เป็นเพราะเมื่อวานมีเรื่องมากมายเกินไป ถึงตอนเช้าเพิ่งจะได้งีบหลับไปครู่หนึ่ง สุดท้ายจึงยังเหนื่อยอยู่บ้าง เสียงของหนิงเซ่าชิงจึงแหบพร่าเล็กน้อย
“ตอนกลางวันงานเยอะเกินไป ท่านพ่อไม่ทันได้ถ่ายทอดวาจา เมื่อคืนเพิ่งมอบถึงมือข้าด้วยตนเอง”
มั่วเชียนเสวี่ยตื้นตันเล็กน้อย อย่างไรเสีย บนโลกใบนี้คนที่คำนึงถึงพวกเขาสองคนจริงๆ นั้นมีไม่มาก นางแนบหน้าเข้ากับแผงอกของหนิงเซ่าชิง แล้วเอ่ยเสียงออดอ้อนว่า “บิดาท่านเป็นคนดีจริงๆ หลังจากนี้ข้าจะเชื่อฟังเขาแน่นอน และกตัญญูต่อท่านผู้เฒ่าให้มาก…”
หนิงเซ่าชิงลูบปอยผมนาง ประคองใบหน้านางขึ้นมา
สีหน้าจริงจัง แต่แววตากลับแฝงไปด้วยการสัพยอก “เชื่อฟังนั้นไม่จำเป็นหรอก หากอยากจะกตัญญูต่อท่านผู้เฒ่าเช่นเขาจริงๆ ก็รีบให้กำเนิดเจ้าตัวน้อยสองสามคนกับสามีไวๆ ให้จวนแห่งนี้คึกคัก และให้เขามีความรู้สึกให้พึ่งพิง”
หนิงเซ่าอวี่มักจะคิดว่าท่านพ่อไม่รักเขา แต่ความจริงแล้วความรักของท่านพ่อลึกซึ้งมาก
แม้แต่กับตัวเขาเอง ท่านพ่อก็เข้มงวดมาตั้งแต่วัยเยาว์ ไม่ถึงสิบขวบปีก็พักอาศัยในวัดเซียงกั๋ว เพื่อฝึกวรยุทธ์ ไม่ถึงสิบห้าก็ไปต้าฮวง สิบแปดก็จัดการทุกอย่างด้วยตนเองในตระกูล…
แม้ว่าท่านพ่อจะจัดการลงโทษเขา แต่สุดท้ายในใจก็ยังรักและสงสาร ไม่เช่นนั้นคงจะไม่พลิกไปพลิกมา นอนไม่หลับตลอดคืนหรอก
หากเขามีลูก หัวใจท่านพ่อคงได้รับการปลอบประโลมไม่มากก็น้อย
คิดถึงตรงนี้ หนิงเซ่าชิงก็อดตำหนิคนที่อนุมัติสาสน์กราบทูลฉบับนี้ไม่ได้ เป็นครั้งแรกที่แสดงความไม่เคารพกับฮ่องเต้ต่อหน้ามั่วเชียนเสวี่ย
“กูเย่อวี้ (ฮ่องเต้) คนน่ารังเกียจ ถึงกับเลือกวันที่ห่างที่สุด ระยะเวลาไว้ทุกข์ของเจ้าในเดือนเจ็ดย่อมมีวันมงคล พอถึงเดือนแปด ระยะเวลาไว้ทุกข์หนึ่งปีของเจ้าก็คบแล้ว หากเขาเลือกวันที่ใกล้ที่สุด ไม่ถึงวันที่สิบห้า เดือนแปด เจ้าก็แต่งเข้ามาได้แล้ว พวกเราจะได้ชมจันทร์ด้วยกันได้อย่างเปิดเผย…”
มั่วเชียนเสวี่ยเห็นท่าทางแบบนี้ของเขาน้อยมาก กลัวจริงๆ ว่าเสียงเขาจะดังเกินไป ถูกคนได้ยินเข้าก็ไม่ดีแล้ว และกลัวสาวใช้กับองครักษ์ข้างนอกได้ยินเข้าแล้วรู้สึกขบขัน จึงปิดปากเขา เอ่ยอย่างไม่พอใจว่า “โวยวายอันใด ท่านน่ะใจร้อน!”
