เมื่อฟังจี้ได้ยินสืออีเหนียงพูดว่า ‘ขอให้ผู้อาวุโสสกุลฟังออกมาชี้แจง’ ก็รู้ว่านางกำลังพยายามจะสรุปการกระทำของเขาให้กลายเป็นแค่ความมุทะลุของเด็กหนุ่ม
เขาใจชื้นขึ้นมาทันที
นี่เป็นบันไดทางลงที่สกุลสวีมอบให้สกุลฟัง
อันดับแรกคือสกุลฟังต้องขอโทษสกุลสวีและยอมรับการกระทำที่ไร้มารยาทของเขา
การที่สกุลฟังให้เขาออกหน้าจัดการเรื่องนี้ก็เพื่อจุดประสงค์นี้เช่นกัน ตราบใดที่สกุลสวีไม่ตกลงเรื่องปลดภรรยา สกุลฟังก็ยินดีที่จะยอมรับความผิด แต่การที่สกุลสวีไม่ปลดภรรยา ก็แสดงว่าพวกเขายอมรับว่าข่าวลือดวงพิฆาตสามีของน้องสาวนั้นเป็นเรื่องไร้สาระทั้งหมด สกุลสวีจะสามารถยอมรับได้จริงหรือ
ฟังจี้ต้องการคำมั่นสัญญา
“ในร้อยความดี ความกตัญญูเป็นอันดับหนึ่ง ในเรื่องความกตัญญู การเชื่อฟังเป็นอันดับหนึ่ง” ในเมื่อสืออีเหนียงพูดหยอกล้อ เขาก็ไม่ควรทำท่าทางเคร่งขรึม ฟังจี้ยิ้มแล้วพูดว่า “คำพูดที่ว่า ‘หากบิดามารดาทำผิดให้คัดค้าน’ ก็เป็นคำพูดที่ยากจะสามารถทำได้!”
ทันทีที่บรรยากาศผ่อนคลายลงก็รู้สึกตัวเบาสบายขึ้นมาไม่น้อย
ฮูหยินสามเป็นแม่สามีของฟังซื่อ ฟังซื่อย่อมต้องเคารพยำเกรง
ฟังจี้พูดเช่นนี้ก็เพียงแค่ต้องการคำอธิบายจากนาง แค่อยากรู้ว่าสกุลสวีคิดจะทำอย่างไรกับข่าวลือที่ว่าฟังซื่อมีดวงพิฆาติสามี แต่นายหญิงใหญ่ยังคงรอข่าวจากหูโจว ณ เวลานี้นางไม่สามารถให้คำตอบที่แน่นอนกับฟังจี้ได้
สืออีเหนียงเพียงแต่ยิ้มแล้วพูดว่า “สมแล้วที่คุณชายฟังเป็นทั่นฮวาที่ฮ่องเต้เป็นคนแต่งตั้ง อ้างอิงตำราเป็นหลักในการโต้แย้ง กระทำการตามใจโดยไม่ลังเล น่าชื่นชมจริงๆ หากวันหนึ่งคุณชายน้อยสองของพวกเรามีความรู้เหมือนคุณชายฟังก็คงดี”
ตอบโต้กันไปมากับฟังจี้
ฟังจี้ผิดหวังเล็กน้อย
แต่เขาก็รู้ว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ ไม่ใช่ว่าคุยกันเพียงครั้งสองครั้งแล้วจะได้ผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจเลย สกุลสวียินดีที่จะคุยกับสกุลฟังเพื่อหารือเกี่ยวกับเรื่องนี้ อย่างน้อยสกุลฟังก็มีโอกาส