รู้สึกตัวอีกที ข้าก็เป็นเซียนซะแล้ว [原來我是世外高人] – บทที่ 537 ความจริงเปิดเผย จักรพรรดิชางแปลงกายมาจากหินอัศจรรย์!

บทที่ 537 ความจริงเปิดเผย จักรพรรดิชางแปลงกายมาจากหินอัศจรรย์!

บทที่ 537 ความจริงเปิดเผย จักรพรรดิชางแปลงกายมาจากหินอัศจรรย์!

ถนนหนทาง ‘ร่มรื่น’ ผู้ฝึกตนหญิงเฉิดฉัน ผิวขาวผ่องราวหิมะคอยกระตุ้นประสาทมองเห็น แคว้นโบราณชางเยว่เปลี่ยนไปแล้วอย่างสิ้นเชิง กลิ่นอายเก่าแก่ซึ่งเกิดจากสิ่งปลูกสร้างโบราณเสียหายรุนแรง จักรพรรดิชางผู้เปี่ยมด้วยคุณธรรมและบารมี บัดนี้ตกต่ำถึงขั้นนี้แล้วหรือ?

มัจฉาสัตมายาไม่อาจเชื่อได้ลง และไม่อยากเชื่อด้วย เขานับถือจักรพรรดิชางจากใจจริง เคารพนับถือจักรพรรดิชางอย่างยิ่ง เขายอมเชื่อว่าจักรพรรดิชางผู้นี้มิใช่ตัวจริง ถูกสลับตัวไปยังเสียดีกว่า

แม้ว่าตามหลักแล้ว เรื่องนี้มีโอกาสเป็นไปได้ต่ำมาก

กลุ่มของพวกเขาเดินทะลุผ่านตรอกซอยมากมายอย่างรวดเร็ว แม้ว่ามัจฉาสัตมายาปากร้องปาว ๆ ว่าไม่ดู กระนั้นลูกตาก็ยังสอดส่ายไปทั่วอย่างอดมิได้ ที่สำคัญคือ ‘ทิวทัศน์’ บนถนนหนทางนั้นยวนตาเกินไป

ชอบดูหรือ

ชางเหยาครุ่นคิดในใจ รอให้มีโอกาสเหมาะเมื่อใด นางตั้งใจให้มัจฉาสัตมายาได้ดูจนพอ

ดูผู้ใดน่ะหรือ?

แน่นอนว่าดูนางอย่างไร

ตั้งแต่ที่นางได้พบมัจฉาสัตมายาครั้งแรก นางก็มีใจให้มัจฉาสัตมายา และต้องการเพียงมัจฉาสัตมายา ทั้งยังพยายามเพื่อการนี้มาโดยตลอด

‘ถึงเวลานั้น อย่างไรเจ้าก็ต้องมองข้า ไม่ว่าเต็มใจหรือไม่’

นางเอ่ยในใจอย่างดุดัน เริ่มวางกลยุทธ์

นางมิใช่คนขี้ขลาดหรือขี้อาย เพื่อให้ได้ครองคู่กับมัจฉาสัตมายา นางกล้าทำทุกสิ่ง

นับแต่ที่นางเป็นฝ่ายจีบมัจฉาสัตมายาก็พอมองนิสัยใจคอของนางออก นางมิใช่เด็กสาวอ้อนแอ้นเอียงอาย

ไม่นานนัก พวกเขาก็มาอยู่ที่พระราชวัง

พระราชวังโอ่อ่าสูงเสียดฟ้าประหนึ่งวังสวรรค์ กำแพงเมืองที่เต็มไปด้วยลวดลายตั้งตระหง่าน จารึกกาลเวลาที่เลยผ่าน

ลั่วสุ่ยลงมือ ผนึกพระราชวังไว้ทั้งหมด กลัวว่า ‘จักรพรรดิชาง’ ผู้นั้นจะหนีไปอีก

จากนั้น นางพามัจฉาสัตมายาและชางเหยาเหินเข้าไปในพระราชวัง โรยตัวลงมาหน้าตำหนักแห่งหนึ่งในพระราชวัง