หนิงเซ่าชิงไม่เพียงแต่ไม่ดึงมือมั่วเชียนเสวี่ยออก แต่กลับจ้องมองมาอย่างลึกซึ้ง แล้วแลบลิ้นเลีย “เสวี่ยเสวี่ยไม่รีบหรือ”
มั่วเชียนเสวี่ยคันมือยุบยิบ จึงดึงออกเอง
หนิงเซ่าชิงกลับพลิกตัว กดมั่วเชียนเสวี่ยไว้ใต้ร่าง
ข้างนอกจะโกลาหลเช่นไร แต่อารมณ์ของหนิงเซ่าชิงในตอนนี้นั้นดีเป็นอย่างยิ่ง
เซี่ยซื่อไม่ใช่มารดาผู้ให้กำเนิดเขา ตอนที่ยกยาพิษชามนั้นเข้ามา นางก็เป็นคนนอกคนหนึ่ง เป็นศัตรูที่คิดจะจัดการเขาให้ตายคนหนึ่ง แต่เห็นแก่หน้าท่านพ่อ เขาถึงไม่ได้ลงมือ กล่าวความจริง นังสารเลวผู้นี้จะตายหรือไม่ตายก็ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเขาสักนิดเดียว
กุ้ยเสี่ยวซีผู้นั้นยิ่งไม่มีความหมายอะไรกับเขา
ส่วนหนิงเซ่าอวี่ ผู้อาวุโสใหญ่ และหลูเจิ้งหยางพวกนี้ เขายิ่งไม่นำพามาใส่ใจ
แต่ว่า มั่วเชียนเสวี่ยกลับไม่เหมือนกัน นั่นเป็นสิ่งที่นางก้าวข้ามไปไม่ได้ในใจ
อย่างไรเสีย ภายในเวลาหนึ่งวันก็เกิดเรื่องขึ้นมากเกินไป
หรือจะบอกว่า นี่ไม่ใช่ถิ่นของนาง สถานที่แห่งนี้ทำให้นางใจไม่สงบ นางทำตัวตามสบายไม่ลง
สองคน ‘ทำกิจกรรมกัน’ มักจะมีเสียงเล็กน้อย…ในบ้านไร่ของนาง เขาทำตามอำเภอใจได้ แต่ที่นี่กลับไม่ได้ หากนางใช้น้ำอาบน้ำในเวลากลางวัน จะไม่เป็นการบอกใต้หล้าว่า นางถูกจับกินลงท้องไปแล้วหรอกหรือ?
นางไม่อยากทำให้รู้กันไปทั่ว
แม้ว่าเซี่ยซื่อจะไม่ใช่มารดาของหนิงเซ่าชิง แต่อย่างไรก็เป็นมารดาเลี้ยงในนาม แม้จะบอกว่าหนิงเซ่าชิงควบคุมทุกอย่างไว้ได้ แต่ระวังไว้สักหน่อยก็ไม่เลว หากตอนนี้ถูกจับจุดอ่อนได้ จะต้องมีปัญหาเล็กน้อยแน่นอน
จริงๆ ก็เป็นสามีภรรยาที่ถูกทำนองคลองธรรมกันตั้งแต่แรกแล้ว แต่กลับต้องทำเหมือนลักลอบรักกัน มั่วเชียนเสวี่ยไม่สบอารมณ์
ยันแผงอกหนิงเซ่าชิงเอาไว้ “พอแล้ว อย่าดื้อ! ร่างกายท่านยังมีบาดแผลนะ!”
“แผลเล็กๆ แค่นี้จะนับเป็นอะไรได้ เจ้าดูแคลนสามีหรือ สามีเป็นอะไรหรือไม่นั้น เดี๋ยงเสวี่ยเสวี่ยลองดูก็รู้แล้ว”
ปกติงานยุ่ง ไม่ได้ครอบครองร่างกายมั่วเชียนเสวี่ยเป็นครึ่งเดือน บางครั้งมีโอกาส มั่วเชียนเสวี่ยก็บอกว่าไม่ได้อยู่ในระยะปลอดภัย ไม่ยอม เขาจึงทำได้แค่อดกลั้นเอาไว้
วันที่ระดูมาของมั่วเชียนเสวี่ยนั้น เขาจำได้ดีกว่านางมากนัก วันก่อนระดูเพิ่งหมดไป มั่วเชียนเสวี่ยถึงได้ยอมให้เขาพักที่บ้านไร่
เขาจำได้ว่านางบอกว่าระยะปลอดภัยคือ หน้าสามหลังสี่ วันนี้เป็นวันที่สี่ของการนับหลังพอดี อย่างไรก็ต้องคว้าโอกาสที่ได้มาไม่ง่ายนี้เอาไว้ให้ได้
ความปรารถนามีมาก จุกจนเจียนตายอยู่แล้ว!
