“กล่าวกันว่าดื่มยาพิษฆ่าตัวตายเจ้าค่ะ”
ครู่หนึ่ง ในตอนที่มั่วเชียนเสวี่ยนึกว่าฮูหยินผู้เฒ่าจะถามรายละเอียดอีกหน่อยว่า ตอนนั้นมีท่าทีแตกต่างกันได้หรือ พร้อมกับให้นางสืบหาสาเหตุการตายให้ดีนั้น ฮูหยินผู้เฒ่ากลับเอ่ยอย่างเฉยชาว่า “รู้แล้ว เจ้าออกไปเถอะ ประกาศกับภายนอกว่าเซี่ยซื่อเสียชีวิตจากอาการป่วย แล้วจัดพิธีศพอย่างยิ่งใหญ่เสีย!”
ฉือหมัวมัวรับคำสั่งแล้วถอยออกไป
ภายในห้องเย็นเยียบขึ้นมาทันที
ในที่สุดตัวการวางยาพิษเซ่าชิงก็ตายแล้ว มั่วเชียนเสวี่ยไม่มีทางเกิดใจดีสงสารนางกับหนิงเซ่าอวี่ที่น่ารังเกียจผู้นั้นเด็ดขาด ในใจนางถึงขั้นรู้สึกชื่นมื่นด้วยซ้ำ นังสารเลวผู้นี้มีจุดจบเช่นนี้ก็สมน้ำหน้าแล้ว!
แต่ทว่า ตอนนี้กลับไม่สามารถแสดงความรู้สึกออกมาได้
นางเอ่ยปลอบฮูหยินผู้เฒ่าด้วยสีหน้าเศร้าโศกเล็กน้อย “เป็นเพราะหนิงฮูหยินปล่อยวางเรื่องของหนิงเซ่าอวี่ไม่ได้ชั่วขณะ ข้าเสียใจกับฮูหยินผู้เฒ่าด้วยนะเจ้าคะ ท่านอย่าเสียใจจนทำให้เสียสุขภาพเลยเจ้าค่ะ”
แต่ทว่า ใบหน้าของฮูหยินผู้เฒ่ากลับไร้ซึ่งความโศกเศร้าเสียใจ ปากก็ตอบในเรื่องที่ไม่ตรงกับหัวข้อที่สนทนา “เซี่ยซื่อเป็นภรรยาคนที่สอง ไม่ใช่มารดาผู้ให้กำเนิดหนิงเซ่าชิง ต่อหน้ามารดาของหนิงเซ่าชิงก็เป็นแค่อนุภรรยา เซ่าชิง ตระกูลหนิง และครอบครัวหัวหน้าตระกูลจึงไม่จำเป็นต้องไว้ทุกข์ให้นาง เรื่องการแต่งงานของพวกเจ้าก็ไม่ได้รับผลกระทบ”
มั่วเชียนเสวี่ยตะลึง
การตายของเซี่ยซื่อ ไม่แม้แต่จะทำให้เกิดระลอกคลื่นความรู้สึกในใจฮูหยินผู้เฒ่าเลยแม้แต่น้อย
หรือว่าตระกูลขุนนางใหญ่ล้วนโหดเหี้ยมไร้หัวใจเช่นนี้ ดีร้ายอย่างไร เซี่ยซื่อผู้นี้ก็เป็นสะใภ้ของฮูหยินผู้เฒ่าเกือบยี่สิบปี แม้ว่าจะเลี้ยงสุนัขตัวหนึ่ง เวลายี่สิบปีก็มีความรู้สึกให้บ้างจนสามารถบีบน้ำตาออกมาสองสามหยดได้
ฮูหยินผู้ดูแลครอบครัวในตระกูลขุนนางเก่าแก่ลาลับ เรื่องงานศพย่อมมีระเบียบขั้นตอนในการดำเนินการ แต่ว่าเอ่ยมอบให้ข้ารับใช้ด้วยท่าทางไม่แยแสเช่นนี้ ก็…
ไม่รู้ว่าทำไม นึกถึงตนเองที่จะต้องเข้ามาอยู่ในตระกูลนี้ และเป็นฮูหยินลำดับหนึ่งของตระกูลขุนนางเก่าแก่เช่นกัน ก้นบึ้งหัวใจนางก็รู้สึกหนาวเหน็บ
ไม่รู้ว่าในจวนหลังใหญ่แห่งนี้ จะกลบฝังความรักของนางหรือไม่?!
