ตอนที่ 554 กลับประเทศ
วันต่อมา หลินม่ายและฟางจั๋วหรานก็นั่งเครื่องบินกลับประเทศ
พวกเขาพกเพียงข้าวของเล็กๆ น้อยๆ ที่มีค่าติดตัวไว้ ส่วนอย่างอื่นก็ให้พ่อบ้านที่คุณยายทิ้งไว้จัดการขนส่งกลับประเทศให้
นั่งเที่ยวบินทางไกล ต่อให้เป็นตั๋วชั้นหนึ่ง สำหรับหลินม่ายแล้วก็ยังทรมานอยู่ดี ที่สำคัญนั้นเป็นเพราะเวลาที่นานเกินไป
เมื่อลงจากเครื่องบิน หลินม่ายก็รู้สึกปลอดโปร่งสดชื่นขึ้นมาทันที แม้แต่อากาศก็ยังหอมหวาน
เธอและฟางจั๋วหรานจูงมือกันออกจากสนามบิน ก็เห็นว่าที่หญิงสาววัยรุ่นทั่วถนนหนทางสวมใส่นั้นล้วนเป็นเสื้อผ้าฤดูหนาวที่เธอและเถาจืออวิ๋นร่วมกันออกแบบขึ้นมา
โดยเฉพาะเสื้อผ้าฤดูหนาวแบบที่มีฮู้ดนั้น มีคนใส่เยอะเป็นพิเศษ
ทั้งสองมาถึงบ้านในเวลาเที่ยง คุณปู่คุณย่าฟางกำลังเตรียมจะกินอาหารเที่ยงอยู่พอดี
อาหวงที่ได้ยินเสียงฝีเท้าที่คุ้นเคย พลันสั่นหัวส่ายหางเห่าโฮ่งๆ ขึ้นมาและทำท่าทางอยากออกไปทันที
คุณย่าฟางเห็นเช่นนั้น ก็รู้ว่าฟางจั๋วหรานและหลินม่ายกลับมาแล้ว
ก่อนหน้านี้พวกเขาเคยโทรศัพท์มาแล้ว บอกว่าพวกเขาจะกลับมาในสองวันนี้
ผู้อาวุโสทั้งสองวิ่งตามกันไปเปิดประตูบ้าน เห็นฟางจั๋วหรานและหลินม่ายเพิ่งจะเปิดประตูรั้วเดินเข้ามา
คุณปู่ฟางและคุณย่าฟางยินดีปรีดาอย่างยิ่ง ทุกคนทักทายถามไถ่ทุกข์สุขกันพลางเดินเข้าไปในบ้าน
หลินม่ายหยิบของล้ำค่าเช่น นาฬิกาข้อมือแบรนด์เนม เครื่องประดับจิวเวลรี่ ที่ซื้อมาให้ผู้อาวุโสทั้งสองออกมามอบให้พวกเขา
ผู้ชายจนตายก็ยังเป็นเด็กหนุ่ม ผู้หญิงจนตายก็ยังเป็นเด็กสาว
คุณย่าฟางได้รับของพวกนาฬิกาแบรนด์เนมและจิวเวลรี่แล้วก็ดีใจจนยิ้มแก้มปริ
แต่คุณปู่ฟางกลับดูเหมือนไม่ค่อยสนใจนัก
จนกระทั่งหลินม่ายหยิบไวน์แดงสองสามขวดออกมา บอกเขาว่า ไวน์แดงพวกนี้ทั้งหมดคือไวน์ที่ผลิตออกมาจากโรงกลั่นไวน์เมิ่งอวี๋ของฟางจั๋วหราน ติดอันดับ 1 ใน 10 ของโลก เขาถึงได้รู้สึกสนใจขึ้นมา
พลันเปิดขวดหนึ่งในทันที กินมื้อเที่ยงไปพลางดื่มไปพลาง ถูกคุณย่าฟางตำหนิอยู่พักใหญ่
หลินม่ายเห็นว่าบนโต๊ะอาหารมีกับข้าวแค่สองอย่างและซุปหนึ่งอย่าง ก็บอกอย่างปวดใจให้คุณปู่ฟางผู้อาวุโสทั้งสองไม่ต้องประหยัดเกินไป
ถึงตอนเที่ยงจะมีพวกเขากินข้าวกันแค่สองคน ก็ต้องกินให้ดีสักหน่อย
คุณปู่ฟางมือหนึ่งถือแก้วไวน์ ใช้ตะเกียบชี้ไปยังกับข้าวและซุป “มีปลามีเนื้อมีไข่ กับข้าวพวกนี้ก็ไม่แย่แล้ว พอกินสำหรับปู่ย่าแล้วล่ะ มีเงินก็อย่าฟุ่มเฟือย เพียงแต่พวกหลานสองคนกลับมากะทันหัน กับข้าวสองซุปหนึ่งนี้ก็เลยดูเหมือนจะไม่เพียงพอเท่านั้นเอง”
หลินม่ายวางตะเกียบลง “ฉันจะไปดูว่าในตู้เย็นมีผักเขียวบ้างไหม จะได้ผัดผักสักจาน”
เธอเปิดตู้เย็นออกมา ภายในนั้นแม้จะมีผักใบเขียวแค่ผักกาดขาวและปวยเล้ง แต่กลับมีผักนอกฤดูอยู่ไม่น้อย
มะเขือเทศ พริก แตงกวา มะเขือม่วง…
เธอถามอย่างตื่นเต้นระคนประหลาดใจ “คุณปู่คุณย่าคะ ผักในเรือนเพาะชำของฉันสุกแล้วเหรอคะ?”