ถ้าหากสกุลฟังต้องการให้น้องสาวหย่า แล้วตอนนั้นจะใช้ความพยายามอย่างมากเพื่อให้น้องสาวแต่งงานมาอยู่ที่เยี่ยนจิงทำไมกัน คนในจวนต่างก็หวังว่าน้องสาวจะมีชีวิตที่ดี โดยเฉพาะท่านย่าที่จากไปแล้ว กระทั่งแม้แต่ตอนจะจากไปก็ยังเอาแต่โทษตัวเองที่เห็นแก่หน้าตางดงามของคุณชายหูโดยไม่สนใจอายุที่ยังน้อยของเขาจนเกิดความคิดให้น้องสาวหมั้นหมาย…
คนในสกุลมอบหมายเรื่องนี้ให้ตน จะทำมันพังไม่ได้
เขารวบรวมสมาธิแล้วตอบกลับสืออีเหนียง “คุณชายน้อยสองกำลังศึกษาอยู่ที่สำนักศึกษาจิ่นสีของอาจารย์เจียง ความรู้ก้าวหน้า ไม่นานก็…”
ทั้งสองคนพูดคุยตอบโต้กัน พูดไปพลางหัวเราะไปพลาง แต่ต่างคนต่างก็คิดบางอย่างอยู่ในใจ
คนหนึ่งหากไม่ได้รับคำมั่นสัญญาก็จะไม่เอ่ยปากขอให้ผู้อาวุโสออกมาขอโทษ ส่วนอีกคนหนึ่งหากไม่มีคำตอบจากไท่ฮูหยินก็จะไม่สามารถให้คำสัญญาได้
จะถูกหรือผิดนั้นทั้งหมดขึ้นอยู่กับสกุลสวี
ต่อให้พูดมากไปกว่านี้ก็ไม่มีความหมาย
สืออีเหนียงเรียกจู๋เซียงให้เข้ามาเติมชา
นี่คือสิ่งที่นางกับสวีซื่ออวี้ตกลงกันไว้แล้ว
ตอนที่นางเรียกให้จู๋เซียงมาเติมชาก็หมายความว่าไม่มีอะไรจะพูดแล้ว ถึงตาสวีซื่ออวี้ต้องออกโรงแล้ว
ไม่นานสาวใช้น้อยก็เข้ามารายงานว่า “ฮูหยินสี่ คุณชายน้อยสองมาขอพบเจ้าค่ะ!”
บทสนทนาจึงถูกขัดจังหวะ
สวีซื่ออวี้เชิญฟังจี้ให้ไปนั่งที่เรือนเขา
ฟังจี้เองในใจก็รู้อย่างชัดเจนดีว่าเรื่องนี้สุดท้ายแล้วก็ต้องให้สวีลิ่งอี๋เป็นคนตัดสินใจ
เขายิ้มพลางลุกขึ้นกล่าวลาแล้วไปยังเรือนของสวีซื่ออวี้
ส่วนสืออีเหนียงก็ไปหาไท่ฮูหยิน
คิดว่าแค่ตอนนี้คุณชายสามก็เดือดร้อนมากพอแล้ว นางจึงไม่กล้าพูดคำที่ฟังจี้พูดถึงคุณชายสาม พูดเพียงว่าสกุลฟังมีแผนอย่างไร
เมื่อเทียบกับความโกรธครั้งที่แล้ว ครั้งนี้ไท่ฮูหยินท่าทางสงบนิ่งกว่ามาก เพียงแค่พยักหน้าเบาๆ พูดถึงเรื่องที่จะไปวัดเย่าหวัง “…พวกเราพาจิ่นเกอไปด้วยเถิด!” ไท่ฮูหยินพูดพลางยิ้มตาหยี “ให้เจ้าสี่จัดคนคุ้มกันให้มากหน่อย จิ่นเกอของพวกเราก็โตขนาดนี้แล้ว พึ่งจะได้ออกไปข้างนอกเป็นครั้งแรก!”