ระหว่างนี้ ไม่มีสิ่งมีชีวิตตนใดจับพวกเขาได้ ไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่ามีคนเข้ามาถึงภายในพระราชวังแล้ว

นี่แหละ ความแกร่งกล้าของลั่วสุ่ย ใช้พลังปกปิดการมีตัวตนของพวกเขา ต่อให้พวกเขาทะยานผ่านหน้าสิ่งมีชีวิตบางกลุ่ม พวกนั้นก็ไม่อาจรู้สึกถึงพวกเขาได้เลย

ชางเหยาอึ้งไปหมด คิดไม่ถึงจริง ๆ ว่าพี่ลั่วสุ่ยจะแข็งแกร่งปานนี้

เมื่อครู่พวกเขาเหินผ่านยอดฝีมือผู้หนึ่งในวัง เล่นเอานางใจหายใจคว่ำ อกสั่นขวัญแขวน กลัวเหลือเกินว่าจะถูกยอดฝีมือผู้นั้นจับได้

เขาเป็นถึงตี้จวินเฒ่า แข็งแกร่งอย่างยิ่ง ตราบใดที่มิได้ประมือกับเทียนตี้ น้อยนักจะมีสิ่งมีชีวิตตนใดเป็นคู่ต่อสู้ของเขา

ทว่า ตี้จวินเฒ่าผู้นี้กลับเสมือนว่าตาบอด พวกเขาเหินผ่านหน้าตี้จวินเฒ่าผู้นี้ แต่ตี้จวินเฒ่าผู้นี้ไม่เห็นพวกเขาเลย ซ้ำยังไม่รู้สึกถึงการมีอยู่ของพวกเขาด้วย!

ฝีมือระดับนี้น่ากลัวจริง ๆ!

นางจินตนาการไม่ออกเลยว่าพี่ลั่วสุ่ยอยู่ในขอบเขตใดกันแน่!

เทียนตี้หรือ?

ไม่!

นางรู้สึกว่าพี่ลั่วสุ่ยมิใช่แค่เทียนตี้ อาจแข็งแกร่งยิ่งกว่าเทียนตี้เสียอีก!

นาทีนี้ นางยิ่งมั่นใจขึ้นเรื่อย ๆ อีกทั้งตื่นเต้นดีใจมากขึ้นเรื่อย ๆ ด้วย มีพี่ลั่วสุ่ยผู้แข็งแกร่งเยี่ยงนี้ออกโรง ปัญหาของเสด็จพ่อนางอาจแก้ไขได้จริง ๆ!

ฟึ่บ! ฟึ่บ! ฟึ่บ!

ขณะที่พวกลั่วสุ่ยเพิ่งโรยตัวลงมาถึงตำหนักแห่งนี้ ร่างมากมายพุ่งออกจากมุมมืด ยามนี้ ลั่วสุ่ยมิได้ใช้พลังที่คอยอำพรางตัวตนพวกเขาอีก จากคำบอกเล่าของชางเหยา จักรพรรดิชางอยู่ในตำหนักแห่งนี้ ที่นี่คือวังหลังของจักรพรรดิชาง

“องค์หญิง ท่านคิดจะทำอันใดพ่ะย่ะค่ะ! เหตุใดจู่ ๆ ถึงพาคนมาที่นี่!?”

ผู้เฒ่าคิ้วยาวสีแดงคนหนึ่งเดินนำอยู่ข้างหน้า เอ่ยด้วยคิ้วขมวดมุ่น

สีหน้าเขาเคร่งขรึมเป็นพิเศษ ซ้ำยังเจือไว้ด้วยความไม่เชื่อใจอย่างมาก เหตุการณ์นี้กะทันหันเกินไป พวกลั่วสุ่ยราวกับปรากฏตัวออกมากลางอากาศ ก่อนนี้หาได้มีพลังปราณใด ๆ เผยออกมา และปราศจากวี่แวว เขาสัมผัสมิได้เลย!