ผู้อาวุโสทั้งสองยิ้มตาหยีพลางพูดเป็นเสียงเดียวกัน “สุกน่ะสุกตั้งนานแล้ว วางขายที่ตลาดสดฝูตัวตัวของเธออยู่หลายวันแล้วล่ะ”
หลินม่ายหยิบมะเขือม่วงสองลูกมาทำเป็นผัดมะเขือ
แม้จะเป็นผักในเรือนเพาะชำ แต่ก็ใช้ยากำจัดศัตรูพืชน้อยและรสชาติดีมาก
กินมื้อเที่ยงเสร็จ ฟางจั๋วหรานก็งีบพักกลางวันเพียงครู่เดียวก็ไปทำงานทันที
หลินม่ายหยิบสร้อยคอทองคำที่จะให้โจวฉายอวิ๋นและเพื่อนสนิททั้ง4คนแล้วออกจากบ้านไปเช่นกัน
เธอไปยังที่อยู่ของโจวฉายอวิ๋นก่อนเป็นอันดับแรก
ตอนนี้โจวฉายอวิ๋นอาศัยอยู่ในห้องเดี่ยวของหลินม่าย และเป็นเพื่อนบ้านกับครอบครัวว่านฮุ่ย
ก่อนที่หลินม่ายจะเปิดประตูรวมใหญ่ของทั้งสองบ้าน ก็ได้ยินเสียงทะเลาะกันของเด็กสาวสองคน และเสียงไกล่เกลี่ยของคนข้างๆ
เธอผลักประตูเข้าไป แล้วชำเลืองมองไปทางบ้านว่านฮุ่ย
สองฝ่ายที่ทะเลาะกันนั้นคือสองพี่น้องว่านฮุ่ย น้องชายของพวกเธอยืนดูอยู่ข้างๆ และพ่อว่านแม่ว่านก็กำลังเกลี้ยกล่อมพวกเธออยู่
ว่านฮุ่ยเห็นว่าการทะเลาะกันของตนและพี่สาว ถูกหลินม่ายมาเจอเข้าพอดี ก็รู้สึกเก้อเขินขึ้นมาเล็กน้อย
แต่หลินม่ายกลับไม่สนใจพวกเขาทั้งครอบครัว แล้วเข้าบ้านของโจวฉายอวิ๋นไปเลย
โจวฉายอวิ๋นกำลังถือหนังสือเรียนภาคค่ำอ่านอยู่ เมื่อเห็นว่าหลินม่ายเข้ามา เธอก็พูดอย่างประหลาดใจ “เธอกลับมาจากอเมริกาแล้วเหรอ!”
หลินม่ายยิ้มพลางพยักหน้าเล็กน้อย
เธอชี้ไปที่ข้างบ้าน “เอะอะขนาดนั้น พี่ยังเรียนรู้เรื่องอีกเหรอ?”