วันที่ยี่สิบแปดเดือนสี่เป็นวันพระ เมื่อถึงเวลาจุดธูปบูชาวัดเย่าหวังก็จะถูกปกคลุมไปด้วยควันธูป สืออีเหนียงเคยติดตามไป สูดกลิ่นควันเข้าไปจนสำลัก จิ่นเกอยังเล็กอยู่เขาจะทนกับสถานการณ์เช่นนี้ได้อย่างไร
สืออีเหนียงพูดอย่างลังเลว่า “วันนั้นคนเยอะแยะมากมาย เสียงดังเอะอะโวยวาย จะทำให้จิ่นเกอตกใจหรือไม่ ไว้พวกเราค่อยพาจิ่นเกอไปวันอื่นดีหรือไม่เจ้าคะ”
“ก็จริง!” ไท่ฮูหยินท่าทางเศร้าเล็กน้อย “วันนั้นมีคนมากมายสารพัดรูปแบบ มีครั้งหนึ่งข้าเคยเห็นคนเล่นอยู่กับงูด้วย” พูดพลางยกมือขึ้นมาทำท่าทางให้ดู “ตัวใหญ่เท่าปากชาม พันอยู่บนตัว น่ากลัวยิ่งนัก อย่าให้จิ่นเกอของพวกเราเห็นเชียว”
“เช่นนั้นพวกเราไปวันที่สิบหกเดือนห้า เจ้าว่าดีหรือไม่” สืออีเหนียงไม่อยากทำให้ไท่ฮูหยินผิดหวัง จึงยิ้มแล้วพูดว่า “หลังเทศกาลไหว้บะจ่างผ่านไปแล้ว เมื่อถึงเวลานั้นพวกเราพาเจินเจี่ยเอ๋อร์ อวี้เกอ จุนเกอ เจี้ยเกอ เซินเกอ ฉินเกอกับภรรยาแล้วก็เจี่ยนเกอไปด้วยกัน จะได้ครึกครื้นเจ้าค่ะ!”
“เอาสิ!” ไท่ฮูหยินชอบความรู้สึกที่มีลูกหลานห้อมล้อม มีชีวิตชีวาขึ้นมาทันที “เมื่อถึงเวลานั้นก็ให้เจ้าสี่จัดคนคุ้มกันไปเยอะๆ หน่อย พวกเราจะได้ไปวัดเย่าหวังกัน ไม่สิ ไม่ไปวัดเย่าหวัง ไปวัดอวิ๋นจวีกัน” แล้วถามสืออีเหนียงว่า “เจ้ารู้จักวัดอวิ๋นจวีหรือไม่”
สืออีเหนียงรีบส่ายหน้า “ข้าพึ่งได้ยินเป็นครั้งแรกเจ้าค่ะ”
“อยู่ในเขตชานเมือง เป็นที่บูชาพระบรมสารีริกธาตุของพระโคตมพุทธเจ้า” ขณะที่ไท่ฮูหยินพูดดวงตาก็ยิ้มจนเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยว ท่าทางปิติยินดี ผิดกับสีหน้าเคร่งขรึมก่อนหน้านี้ “เงียบสงบอย่างมาก อารามใหญ่และสวยงาม ทั้งด้านหน้าและด้านหลังมีต้นไม่ใหญ่สูงตระหง่าน จิ่นเกอและพวกเด็กๆ ต้องชื่นชอบมากแน่นอน”
ช่วงนี้ไท่ฮูหยินอารมณ์ไม่ค่อยดี สืออีเหนียงจึงอยากทำให้นางมีความสุข ยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้าค่ะ พวกเราไปด้วยกันจะได้ครึกครื้น” หัวข้อสนทนาเปลี่ยนจากการไปวัดเย่าหวังเป็นวันที่สิบหกเดือนห้าไปวัดอวิ๋นจวีแทน
พอสวีลิ่งอี๋รู้ก็รู้สึกโล่งใจ “ข้ามักจะรู้สึกว่าท่านแม่ต้องรู้เรื่องของพี่สามแล้วแน่ๆ ให้ท่านแม่มีอารมณ์สุนทรีย์ออกไปผ่อนคลายบ้างก็ดี เพียงแต่เจ้าต้องจำไว้ว่าต้องคอยดูแลจิ่นเกออย่าให้ห่าง จะพลาดแม้แต่พริบตาเดียวก็ไม่ได้”
สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “วางใจเถิด ยังมีอวี้เกออยู่ไม่ใช่หรือเจ้าคะ”
สวีลิ่งอี๋ได้ฟังดังนั้นก็อดหัวเราะไม่ได้ “เจ้าช่างรู้จักเลือกใช้คนจริงๆ ”
“ก็เขาเป็นพี่ชาย!” สืออีเหนียงเม้มปากยิ้ม
ดวงตาโตสีน้ำตาลกระพริบตาปริบๆ สะท้อนเข้าไปถึงหัวใจของสวีลิ่งอี๋
เขาอดเอื้อมมือไปสัมผัสใบหน้าของนางไม่ได้ แต่กลับพูดขึ้นมาว่า “ของขวัญครบรอบหนึ่งร้อยวันของหวงจั่งซุนจะถวายอะไรดี”
น้ำเสียงของสวีลิ่งอี๋เบาและทุ้ม ดวงตาที่จ้องมองนางดูอ่อนโยนและจริงจัง
ในใจสืออีเหนียงรู้สึกสงบ นางหลับตาลงแล้วซุกตัวอยู่ในอ้อมแขนของเขา “แล้วแต่ท่านโหวเจ้าค่ะ!”
