองคิดมากไปหรือไม่ เขาทิ้งความคิดไว้ข้างหลังแล้วพูดขึ้นมาว่า “ข้าเคยถามอาจารย์จ้าวแล้ว ฟังจากคำพูดของเขาแล้ว คงจะกำลังเตรียมตัวเข้าร่วมการสอบเคอจวี่ครั้งต่อไป ดังนั้นข้าจึงกำชับฝ่ายจัดการให้เพิ่มเงินค่าสอนห้าสิบตำลึงให้อาจารย์จ้าวทุกปี”
แสดงว่าเงินประจำปีของอาจารย์จ้าวก็คือหนึ่งร้อยตำลึง ในบรรดาอาจารย์ที่สอนหนังสือ เกรงว่าจะมีเพียงไม่กี่คนในต้าโจวที่จะเทียบเขาได้
สกุลสวีปฏิบัติต่อเขาอย่างสุภาพเช่นนี้ หากเขาสอบติดแล้วควรจะไปหรือจะอยู่ต่อดีเล่า
สืออีเหนียงยิ้ม “เกรงว่าอาจารย์จ้าวจะไม่รับเงินเหล่านี้เจ้าค่ะ”
สวีลิ่งอี๋เห็นว่าสืออีเหนียงเข้าใจเจตนาของตัวเอง จึงพูดด้วยรอยยิ้มว่า “เขาปฏิเสธอย่างอ้อมค้อม อย่างไรก็ตามข้าก็บอกเขาแล้วว่าสิ่งที่ข้าฝากฝังไว้กับเขาไม่ใช่เพียงแค่การศึกษาของเด็กๆ แต่ยังรวมถึงอนาคตของจวนหย่งผิงโหวด้วย ค่าสอนที่จ่ายให้ก็เพียงแค่จะบอกให้คนทั้งโลกรู้ว่าในสายตาของข้าเขามีความสำคัญมากแค่ไหนก็เท่านั้น!”
สืออีเหนียงได้ฟังแล้วก็เหงื่อท่วมตัว
ทันทีที่คำนี้ออกมา ไม่ว่าอาจารย์จ้าวจะมีความคิดมากมายแค่ไหน เกรงว่าเขาคงทำได้เพียงต้องรับไว้เท่านั้น
ตนคิดไม่ถึงว่าคนที่ปกติพูดน้อยอย่างสวีลิ่งอี๋ จะพูดคำพูดที่ลึกซึ้งเช่นนั้นออกมา
เมื่อความคิดผุดขึ้นมาในหัวก็รู้สึกว่าสมเหตุสมผล
หากสวีลิ่งอี๋พูดคำพูดเช่นนี้ออกมาไม่ได้ เขาก็คงเดินมาไม่ถึงวันนี้
“อีกอย่างไม่รู้ว่ามีสักกี่คนที่จะมีชื่ออยู่บนป้ายประกาศสอบผ่านขุนนาง หลังจากศึกษาเล่าเรียนในสำนักศึกษามานานนับสิบปี” สวีลิ่งอี๋พูดเสียงเรียบว่า “เขาอุทิศตนอ่านหนังสืออีกสักสองสามปีนั้นก็เป็นเรื่องดีต่ออนาคต ไม่ได้เสียหายอะไร”
ดังนั้นอาจารย์จ้าวก็ถูกเขาวางแผนจัดการไว้แล้ว
สืออีเหนียงแอบคัดค้านอยู่ในใจ
วันรุ่งขึ้นเมื่อเฉียวเหลียนฝังกับเหวินอี๋เหนียงมาคารวะ นางจึงให้เหวินอี๋เหนียงอยู่พูดคุยกันต่อ “เอารายการสินสอดทองหมั้นที่เขียนเรียบร้อยแล้วของคุณหนูใหญ่มา อีกสักครู่ไปหาไท่ฮูหยินกับข้า ให้ไท่ฮูหยินดูสักหน่อย”
เหวินอี๋เหนียงชะงักไปครู่หนึ่ง
สืออีเหนียงให้นางช่วยจัดแต่งสินสอดทองหมั้นให้เจินเจี่ยเอ๋อร์ แค่นี้นางก็ซาบซึ้งใจมากแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่ายังจะอนุญาตให้นางมีส่วนร่วมในงานแต่งของเจินเจี่ยเอ๋อร์อีก
นางรีบลุกขึ้นกล่าวลา “ข้าจะไปเอารายการสินสอดทองหมั้นของคุณหนูใหญ่ประเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงพยักหน้า
จากนั้นสวีซื่ออวี้ก็มาคารวะนาง
“เมื่อคืนวานกลับมาดึกเกินไป ประตูเรือนในลงกลอนหมดแล้ว จึงไม่อาจมารบกวนท่านแม่” ท่าทางของเขาค่อนข้างเคร่งขรึม “ทางด้านของฟังทั่นฮวาข้านัดให้มาวันพรุ่งนี้เช้าขอรับ” ขณะที่พูด สีหน้าก็แฝงไว้ด้วยความลังเลเล็กน้อย
พี่ใหญ่ฟังได้กลายเป็นฟังทั่นฮวาแล้ว
สืออีเหนียงแอบพยักหน้า
สวีซื่ออวี้โตขึ้นแล้วจริงๆ รู้ว่าเวลานี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาพูดเรื่องส่วนตัวของทั้งสองคน
“ที่นี่ก็ไม่ได้มีคนนอก” ตอนที่สวีซื่ออวี้เข้ามานางก็ได้ให้บ่าวรับใช้ในห้องออกไปจนหมดแล้ว “แม้ว่าเจ้าจะเป็นน้องชายของฉินเกอ แต่ก็เป็นบุตรชายคนโตของเรือนเรา ต่อไปพี่น้องก็จะพึ่งพาเจ้ามากขึ้น! แม้ว่าเรื่องนี้จะเป็นเรื่องเล็ก แต่ก็เป็นเรื่องขัดแย้งระหว่างสองสกุล ตอนนี้ข้าก็กำลังปวดหัว หากเจ้ามีความคิดดีๆ อะไร ก็ควรจะเสนอออกมาจึงจะถูก!”