นางรู้ว่า หากตอนนี้นางไม่เปลี่ยนหัวข้อสนทนา คราวนี้เกรงว่าจะต้องทำกิจกรรมนั่นแล้วจริงๆ
ไม่ใช่ว่านางไม่ยินยอม และไม่ใช่ไม่อยาก
แต่ว่าในใจนางรู้สึกคันคะเยอ ไม่อยากทำอะไรนั่นที่เรือนข้างจริงๆ
ฉวยโอกาสที่ยังมีสติอยู่ มั่วเชียนเสวี่ยถามทำลายบรรยากาศ “จับหลูเจิ้งหยางได้หรือยัง”
ซี๊ด…
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร ข้างนอกมีเสียงแปลกๆ ดังมาอย่างเลือนราง “ไม่รู้ว่าคุณหนูใหญ่มั่วชอบกินสิ่งใด ใกล้จะเที่ยงแล้ว ไม่เห็นพวกพี่สาวมาสั่งอาหาร หมัวมัวที่ดูแลห้องครัวให้…”
เสียงของชูอี “คุณหนูของพวกข้ากำลังพักผ่อน อีกครู่ค่อยกิน”
อาหารกลางวัน? ยามอู่[1]แล้วหรือ?! มั่วเชียนเสวี่ยได้สติขึ้นมาจากความเคลิบเคลิ้ม
เมื่อตรวจดูก็พบว่าอาภรณ์ตัวนอกของตนเองหายไปไหนแล้วก็ไม่รู้ ส่วนตัวในก็เปิดอ้าออก
จึงไม่รู้ว่าจะหงุดหงิดตนเองหรือหนิงเซ่าชิงดี เข็มเคลื่อนออกมาจากแขนเสื้อ
เขาไม่เชื่อฟัง ก็จิ้มเขา ให้เขาเชื่อฟัง
มือเขาว่องไวอย่างยิ่ง เกรงว่าจะจิ้มไม่โดน
หลังแขนเขามีบาดแผล จิ้มไม่ได้
เอวของบุรุษก็จิ้มไม่ได้ หากจิ้มแล้วเกิดโรคอะไรขึ้นมา หลังจากนี้นางก็ไม่อาจมีความสุขได้แล้ว
จิ้มไม่ได้!
จิ้มสะโพก? อันนี้เหมือนจะไม่มีประโยชน์
มั่วเชียนเสวี่ยคิดไปคิดมาแล้ว ก็ยังหาจุดที่จะลงมือไม่ได้
ช่างมันเถอะๆ จิ้มตัวเองก็ได้แล้ว
ให้ตนเองแข็งทื่อเหมือนหุ่นไม่ คิดว่าคนที่กระตือรือร้น ก็คงไม่มีอารมณ์
คิดถึงตรงนี้ มั่วเชียนเสวี่ยก็หลับตา จิ้มลงไปที่ไหล่และคอ
ข้าทำให้ท่านมีอารมณ์พุ่งสูง ให้ท่านไม่เชื่อฟังคำของข้า ข้าจะเปลี่ยนเป็นหุ่นไม้ ให้ท่านโมโหแทบตายไปเลย
นึกว่าจะช้าไป แต่กลับรวดเร็วกว่าที่คิด!
เข็มเงินยังไม่ทันได้จิ้มตัวเอง ก็ถูกมือใหญ่แข็งแรงข้างหนึ่งจับเอาไว้
มัวเชี่ยนเสวี่ยตะลึง!
สามารถทำสองเรื่องในเวลาเดียวกันได้ด้วย
หนิงเซ่าชิงปล่อยผ้าคาดเอวที่เพิ่งจะกัดออก แต่กลับไม่เงยหน้า แค่เคลื่อนที่อย่างเชื่องช้า
ความคิดพวกนั้นของนาง เขาจะไม่รู้ได้อย่างไร ด้วยวรยุทธ์ของเขา เข็มนี้แม้ว่าจะจิ้มลงบนร่างเขา ก็ออกฤทธิ์แค่ไม่กี่ช่วงลมหายใจเท่านั้น แต่ถ้าจิ้มลงบนร่างนาง คิดว่าน่าจะพอให้นางทุกข์ทรมานหนึ่งถึงสองชั่วยาม
ใจร้ายจริงๆ ไม่เห็นนางจะใจร้ายกับคนอื่นขนาดนี้ แต่เห็นนางใจร้ายกับตนเองเสียแล้ว
หนิงเซ่าชิงหงุดหงิดต่อการไม่ให้ความร่วมมือกับมั่วเชียนเสวี่ยเล็กน้อย แต่ก็จนปัญญาด้วยเช่นกัน
การปฏิเสธที่เห็นได้ชัดเช่นนี้ เขาจะบีบบังคับนางได้อย่างไร
สูดลมหายใจลึก แล้วชิมความหวานในส่วนที่นุ่มละมุน ก่อนหน้านี้รุกรานอย่างรุนแรงเร่าร้อน ตอนนี้กลับปลอบขวัญอย่างอ่อนโยน
และเคลื่อนใบหน้าขึ้นไปสัมผัสกลีบปากแดงของมั่วเชียนเสวี่ยแผ่วเบา แล้วค่อยจุมพิตหน้าผากนาง
[1] ยามอู่ คือ 11.00 – 12.59 น.