ข้างนอกมีเสียงหัวเราะสดใสของจิ่นเกอดังขึ้น
สวีลิ่งอี๋รู้ว่าสวีซื่อเจี้ยกำลังพาจิ่นเกอเล่นเตะลูกหนัง เลยนึกขึ้นได้ว่าหากไม่ได้มีเวลาส่วนตัวบ้างตนก็จะไม่ยอม ช่วงนี้จิ่นเกอนอนกับพวกเขาทุกวัน…
เขาพูดเสียงเบา “จริงหรือ ตามใจข้าทุกอย่างจริงๆ หรือ”
******
สาวใช้น้อยที่มาถามว่าจะรับประทานอาหารเย็นที่เรือนไท่ฮูหยินหรือว่าที่นี่ต้องยืนรออยูหน้าประตูห้องด้านในอยู่นานกว่าจะได้รับคำสั่งจากสวีลิ่งอี๋ “ทานที่นี่!”
สืออีเหนียงรีบจัดเสื้อผ้าด้วยความตื่นตระหนกเล็กน้อย พูดอย่างลังเลว่า “ไปทานที่เรือนของท่านแม่ดีหรือไม่ ท่านยังต้องบอกท่านแม่เกี่ยวกับเรื่องของคุณชายสามไม่ใช่หรือ”
สวีลิ่งอี๋หยิบกระจกขึ้นมาให้นางดู “สภาพเจ้าเป็นเช่นนี้จะไปหาท่านแม่ได้อย่างไร”
สืออีเหนียงหน้าแดงก่ำ เอื้อมมือไปแย่งกระจกแล้วทิ้งไว้ข้างๆ ฝืนทำท่าทางสงบนิ่งแล้วพูดโต้แย้งขึ้นมาว่า “ข้าทำไม ท่านโหวนั่นแหละ รีบไปเปลี่ยนชุดเถิด! ระวังอีกสักหน่อยพอเด็กๆ มาจะเห็นว่าท่านแต่งตัวไม่เรียบร้อย”
“เจ้าพูดมาสิว่าข้าไม่เรียบร้อยตรงไหน”
“ท่านโหวรีบลุกขึ้นเถิด จิ่นเกอเล่นอยู่ข้างนอกนานแล้ว เกรงว่าจะเข้ามาแล้วกระมัง…”
ราวกับว่าจะยืนยันคำพูดของนาง มีเสียงระฆังเงินดังอยู่ใกล้นอกหน้าต่าง ในเรือนนี้ นอกจากสืออีเหนียงแล้วก็มีเพียงจิ่นเกอเท่านั้นที่กล้าใส่เครื่องประดับที่มีเสียงดัง
สวีลิ่งอี๋รีบพลิกตัวกลับ
เสียงระฆังเงินนอกหน้าต่างค่อยๆ ดังไกลออกไป มีเสียงอันไพเราะของจิ่นเกอดังแทรกเข้ามา “ท่านพี่ เตะลูกหนัง!”
สืออีเหนียงปิดปากหัวเราะ
สืออีเหนียงรีบเร่งเร้าเขา “เร็วเข้าใกล้ได้เวลาทานข้าวแล้ว!”
สวีลิ่งอี๋เงยหน้ามองนาง “เรียกข้าสิ!”
สืออีเหนียงชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะเข้าใจอย่างรวดเร็ว
นางแกล้งทำเป็นไม่เข้าใจ ลุกขึ้นมาแต่งตัวแล้วเรียก “ท่านโหว”
สวีลิ่งอี๋โอบนางจากด้านหลัง กระซิบที่ข้างหูของนางว่า “เรียกข้าเหมือนเมื่อครู่นี้!”
เหมือนเมื่อครู่นี้อะไรกัน…เห็นได้ชัดว่าเป็นความต้องการของเขา
สืออีเหนียงไม่สนใจเขา แต่ใบหน้ากลับแดงขึ้นมาอย่างไม่เชื่อฟัง
สวีลิ่งอี๋หัวเราะเบาๆ กอดนางแน่นขึ้น พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “เรียกข้าสิ!”
สืออีเหนียงบ่ายเบี่ยง “อีกสักครู่ค่อยเรียก!”
นางกัดริมฝีปาก
เสียงของชิวอวี่ดังขึ้นจากด้านนอก “ท่านโหว ฮูหยิน จะให้จัดอาหารเย็นที่ห้องด้านในหรือว่าห้องปีกตะวันตกเจ้าคะ”
สืออีเหนียงรู้ว่าผู้ชายคนนี้ปากไม่ตรงกับใจ แม้ว่าเขาจะไม่เห็นบ่าวรับใช้เหล่านั้นอยู่ในสายตาแต่ก็ไม่มีทางให้นางต้องเสียหน้าต่อหน้าคนเหล่านั้นอย่างแน่นอน
“เฮ้อ!” สุดท้ายสวีลิ่งอี๋ก็ถอนหายใจ แล้วตอบชิวอวี่เสียงดัง “จัดไว้ที่ห้องปีกตะวันตกเถิด” จากนั้นก็ลูบผมที่ปล่อยสยายอย่างช่วยไม่ได้ “รีบแต่งตัวแล้วพวกเราไปทานข้าวเย็นกัน!”
สืออีเหนียงกลับหันไปซบในอ้อมแขนของเขา ใบหน้าซุกอยู่บนอกของเขาแล้วพูดเสียงเบาว่า “เจ้าค่ะ ท่านพี่”
ทำในสิ่งที่เขาต้องการ
มุมปากสวีลิ่งอี๋ยกขึ้นสูง
******
หลังจากวันเกิดของไท่ฮูหยิน ก็มาถึงวันที่ยี่สิบแปดเดือนสี่ ไท่ฮูหยินพาฮูหยินสอง สืออีเหนียง และฮูหยินห้าไปจุดธูปบูชาที่วัดเย่าหวัง ฮูหยินสามก็มาด้วย
“เจ้าอยู่ที่จวนรักษาตัวเถิด!” ไท่ฮูหยินก้มหน้าจัดลูกประคำไม้จันทน์สีแดงพันบนข้อมือสามรอบ ไม่มองนาง “วันนี้มีคนเยอะแยะมากมาย ประเดี๋ยวจะรบกวนเจ้า หากอาการป่วยที่พึ่งรักษาหายกลับมา จะแย่เอาได้” พูดพลางยื่นมือออกมาให้ฮูหยินสองประคอง แล้วเอ่ยถามฮูหยินห้า “เจ้าจัดคนดูแลเซินเกอแล้วหรือยัง เจ้าอย่าเอาแต่ออกไปเที่ยวเล่นแล้วให้เจ้าห้าดูแลเขา เจ้าห้าใช่คนที่จะดูแลเด็กได้อย่างนั้นหรือ”
ฮูหยินห้ารีบเข้าไปพยุงไท่ฮูหยิน “ท่านแม่ ดูท่านพูดสิ ข้าเป็นคนเช่นนั้นหรือ ป้าสือก็อยู่ที่เรือนนะเจ้าคะ!” ขวางฮูหยินสามเอาไว้ด้านหลังพอดี
ไท่ฮูหยินพยักหน้า มีทั้งสองคนคอยพยุงเดินออกไป
บรรดาสาวใช้น้อยใหญ่ในเรือน ผู้ดูแลหญิง บ่าวรับใช้ พากันตามไปอย่างอึกทึกครึกโครม
เหลือฮูหยินสามคนเดียว ยืนอยู่กลางห้องโถงเพียงลำพัง