โจวฉายอวิ๋นเอ่ยอย่างเอือมระอา “บ้านพวกเขาอึกทึกครึกโครมแทบจะทุกวัน ฉันเปลี่ยนแปลงพวกเขาไม่ไหวหรอก ก็ได้แต่ปรับตัวไปนั่นแหละ”
เธอพูดถึงตรงนี้ก็กดเสียงเบาพูดกับหลินม่ายอย่างกะทันหัน “เพื่อนนักเรียนของเธอที่ชื่อว่านฮุ่ยนั่นน่ะ เป็นคนที่ไม่ไหวเลยจริงๆ แม้แต่พี่สาวของหล่อนเองก็ยังแอบขัดขากันได้ พอถูกพี่สาวหล่อนจับได้ สองพี่น้องก็คงจะกลายเป็นศัตรูกันไปเลย”
หลินม่ายไม่สนใจกับเรื่องบุญคุณและความแค้นของสองพี่น้องว่านฮุ่ยเลยแม้แต่น้อย
เธอหยิบสร้อยคอทองคำที่ซื้อมาส่งให้โจวฉายอวิ๋น
โจวฉายอวิ๋นรู้สึกว่ามันล้ำค่าเกินไป จึงไม่กล้ารับ แล้วยื้ดยุดกับหลินม่ายอยู่เป็นครึ่งวันถึงได้รับไว้
หลินม่ายถามถึงโรงงานน้ำพริกกับผักดองของโจวฉายอวิ๋นเล็กน้อยว่าค้าขายเป็นอย่างไรบ้าง?
โจวฉายอวิ๋นพูด “ผักดองขายได้ไม่เลวเลย ผักดองล็อตแรกในวันชาติเอาไปขายที่ตลาดสดฝูตัวตัว ไม่ถึงเที่ยงก็ขายหมดเกลี้ยงแล้ว ฉันคิดว่า คงเป็นเพราะอยู่ในช่วงเทศกาล มีผู้คนหลั่งไหลมาจำนวนมาก ผักดองก็เลยขายดี แต่ต่อมาหลังหมดช่วงเทศกาลแล้ว ก็ยังขายได้ราวห้าสิบกิโลต่อวัน เห็นได้ว่าผู้คนในเมืองเจียงเฉิงนั้นชอบกินผักดองมากทีเดียว ส่วนน้ำพริก ตอนนี้นับวันก็ขายดีขึ้นเรื่อยๆ โดยพื้นฐานแล้วน้ำพริกทุกรสชาติสามารถขายทั้งกระปุกใหญ่ได้เลย”
หลินม่ายพยักหน้า “เยี่ยมเลย”
ที่กิจการน้ำพริกของโจวฉายอวิ๋นดีขึ้นเรื่อยๆ ก็เกี่ยวกับการพัฒนารสชาติของซอสพริกอย่างต่อเนื่องของหล่อนด้วย และยังเกี่ยวกับที่หลินม่ายนำซอสพริกของหล่อนไปเป็นน้ำจิ้มซาลาเปาเกี๊ยวของเปาห่าวชือด้วยเช่นกัน
ลูกค้าไม่น้อยต่างก็ชอบกินซอสพริกของหล่อนเป็นทั้งอาหารเรียกน้ำย่อยและเครื่องเคียง
ลูกค้าบางคนถามกับพนักงานของร้านเปาห่าวชือ ว่าซอสพริกนี้เป็นของที่ร้านทำเองหรือเปล่า
ถ้าใช่ พวกเขาก็อยากซื้อ
พนักงานตอบกลับด้วยรอยยิ้ม ว่าไม่ใช่ของที่ร้านทำเอง แต่ซื้อมาจากตลาดสดฝูตัวตัว
ลูกค้าบางคนก็ตามไปซื้อด้วยความชื่นชอบ กิจการน้ำพริกของโจวฉายอวิ๋นจะต้องดีขึ้นเรื่อยๆ อยู่แล้ว
โจวฉายอวิ๋นพูด “น้ำพริก 4 อย่างนั้นที่เธอให้ฉันทำ ฉันรู้สึกว่าฉันทำได้ดีขึ้นแล้วล่ะ อีกหน่อยฉันจะส่งไปให้เธอชิมดูสักหน่อย ให้เธอดูว่าฉันมีความก้าวหน้าขึ้นแล้วหรือยัง?”