เป็นไปได้อย่างไรกัน!?

ขอบเขตพลังของเขานั้นสูงส่ง แตะถึงปรมัตถ์แห่งขั้นเทียนตี้แล้ว ห่างจากขั้นเทียนตี้อย่างแท้จริงเพียงก้าวเดียวเท่านั้น เขาเป็นถึงครึ่งก้าวเทียนตี้ จะไม่รู้สึกถึงร่องรอยเลยสักนิดได้อย่างไร?

แต่ไม่ว่าเขาเชื่อหรือไม่ ความจริงเป็นเช่นนั้น พวกลั่วสุ่ยปรากฏตัวออกมาตรงหน้าเขาจริง ๆ

หากมิใช่เช่นนั้น เขาไม่มีทางจริงจังเยี่ยงนี้ เด็กรุ่นหลังไม่กี่คนเท่านั้น จำเป็นไฉนที่เขาต้องออกโรงเช่นนี้

“บอกให้ ‘จักรพรรดิชาง’ ออกมาเสีย”

ลั่วสุ่ยกล่าว แน่ใจแล้วว่า ‘จักรพรรดิชาง’ ประทับอยู่ในตำหนักนี้

มิใช่ว่านางรับรู้ได้จากญาณสัมผัส หากแต่เป็นเพราะว่า ‘จักรพรรดิชาง’ สร้างเสียงดังไม่น้อยอยู่ข้างใน นางได้ยินเสียงน่าขยะแขยงไม่น้อย

“เจ้าเป็นใครกัน!?”

ดวงตาผู้เฒ่าคิ้วแดงหรี่ลง เล็งเห็นความสำคัญของลั่วสุ่ยยิ่งขึ้น ลั่วสุ่ยให้ความรู้สึกอันตรายถึงขีดสุดสำหรับเขา!

เป็นอันตรายที่อาจคร่าชีวิตเขาได้!

เรื่องนี้สร้างความเหลือเชื่อแก่เขาอย่างมาก ลั่วสุ่ยผู้เยาว์วัยเยี่ยงนี้ เป็นตัวอันตรายต่อชีวิตเขาได้เชียวหรือ

“แค่นำถ้อยคำนี้ไปบอกก็พอ”

ลั่วสุ่ยมิได้เอ่ยอันใดไปมากกว่านี้ ลงมือทันที

นางยื่นฝ่ามือผุดผ่องวาววามดั่งหยกออกไป ระหว่างนิ้วทั้งห้ามีพลังน่าประหวั่นพรั่นพรึงไหลเวียน กฎระเบียบชวนหวาดหวั่นอย่างยิ่งยวดกระเพื่อมขึ้นลงรอบมือเนียนของหญิงสาว

นางฟาดฝ่ามือเข้าไป สร้างความสั่นสะเทือนเลือนลั่น พลังท่วมท้นนภานั้นไร้เทียมทาน แม้ว่าผู้เฒ่าคิ้วแดงเป็นถึงครึ่งก้าวเทียนตี้ แม้ว่าคนอื่น ๆ ล้วนอยู่เหนือขั้นตี้จวินขึ้นไป แต่ก็ยังมิไหว ถูกกำราบได้ด้วยฝ่ามือนี้ในพริบตา พลังทั้งหมดในตัวถูกผนึก

“อะไรกัน!”

“เจ้า!”

พวกผู้เฒ่าคิ้วแดงมีหน้าตาผวา ตกตะลึงในใจเป็นอย่างมาก

ต้องเป็นพลังสยดสยองปานใดกัน!?

ฝ่ามือเดียวที่ฟาดลงมา สามารถผนึกพลังทั้งหมดในตัวพวกเขาได้ น่ากลัวเกินไปแล้ว!