เมื่อสวีซื่ออวี้ได้ฟังดังนั้นก็มีสีหน้าเขินอายเล็กน้อย ขานรับ “ขอรับ ” แล้วค่อยๆ พูดขึ้นมาว่า “ตอนแรกข้าไปหาพี่ใหญ่ก่อน อยากรู้ว่าเขามีเจตนาอย่างไร ข้าจะได้พูดคุยกับฟังทั่นฮวาได้ ปรากฏว่าพี่ใหญ่บอกข้าว่าเขาทั้งไม่อยากปลดภรรยา อีกทั้งยังไม่อยากหย่า” พูดพลางเหลือบมองสืออีเหนียง เห็นว่าสืออีเหนียงไม่ได้มีท่าทางประหลาดใจเลยแม้แต่น้อย แววตาก็ฉายแววประหลาดใจอยู่ครู่หนึ่ง “พอข้าได้คำตอบจากเขาแล้วก็ไปหาฟังทั่นฮวา พอฟังทั่นฮวาเห็นข้าก็ถอนหายใจยาว บอกว่า ‘น้องสาวของข้าเป็นคนเฉลียวฉลาดมาตั้งแต่เล็ก ได้รับการอบรมสั่งสอนจากท่านย่า เป็นคนอ่อนโยนและใจกว้าง จู่ๆ ก็มาถูกคนกล่าวหาว่ามีดวงพิฆาตสามีโดยไร้เหตุผล ต้องรับความอยุติธรรมมาไม่น้อยเลย ท่านอาสะใภ้เห็นว่าสกุลสวีมีมารยาทและคุณธรรมที่ดี จึงได้ให้น้องสาวแต่งเข้าสกุลสวี คิดไม่ถึงว่าในเวลาสั้นๆ เพียงครึ่งปี พวกเราทั้งสองสกุลจะขัดแย้งกัน กลายเป็นอย่างเช่นตอนนี้ได้!’”
ในฐานะที่เป็นคนของสกุลฟัง เขาย่อมแสดงออกอย่างเข้มแข็งเมื่ออยู่ต่อหน้าสวีลิ่งอี๋ แต่ในฐานะสหายเขากลับพูดกับสวีซื่ออวี้ด้วยความจริงใจ
ฟังจี้ผู้นี้นั้นไม่ธรรมดาเลยจริงๆ
สืออีเหนียงกลัวว่าสวีซื่ออวี้จะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา จึงนั่งตัวตรง ท่าทางเคร่งขรึมมากกว่าเดิม “เช่นนั้นเจ้าว่าอย่างไร”
“ข้าบอกว่าพี่สะใภ้ใหญ่อยู่ที่จวนพวกเรา ไม่เพียงแต่ไท่ฮูหยินที่โปรดปรานนาง แม้แต่พวกเราบรรดาน้องชายน้องสาวก็ให้ความเคารพต่อนางเป็นอย่างมาก การที่ขัดแย้งกันจนกลายเป็นเช่นตอนนี้ก็เป็นเรื่องที่ทุกคนคาดไม่ถึง ยิ่งคาดไม่ถึงว่าฟังทั่นฮวาในฐานะพี่ชายสกุลเดิมไม่ได้มาที่นี่เพื่อเกลี้ยกล่อมให้คืนดีกัน แต่กลับโวยวายจะให้พี่ใหญ่กับพี่สะใภ้ใหญ่หย่ากัน ต่อให้มีเรื่องอันใดก็ควรจะให้ไท่ฮูหยินเป็นคนตัดสินใจ ท่านพ่อท่านแม่ของข้าก็จะไม่นั่งดูอยู่เฉยๆ อย่างแน่นอน ท่านทำเช่นนี้เกรงว่าจะทำร้ายจิตใจของผู้อาวุโสมากเกินไปแล้ว”