หลินม่ายพยักหน้าตอบตกลง
ตอนที่เธอจากไป ว่านฮุ่ยก็ไปเรียนแล้ว ส่วนพี่สาวของหล่อนก็ยังร้องไห้โฮไม่หยุด
ดูเหมือนว่า ที่ว่านฮุ่ยสวมเขาหล่อนคงจะทำร้ายหล่อนไม่น้อยเลย
หลินม่ายขี่จักรยานไปมอบสร้อยทองให้หลี่หมิงเฉิงอีกครั้ง
เมื่อหลี่หมิงเฉิงได้รับสร้อยทอง ก็ไม่รู้ว่าควรจะแสดงสีหน้าอย่างไรดี
ของขวัญที่หลินม่ายให้เขา ไม่มีความจริงใจเลยแม้แต่น้อย
ทำไมต้องให้สร้อยคอทองคำกับเขาด้วย เธอให้นาฬิกาอเมริกาเขาสักเรือนก็ได้นี่ เขาจะได้เอาใส่ไปคุยโม้กับพวกเพื่อนๆ ได้ไงเล่า
หลินม่ายไปที่โรงงานเสื้อผ้าเป็นที่สุดท้าย
ตอนที่เธอขี่จักรยานมาถึงโรงงานเสื้อผ้า เมื่อเงยหน้ามองก็เห็นป้ายชื่อเปลี่ยนใหม่เป็นโรงงานตัดเย็บเสื้อผ้าจิ่นซิ่ว
เธอคิดในใจ ไม่รู้เหมือนกันว่าหลังจากเปลี่ยนชื่อแล้วจะมีผลกระทบต่อยอดขายมากไหมนะ
โดยทั่วไปการเปลี่ยนชื่อ จะส่งผลกระทบต่อผลิตภัณฑ์อย่างมาก
ในความทรงจำของหลินม่ายในชาติที่แล้ว มีแบรนด์ที่จมหายไปเพราะเปลี่ยนชื่ออยู่ไม่น้อย
แต่หากหลินม่ายต้องการให้แบรนด์เสื้อผ้าของตัวเองเป็นตัวแทนของประเทศจีนบนเวทีแฟชั่นระดับโลก อย่างนั้นก็จำเป็นต้องมีชื่อที่เต็มเปี่ยมด้วยความเป็นจีน การเปลี่ยนชื่อจึงเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้
จะโทษก็โทษในตอนแรกสุดที่ตนวางเค้าร่างไม่เต็มที่ มีความมั่นใจไม่เพียงพอ มองการณ์ไกลไม่พอ จึงเลือกชื่อได้ไม่ดี นำไปสู่ปัญหาที่ตามมาเป็นพรวนในตอนนี้
เมื่อลุงยามเฝ้าประตูเห็นหลินม่าย ก็ผลักประตูเหล็กบานใหญ่ของโรงงานเปิดออกให้เธออย่างกระตือรือร้น แล้วเอ่ยเรียก “หัวหน้าโรงงานหลิน”
หลินม่ายพยักหน้าให้เขาด้วยรอยยิ้ม
ลุงยามเฝ้าประตูยังยังอยากจะพูดอะไรอีก แต่เมื่อเห็นเธอขี่จักรยานไปไกลแล้วจึงได้แต่ยอมแพ้ไป
เมื่อหมุนตัวกลับมา เห็นเด็กสาวที่แต่งตัวไม่เข้ากัน ใบหน้าแต่งแต้มเครื่องสำอางคนหนึ่ง เขาก็อดขมวดคิ้วไม่ได้
คนหนุ่มสาวในตอนนี้ต่างก็ชอบเลียนแบบสไตล์ไต้หวันฮ่องกง
วัยรุ่นชายดัดผมหยิก ใส่เสื้อลายดอกกับกางเกงขาม้า ถือเครื่องบันทึกเสียงเครื่องหนึ่ง แต่งตัวอย่างกับพวกกุ๊ย ชอบโอ้อวดไปทั่ว
วัยรุ่นหญิงแต่งหน้าหนาเตอะ ใส่เสื้อผ้าแปลกประหลาด ลุงยามเฝ้าประตูเห็นแล้วขัดหูขัดตาอย่างมาก
เขาถามเด็กสาวที่แต่งตัวอย่างกับไก่แจ้ตรงหน้าด้วยน้ำเสียงไม่เป็นมิตร “มีธุระอะไรครับ?”
……………………………………………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
ใครมาเยือนโรงงานของม่ายจื่อกันนะ?
ไหหม่า(海馬)