เทียนตี้!

ไม่สิ!

นี่คือเทียนตี้ชั้นเลิศ!

เทียนตี้ธรรมดาไม่มีทางน่าพรั่นพรึงได้เพียงนี้!

นางทำได้อย่างไร?

พวกเขามองจ้องลั่วสุ่ย อย่างไรก็เชื่อไม่ลงเลยว่าลั่วสุ่ยซึ่งมีลมปราณเยาว์วัยเยี่ยงนี้ กลับเป็นถึงเทียนตี้ชั้นเลิศ

สวรรค์!

ต้องมีความสามารถวิปริตฝืนสวรรค์ปานใดถึงบรรลุเป็นเทียนตี้ชั้นเลิศได้ในวัยเยาว์เช่นนี้!?

พวกเขาไม่กล้าแม้แต่จะคิด!

ชั่วพริบตานั้น พวกเขาสั่นเทิ้มไปทั้งดวงวิญญาณ อย่าให้พูดเลยว่าในใจนั้นหวาดกลัวเพียงใด

“ไปส่งข่าวได้แล้ว”

ลั่วสุ่ยเอ่ยอีกครั้ง สั่งให้ผู้เฒ่าคิ้วแดงเข้าไปส่งข่าว

นางคิดในใจว่า ‘จักรพรรดิชาง’ ผู้นี้ชะล่าใจเสียจริง เมื่อครั้งมาถึงตำหนักแห่งนี้ นางจงใจเลิกอำพรางพลังทุกคน ก็เพื่อให้ ‘จักรพรรดิชาง’ รับรู้ถึงการมาของพวกเขา เพื่อให้ ‘จักรพรรดิชาง’ เป็นฝ่ายออกจากตำหนักด้วยตัวเอง ป้องกันมิให้พวกเขาต้องได้ยลภาพที่ไม่ควรเห็นในตำหนัก

ทว่า ‘จักรพรรดิชาง’ ด้านในนั้นหาได้แยแสไม่ แม้กระทั่งยามนางปล่อยพลังกำราบผู้เฒ่าคิ้วแดงและคนอื่น ๆ ‘จักรพรรดิชาง’ ด้านในก็ยังไม่สนใจ

ที่เกินไปกว่านั้นคือ ‘จักรพรรดิชาง’ ด้านในดูจะออกท่าออกทางมากกว่าเดิม ‘เสพสุข’ อยู่ด้านในรุนแรงกว่าเดิม เสียงครางกระดากหูรุนแรงยิ่งกว่าเมื่อครู่เสียอีก!

ไม่เห็นพวกเขาอยู่ในสายตาสักนิดเลยหรือนี่…

“ฝ่าบาท…”

ผู้เฒ่าคิ้วแดงมิกล้าลังเล รีบวิ่งเข้าไปในตำหนัก ส่งเสียงเรียกจักรพรรดิชาง

ทว่าจักรพรรดิชางยังไม่ยอมออกมา ยังคง ‘เสพสุข’ อย่างสำราญอยู่ภายใน

ลั่วสุ่ยตวาดเสียงเย็น “เจ้าก้อนหินเฮงซวย คิดจะทำอันใด!? รีบไสหัวออกมาเดี๋ยวนี้ อย่าคิดว่าข้าไม่รู้ตื้นลึกหนาบางของเจ้า ข้ารู้ทุกอย่างจนแจ่มแจ้งแต่แรกแล้ว!”

ก้อนหินเฮงซวย?

ชางเหยาผงะ ไม่เข้าใจว่าเหตุใดพี่ลั่วสุ่ยถึงพูดเช่นนี้

“แปลงกายจากหินอัศจรรย์ก้อนนั้นหรือ!?”

นัยน์ตามัจฉาสัตมายาหรี่ลง เชื่อมโยงก้อนหินเฮงซวยที่ลั่วสุ่ยตะโกนออกไป กับหินอัศจรรย์ที่จุติลงจากน่านฟ้า

“เจ้าเป็นใคร!?”