มั่วเชียนเสวี่ยที่เหน็บหนาวถึงก้นบึ้งหัวใจเอ่ยปลอบฮูหยินผู้เฒ่าอย่างไม่มีใจความสาระอะไรอีกสองสามประโยค แล้วขอตัวลา คราวนี้ฮูหยินผู้เฒ่าไม่ได้รั้งไว้อีก
ออกจากเรือนฉือหย่างของฮูหยินผู้เฒ่าแล้ว มั่วเชียนเสวี่ยก็หมดอารมณ์จะชื่นชมทิวทัศน์ในจวนหนิงอีก เพียงแต่เร่งฝีเท้าเดินอย่างรวดเร็ว
โชคดีที่จื่อฉิงก็มีวรยุทธ์เล็กน้อย จึงเดินตามด้วยฝีเท้าว่องไวอยู่ด้านหลังโดยไม่ลนลาน
ตอนไปใช้เวลาเดินครึ่งชั่วโมงกว่า ขากลับใช้มากสุดก็แค่หนึ่งเค่อ[1]
เมื่อเข้าไปในเรือนข้าง ชูอีก็มากระซิบรายงานว่า กูเหยียมาแล้ว
มั่วเชียนเสวี่ยเข้าไปด้านใน หนิงเซ่าชิงกำลังพิงร่างพักผ่อนอยู่ข้างตั่งด้วยท่าทางเกียจคร้าน
ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหว ก็ลืมนัยน์ตาหงส์เรียวยาวขึ้น เห็นว่าเป็นมั่วเชียนเสวี่ยเดินมา หนิงเซ่าชิงก็ไม่ได้ลุกขึ้น แต่ยื่นมือออกไป เป็นสัญญาณในมั่วเชียนเสวี่ยมานั่ง
มั่วเชียนเสวี่ยทำตามความต้องการของเขา นั่งลงข้างเขา แล้ววางมือบนมือที่ยื่นมาของเขา
ความอุ่นร้อนส่งมาเป็นระลอก ทำให้ความเหน็บหนาวที่ก้นบึ้งหัวใจของลดไปเล็กน้อย
“เซี่ยซื่อตายแล้ว ท่านรู้หรือไม่” มีบางสิ่งที่นางรู้ว่าไม่ควรถาม แต่ว่าอดไม่ได้จริงๆ
หนิงเซ่าชิงหัวเราะเสียงเย็น “หนิงเซ่าอวี่ถูกท่านพ่อสั่งทำลายวรยุทธ์ และส่งไปเฝ้าสุสานในต้าฮวงด้วยตนเอง ความหวังของนางแตกสลาย ชั่วชีวิตนี้หมดโอกาสที่จะพลิกฟื้นกลับมา และไม่สามารถออกจากวัดประจำตระกูลได้ ไม่ตาย อยู่ไปก็ไร้ความหมาย”
“แต่ว่า ด้านนอกนั่นจะมองท่านอย่างไร”
นี่เป็นสิ่งที่มั่วเชียนเสวี่ยเป็นกังวล
น้องชายถูกส่งไปต้าฮวง ภรรยาน้องชายตายอนาถ มารดาเลี้ยงก็สิ้นเช่นกัน ทิศทางการโจมตีล้วนชี้มาที่ท่าน ไม่ให้คนคิดมากหรือวิพากษ์วิจารณ์นั้นยากเช่นกัน!