ในที่สุด ก็มีเสียงตอบรับจากด้านในตำหนัก

จากนั้น ร่างซึ่งมีพลังปราณสยดสยองล้อมรอบเหินออกจากด้านใน

ทั้งตัวเขามีเพียงผ้าปูเตียงที่พันไว้ ผมขาวโพลน ดูอายุมากแล้ว ทว่าลมปราณของเขากลับมิได้ชราภาพแม้แต่น้อย ใบหน้าของเขาเปี่ยมไปด้วยคุณธรรม ดูคล้ายคุณปู่ผู้ใจดี แต่สายตาของเขาหาได้มีคุณธรรมไม่ เปี่ยมไปด้วยความมุ่งร้าย

เขาก็คือ ‘จักรพรรดิชาง’ หรือก็คือก้อนหินเฮงซวยที่ลั่วสุ่ยว่า

ถูกต้อง

คนผู้นี้มิใช่ ‘จักรพรรดิชาง’ ตัวจริง หากแต่แปลงกายจากหินอัศจรรย์ ก่อนนี้ที่ลั่วสุ่ยแผ่ญาณสัมผัสออกไปก็ล่วงรู้ทุกอย่าง สัมผัสได้ถึงร่างจริงของ ‘จักรพรรดิชาง’ ผู้นี้

ส่วนจักรพรรดิชางตัวจริง ลั่วสุ่ยสัมผัสได้เช่นกัน เขายังไม่ตาย ถูกกำราบคุมขังไว้ในส่วนลึกของตำหนักนี้

“เจ้ากำเนิดญาณออกมาได้ หรือแต่เดิมนั้นเจ้ามีญาณอยู่แล้ว”

ลั่วสุ่ยทอดมอง ‘จักรพรรดิชาง’ คิดไม่ถึงอยู่นิดหน่อย

เมื่อคราวมัจฉาสัตมายากล่าวถึงหินอัศจรรย์ก้อนนี้ มิได้เล่าว่าภายในหินอัศจรรย์มีญาณอยู่ และนางก็เข้าใจว่าหินอัศจรรย์ก้อนนั้นมิมีญาณ

ผลปรากฏว่า ในหินอัศจรรย์ก้อนนั้นไม่เพียงแต่มีญาณ ซ้ำร้ายยังแปลงกายเป็นจักรพรรดิชาง ก่อกรรมทำเข็ญอยู่ในแคว้นโบราณชางเยว่ เรื่องนี้เหนือการคาดหมายของนางไปหน่อย

“เจ้าเป็นใครกันแน่!?”

สายตา ‘จักรพรรดิชาง’ จับจ้องลั่วสุ่ยเขม็ง สีหน้าเคร่งเครียด เอ่ยถามลั่วสุ่ยอีกครั้ง

เขาคิดไม่ถึงเลยว่าลั่วสุ่ยจะมองทะลุถึงปูมหลังของเขา!

เรื่องนี้เป็นที่เหลือเชื่อสำหรับเขา

รู้หรือไม่ แม้นเขามิเคยฟื้นกำลังกลับมาได้เต็มที่ กระนั้นพลังที่เขาครอบครองในยามนี้ก็ยังแกร่งกล้าเป็นที่สุด ต่อให้เป็นเทียนตี้ชั้นเลิศ ก็ใช่ว่าจะเป็นคู่ต่อสู้ของเขา

ทว่าลั่วสุ่ยเพิ่งมาถึงที่นี่ก็จับปูมหลังของเขาได้ เป็นเรื่องที่เขาคิดไม่ถึงเลย เหนือการคาดหมายของเขาไปมาก

“พี่ลั่วสุ่ย ท่านหมายความว่าเขาแปลงกายจากหินอัศจรรย์ก้อนนั้นในแคว้นของเราหรือ!?”