“จะมองอย่างไร ข้าไม่สนใจ”
หนิงเซ่าชิงไม่แยแส และเป็นฝ่ายปลอบโยนมั่วเชียนเสวี่ยแทน
“เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง ท่านพ่อจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว เมื่อวานมีมือสังหารมาลอบโจมตี หนิงเซ่าอวี่ไปต้าฮวง เพื่อเฝ้าสุสานตระกูลหนิง เป็นการตัดสินใจของท่านพ่อ เขาไปต้าฮวง แม้ว่าจะเป็นการเฝ้าสุสาน แต่กลับบอกกับภายนอกว่าเป็นการไปจัดการดูแลที่ดินที่บรรพบุรุษตระกูลหนิงทิ้งเอาไว้ให้ ในสายตาคนนอก ไปถึงที่นั่น เขาก็เป็นนายท่านของที่นั่น ส่วนที่ว่าข้างในนั้นเป็นอย่างไร ไม่มีผู้ใดรู้ ใครจะกล้าวิพากษ์วิจารณ์ เซี่ยซื่อสุขภาพไม่แข็งแรง จึงเข้าไปบำรุงร่างกายที่วัดประจำตระกูล เรื่องนี้ลือกันไปทั่วตระกูลขุนนาง ครั้งนี้ได้รับความตื่นตระหนก อาการป่วยกำเริบ ทำให้สิ้นใจ เกี่ยวอันใดกับข้าด้วย”
มิอาจไม่กล่าวว่า ฉากการตายของเซี่ยซื่อนั้น คล้ายกับมีการจัดเตรียมไว้เรียบร้อยนานแล้ว
นางปฏิบัติธรรมอยู่ในวัดประจำตระกูลเงียบๆ ไม่เคยออกมา หากไม่มีคนรายงาน ไม่มีคนบอกใบ้ ด้วยนิสัยของคนประเภทนาง จะฆ่าตัวตายได้อย่างไร หากหัวหน้าตระกูลรุ่นก่อนอยากให้นางมีชีวิต ก็มีเหตุผลเป็นหมื่นที่จะไม่ให้นางรู้ ไม่ให้นางตาย
แต่ว่าการจัดเตรียมทีละขั้นตอน การทุ่มเทคิดคำนวณวางแผนทีละก้าวนี้ ย่อมเกิดจากน้ำมือของหัวหน้าตระกูลรุ่นก่อน
นี่ก็คือสามีภรรยา เป็นความโหดร้ายของสามีภรรยาตระกูลขุนนาง!
มั่วเชียนเสวี่ยพลันรู้สึกกลัว กลัวว่านางกับหนิงเซ่าชิงก็จะก้าวไปถึงจุดนั้น
และหวนนึกถึงก่อนที่กุ้ยเสี่ยวซีจะตายขึ้นมา รอยยิ้มจางๆ ที่มุมปากนั้น
จะมีวันใดที่นางร้องขอความตาย เพราะทนอยู่ในจวนหลังใหญ่เช่นนี้ไม่ได้แล้วหรือไม่
นางสั่นสะท้าน!
หนิงเซ่าชิงคล้ายกับมองออกถึงความคิดทั้งหมดของมั่วเชียนเสวี่ย จึงเอ่ยเรียบๆ ว่า “ข้ารู้ว่าในใจเจ้าสงสัยเรื่องของกุ้ยซื่อมาก”
มั่วเชียนเสวี่ยไม่ได้หลบเลี่ยงหัวข้อสนทนานี้ และจ้องหนิงเซ่าชิงเขม็ง รอเขาเอ่ยต่อ นางไม่ได้ถามเรื่องกุ้ยเสี่ยวซีกับกุ่ยซา เพราะจะรอให้หนิงเซ่าชิงเป็นฝ่ายเอ่ยกับนางเอง
“ความจริงแล้ว ตอนแรกนางหมั้นหมายกับข้า”
มั่วเชียนเสวี่ยใจกระตุก หนิงเซ่าชิงกลับจับมือนางแน่น ทำให้นางมีพลังเล็กน้อย
ต่อมาหนิงเซ่าชิงก็เอ่ยเรื่องในปีนั้น และความจริงที่สืบได้ในภายหลังให้มั่วเชียนเสวี่ยฟังโดยไม่ตกหล่นสักคำ ทั้งยังเน้นย้ำว่าตนเองกับกุ้ยซื่อผู้นั้นไม่ได้มีอันใดเกี่ยวข้องกัน…
มั่วเชียนเสวี่ยลบเรื่องหนักใจไปได้ พลางถอนหายใจเป็นระลอก
ระหว่างนางกับหนิงเซ่าชิงนั้นเป็นความบังเอิญต่างๆ นาๆ ก็เหมือนกับที่หนังสือเล่มนั้นเขียนไว้ว่าเรื่องมันบังเอิญมากจริงๆ
หากคราแรกหนิงเซ่าชิงไม่ได้ยืนหยัด หมั้นหมายกันก่อนพิธีสวมกวาน เช่นนั้นเรื่องนี้…
มั่วเชียนเสวี่ยมีสีหน้าหงุดหงิดมาก หนิงเซ่าชิงจะไม่รู้ได้เช่นไร ตัวเขาเองก็ตะลึงจนร่างชุ่มไปด้วยเหงื่อเย็น
ถอนหายใจแล้วกอดนางไว้ในอ้อมแขน
“อย่าคิดเรื่องพวกนี้อีกเลย ข้าจะให้เจ้าของอย่างหนึ่ง”
เอ่ยจบ หนิงเซ่าชิงก็หยิบสมุดปกแข็งที่ทำด้วยหนังสีแดงออกมาจากหน้าอก
นี่คือ…สาสน์กราบทูล?
มั่วเชียนเสวี่ยรับมาด้วยความงงงัน แต่กลับไม่ได้เปิดอ่าน เพียงแค่เอ่ยถามว่า “หมายความว่าอะไร”
นางรู้สึกมีเงามืดกับสาสน์กราบทูล หลายครั้งที่ไปท้องพระโรง สาสน์กราบทูลล้วนกล่าวโทษนาง ด้านในนั้นล้วนเขียนวาจาให้ร้าย กล่าวโทษนาง
ตอนนี้นางไม่กล้าดูว่ามีข่าวร้ายอันใดอีก
หนิงเซ่าชิงเลิกคิ้ว หัวเราะเบาๆ “เปิดอ่านดูก็รู้แล้ว”
ฟังจากน้ำเสียง น่าจะไม่ใช่ข่าวร้าย มั่วเชียนเสวี่ยสีหน้าผ่อนคลาย เกิดความรู้สึกอยากรู้อยากเห็นขึ้นมา ขณะเปิดสาสน์กราบทูล
อ่านทุกตัวอักษรในนั้นอย่างละเอียด ใบหน้าเผยแววยินดี นัยน์ตาเต็มไปด้วยประกายแห่งความหวัง มองไปทางหนิงเซ่าชิง
“นี่…เลือกวันแต่งงานเรียบร้อยแล้วหรือ!” เป็นความสงสัย แต่ก็เป็นความแน่นอนที่ไม่กล้าเชื่อยิ่งกว่า
วันที่สิบสอง เดือนสิบสอง ตลกเกินไปแล้ว นางไปถามสำนักหอดูดาวหลวงที่เป็นคนเลือกวันว่าเป็นประธานบริษัทเถาเป่าทะลุมิติมาหรือไม่ได้ไหม
หนิงเซ่าชิงพยักหน้ายิ้มๆ “อืม” เขาดึงคนที่ทั้งตะลึง ทั้งยินดีตรงหน้าเข้ามา แล้วแตะริมฝีปากลงบนหน้าผาก
[1] หนึ่งเค่อ หมายถึง 15 นาที