ชางเหยาตาโต นางค่อย ๆ เข้าใจขึ้นมา

“ถูกต้อง”

ลั่วสุ่ยพยักหน้า “เขาแปลงกายจากหินก้อนนั้น มิใช่เสด็จพ่อของเจ้า เสด็จพ่อของเจ้าถูกเขาจองจำไว้ในส่วนลึกของตำหนัก”

“อะไรนะ!”

ชางเหยาสั่นไปทั้งตัว นางคิดไม่ถึงเลยว่าความจริงจะเป็นเยี่ยงนี้!

นางจะคิดถึงได้อย่างไรกัน

ในกาลเวลาอันยาวนานที่ผ่านมา พวกเขาไม่เคยค้นพบเลยว่ามีญาณอยู่ในหินอัศจรรย์ และบัดนี้ หินอัศจรรย์ก้อนนี้กำราบเสด็จพ่อของนาง แปลงกายให้อยู่ในรูปลักษณ์เสด็จพ่อของนาง ทั้งหมดนี้มหัศจรรย์เกินไปแล้ว!

“ข้าก็ว่า ต่อให้เสด็จพ่อมีนิสัยเปลี่ยนไปอย่างไรก็ไม่มีทางถึงขั้นนี้!”

จากนั้น นางเอ่ยขึ้นด้วยความเต็มตื้น

“ที่แท้เป็นเจ้าก้อนหินเฮงซวยนี่ที่คอยทำชั่ว! เจ้าสมควรตายนัก บังอาจทำลายชื่อเสียงจักรพรรดิชาง ทำอะไรตามอำเภอใจในแคว้นโบราณชางเยว่!”

มัจฉาสัตมายาเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันขณะเอ่ยกับ ‘จักรพรรดิชาง’

“สมควรตายรึ เจ้าคิดสิ่งใดอยู่! การที่ข้าปลอมตัวเป็นเขา ถือเป็นเกียรติของเขา! เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าเป็นใคร มาจากที่ใด!?”

‘จักรพรรดิชาง’ ตวาดเสียงเย็น ต่อให้อาณาจักรอวี้ซวีเป็นถึงหนึ่งในอาณาจักรเก้าตอนบน ในสายตาเขาก็เท่านั้น ถือเป็น ‘อาณาจักรเล็ก ๆ’ อันแสนกระจอก

และจักรพรรดิชางก็เช่นกัน ไร้ค่าอย่างยิ่งในสายตาเขา ไม่ควรค่าแก่การพูดถึง

รู้สึกตัวอีกที ข้าก็เป็นเซียนซะแล้ว [原來我是世外高人]

รู้สึกตัวอีกที ข้าก็เป็นเซียนซะแล้ว [原來我是世外高人]

Status: Ongoing

‘หลี่จิ่วเต้า’ ชายหนุ่มผู้ถูกส่งตรงจากดาวเคราะห์สีฟ้ามายังโลกแห่งการฝึกตน ทว่ากลับไร้ซึ่งคุณสมบัติใด ๆ ในการเข้าสู่วิถีผู้ฝึกตน เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากหันมาตกปลา วาดภาพและเขียนกลอนขาย

อันที่จริงหลี่จิ่วเต้ารู้เพียงเล็กน้อยว่า เจ้าแมวน้อยที่มาหาตนเป็นครั้งเป็นคราวเพื่อขอปลากินนั้น แท้จริงแล้วคือพยัคฆ์ขาว ส่วนชายผมขาวที่แข่งเขียนพู่กันกับเขาเป็นตัวตนระดับบรรพกาล และที่จะลืมไปไม่ได้ สตรีผู้งดงามที่มาร้องขอให้เขาช่วยวาดรูปอยู่ทุกวัน นางถึงกับเป็นเซียนในตำนาน!

ชายหนุ่มนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง “เอาล่ะ…เช่นนั้น ข้าเป็นใครกัน?”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท