เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่ทันสังเกตเห็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ที่ซ่อนอยู่ตรงมุมปากของอีกฝ่าย
เสื้อคลุมของเขาเลื่อนหลุดจากบ่าในระหว่างการเสพสังวาสนั้น ในตอนที่เฮ่อเหลียนเวยเวยขยับกายเข้าหาเขาอย่างเก้ๆ กังๆ นั้นเอง เขากลับรู้สึกได้ถึงกำลังวังชาที่กลับคืนมาทันทีที่วางฝ่ามือลงบนแผ่นหลังของนาง ”ฝีมือเจ้าแย่ถึงเพียงนี้เชียวหรือ”
“ท่าน…” ดวงตาของเฮ่อเหลียนเวยเวยแดงก่ำ แต่พวกมันกลับยิ่งดูมีเสน่ห์มากกว่ายามปกติ เพียงแค่นี้ก็ทำให้เขารู้สึกอยากทำลายนางทีละน้อย
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเลิกคิดที่จะข่มความต้องการของตัวเอง เขากระแทกสะโพกเข้าหานางจนหน้าผากของตัวเองแทบจะแนบชิดกับหน้าผากของนาง พร้อมกับส่งเสียงหัวเราะอยู่ในลำคอ ”หายากนักที่เจ้าจะทำตัวเช่นนี้ ยิ่งเจ้าเป็นฝ่ายควบคุม มันก็ยิ่งทำให้ข้าอยากฉีกเจ้าเป็นชิ้นๆ”
“ไป๋… ไป๋หลี่เจียเจวี๋ย!” ทันใดนั้นเฮ่อเหลียนเวยเวยก็เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น ”ท่าน… ท่านไม่ได้เสียพลังปราณไปนี่”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยจูบนางอย่างแผ่วเบา แล้วจึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงชั่วร้ายอย่างมากว่า ”สามีของเจ้าเช่นข้าจะสอนกลยุทธ์ในการเล่นงานคู่ต่อสู้ผ่านทางความคิดของพวกเขาให้เจ้าก็แล้วกัน ข้าซ่อนพลังปราณของข้าไว้จากเจ้าเพื่อทำให้เจ้าเป็นห่วงข้า”
“ท่านไม่รู้จักละอายบ้างเลยหรือ?!” เฮ่อเหลียนเวยเวยกัดริมฝีปากบางของตัวเองเบาๆ นางไม่สามารถต้านทานความรู้สึกวาบหวามที่เกิดขึ้นได้ นางแอ่นตัวเพื่อพยายามบรรเทาความรู้สึกนั้น
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยหัวเราะชั่วร้าย ”ถ้าข้าไม่ทำเช่นนี้ เจ้าจะยอมเป็นคนรุกก่อนหรือ ทำตัวดีๆ ข้าจะทำให้เจ้ารู้สึกดีเอง”
เสียงของเขาค่อยๆ แผ่วเบาลงทีละน้อย ทันทีที่ม่านสีแดงถูกรูดปิดลง เกลียวคลื่นก็พลันโหมกระหน่ำเข้ามาหานางระลอกแล้วระลอกเล่า…
นางถูกทรมานอยู่ครู่ใหญ่ และหากไม่ใช่เพราะว่าคนที่อดีตฮ่องเต้ส่งมากำลังรอพวกเขาอยู่นอกวังละก็ กิจกรรมกระชับความสัมพันธ์บนเตียงของเฮ่อเหลียนเวยเวยกับไป๋หลี่เจียเจวี๋ยคงได้ดำเนินต่อไปอย่างไม่มีจบสิ้น
แต่การมาเยือนอย่างกะทันหันของคนผู้นี้กลับทำให้องค์ชายไม่สบอารมณ์ยิ่งนักเพราะถูกขัดจังหวะ เสื้อนอนสีดำซึ่งได้รับการทอขึ้นอย่างประณีตแหวกออกครึ่งตัว ผมสีดำนุ่มราวกับเส้นไหมของเขาทิ้งตัวลงบนบ่าทั้งสองข้าง ล้อมกรอบใบหน้าหล่อเหลาอันเต็มไปด้วยความสูงศักดิ์และเย็นชา ”มีอะไร เหตุใดจึงต้องรีบร้อนถึงเพียงนี้”
“องค์ชายเจ็ดตัวน้อยพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีคนที่เพิ่งเข้ามาไม่กล้าเงยหน้าขึ้นสบตากับไป๋หลี่เจียเจวี๋ยแม้แต่นิดเดียว เขารู้สึกชาไปทั้งศีรษะขณะเอ่ยตอบอีกฝ่ายกลับไปสองสามคำ
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยดื่มชาจากถ้วยที่เงาทมิฬส่งให้ เสียงของเขายังเยือกเย็นเช่นเดิมในตอนที่ถามว่า ”เกิดอะไรขึ้นกับองค์ชายเจ็ดตัวน้อย”
“องค์ชายเจ็ดตัวน้อยจับตัว… จับตัวกิเลนอัคคีเอาไว้และตั้งใจว่าจะจับมันย่างกินพ่ะย่ะค่ะ!” ทันทีที่ขันทีเอ่ยประโยคนี้ออกมา แม้แต่เขาเองก็ยังคิดว่ายากที่จะเชื่อ กิเลนอัคคีไม่ใช่สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ธรรมดา มันเป็นถึงผู้นำของสี่สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ผู้ยิ่งใหญ่เชียวนะ! คนส่วนใหญ่ที่ได้เจอมันย่อมต้องการฝึกมันไว้ใช้งานด้วยกันทั้งนั้น มีแต่องค์ชายเจ็ดตัวน้อยเพียงผู้เดียวที่… จับมันมาเพื่อกินเป็นอาหาร!
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองเขา ”เช่นนั้นก็ปล่อยให้เขาย่างไป”
“เอ๋?!” ขันทีแทบไม่อยากเชื่อหูตัวเอง เขาจำได้อย่างแม่นยำว่ากิเลนอัคคีเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์คู่กายขององค์ชายสาม เหตุใดองค์ชายถึงยอมรับเรื่องนี้ได้ง่ายๆ ล่ะ?!
เดิมทีนั้นขันทีซุนส่งเขามาตามตัวองค์ชายสามไปห้ามองค์ชายเจ็ดตัวน้อย
เพราะองค์ชายเจ็ดตัวน้อยจะเชื่อฟังเพียงแค่คำพูดขององค์ชายสามเท่านั้น!
แต่องค์ชายสามกลับไม่มีความประสงค์ที่จะห้ามปรามองค์ชายเจ็ดตัวน้อยเลยแม้แต่นิดเดียว
เขาจะนำข้อความนี้ไปแจ้งกับขันทีซุนได้อย่างไร
อดีตฮ่องเต้โกรธจนควันออกหู เขาแทบอยากเนรเทศองค์ชายเจ็ดตัวน้อยออกจากวังหลวงอีกครั้ง!
ถ้าองค์ชายเจ็ดตัวน้อยจับกิเลนอัคคีย่างจริงๆ เขาจะต้องถูกเนรเทศให้ไปอยู่บนภูเขาอีกครั้งอย่างแน่นอน
แม้ว่าโดยปกตินั้นองค์ชายเจ็ดตัวน้อยจะกินทุกอย่างที่ขวางหน้า ซึ่งนั่นนับว่าเป็นสิ่งที่สร้างความกังวลใจให้กับพวกเขาเป็นอย่างมาก แต่บรรยากาศในวังหลวงก็ดูมีชีวิตชีวาขึ้นเมื่อมีเขาอยู่
ไม่ว่าจะเป็นอดีตฮ่องเต้หรือขันทีซุน ทั้งสองดูอารมณ์ดีเป็นอย่างยิ่งในทุกครั้งที่พวกเขาเห็นองค์ชายเจ็ดตัวน้อย
ตลอดสองวันมานี้ บรรยากาศภายในวังหลวงเริ่มดูอึมครึมขึ้นเรื่อยๆ พวกเขาไม่อยากให้องค์ชายเจ็ดออกไปไหนจริงๆ
ระหว่างที่ขันทีกำลังรู้สึกเป็นกังวลอย่างมากอยู่นั้น ผ้าม่านก็ถูกเปิดออก เฮ่อเหลียนเวยเวยในชุดเสื้อคลุมสีขาวเดินออกมาแล้วเหลือบมองไปทางไป๋หลี่เจียเจวี๋ย และเอ่ยว่า ”การใช้ไฟย่างกิเลนอัคคีย่อมไม่ใช่วิธีที่ถูกต้องในการนำมันไปทำอาหาร ดังนั้นตอนที่เจ้าแจ้งกับองค์ชายเช่นนั้นเขาจึงไม่ได้รู้สึกร้อนใจแต่อย่างใด ในเมื่อองค์ชายเจ็ดตัวน้อยจับสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่มีสรรพคุณในการบำรุงร่างกายเช่นกิเลนอัคคีมาได้ เขาก็ควรจะกินมันเสีย เขาอยู่ที่ไหนล่ะ ข้าจะไปดูแล้วสอนวิธีทำอาหารที่ถูกต้องให้กับเขาเอง”
ขันที : …เขามาที่นี่เพื่อเรียกคนไปห้ามองค์ชายเจ็ดตัวน้อย ไม่ใช่ไปช่วยเขา! ทำไมพระชายาถึงพลอยสนับสนุนความคิดที่จะจับกิเลนอัคคีย่างไฟไปกับเขาด้วยล่ะ!
ยิ่งกว่านั้น… เมื่อครู่นี้พระชายาก็เพิ่งค้อนตามององค์ชายไปหมาดๆ!
องค์ชาย ท่านยั่วโมโหองค์ชายเจ็ดตัวน้อยและพระชายาพร้อมกันได้อย่างไร พวกเขากำลังจะจับสัตว์คู่กายของท่านทำเป็นอาหารนะพ่ะย่ะค่ะ!
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยหัวเราะเล็กน้อย สายตาของเขาจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าของเฮ่อเหลียนเวยเวย
ทันใดนั้นขันทีก็เห็นแสงแห่งความหวังทันที องค์ชาย ได้โปรดช่วยหยุดนางทีพ่ะย่ะค่ะ! ช่วยหยุดพระชายาทีเถิด!
“ข้าเองก็สงสัยเหมือนกันว่าเนื้อกิเลนสามารถเอาไปทำอาหารชนิดใดได้” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยค่อยๆ เดินเข้าไปหาเฮ่อเหลียนเวยเวย แล้วยกแขนขึ้นโอบรอบตัวนาง เฮ่อเหลียนเวยเวยเกาะเขาแน่น นิ้วของเขาลูบช่วงเอวของนางอย่างรักใคร่ จากนั้นจึงเอ่ยว่า ”เจ้าจะว่าอย่างไรหากเราไปที่นั่นพร้อมกัน”
เฮ่อเหลียนเวยเวยยังคงรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นจากร่างของเขา นางไม่กล้าขยับตัวด้วยกลัวว่าเขาจะทำอะไรโดยไม่ยั้งคิดอีก ใบหูของนางขึ้นสีแดงระเรื่อทันทีที่คิดเช่นนั้น…
ในเวลานั้นอดีตฮ่องเต้กำลังประทับอยู่ในวังหลวง
เสียงของขันทีซุนติดจะแหบเล็กน้อยเพราะใช้มันมากเกินไป ”องค์ชายน้อย กิเลนอัคคีไม่อร่อยหรอก ทำไมท่านไม่กินอย่างอื่นล่ะพ่ะย่ะค่ะ”
“ไม่” เด็กชายตัวน้อยยังคงยืนกรานว่าจะกินมัน ขาเล็กๆ อันแข็งแกร่งของเขาก้าวต่อไปข้างหน้าพร้อมกับลากกิเลนอัคคีที่อยู่ด้านหลังไปด้วย เขาหอบหายใจออกมาเพราะต้องใช้เรี่ยวแรงมหาศาลในการดึงมัน
ขันทีซุนทำท่าจะพูดอะไรบางอย่าง
อดีตฮ่องเต้สูดหายใจเข้าลึก แล้วกล่าวว่า ”ปล่อยให้เขากินไป! ข้าก็อยากเห็นเหมือนกันว่าเขาจะย่างกิเลนอัคคีได้อย่างไร! เรื่องไร้สาระของเขาชักเริ่มทำให้ข้ารำคาญมากขึ้นเรื่อยๆ แล้วเหมือนกัน!”
“เสด็จปู่ ขวางทางขอรับ” เด็กชายตัวน้อยเงยหน้าขึ้นแล้วเอ่ยอย่างดุร้าย ”ท่านต้องหลบให้ข้าผ่านขอรับ ข้าถึงจะนำมันไปย่างได้ ท่านเอาแต่ยืนขวางทางข้ามาตั้งแต่เมื่อครู่นี้แล้ว ท่านปล่อยให้ข้ากินข้าวอย่างสงบๆ ไม่ได้หรือ”
อดีตฮ่องเต้ชี้หน้าเขาแล้วแผดเสียงขึ้นว่า ”เจ้า เจ้า เจ้า!”
“ข้าต้องก่อไฟ” เด็กชายตัวน้อยก้มลงแล้วถามว่า ”เสด็จปู่ ช่วยเก็บฟืนมาให้ข้าหน่อยขอรับ เลือกเฉพาะไม้ที่มาจากไม้ผลนะขอรับ เนื้อที่ถูกย่างด้วยฟืนจากไม้ผลรสชาติเอร็ดอร่อยยิ่งนัก พี่สะใภ้สามสอนข้ามา”
อดีตฮ่องเต้โมโห ”เจ้ากล้าสั่งให้ข้าไปเก็บฟืนหรือ! เจ้าเด็กไร้สัมมาคารวะนี่! องค์ชายสามอยู่ที่ไหน?! ทำไมเขายังไม่มาเสียที?!”
“ท่านบอกพี่สามหรือ?!” เด็กชายตัวน้อยผุดลุกขึ้นอย่างรวดเร็วพร้อมกับกระชากหางของกิเลนอัคคี ขาสั้นๆ ของเขาสั่นระริก เขาเตรียมตัวหาช่องทางหนีทันที!
แต่ก่อนที่เขาจะทันได้หนี น้ำเสียงทุ้มลึกก็ดังขึ้นจากทางด้านหลัง ”เจ้าจะลากกิเลนไปไหนหรือ หือ”
เด็กชายตัวน้อยตัวแข็งอยู่กับที่ เขาหันกลับไปมองไป๋หลี่เจียเจวี๋ย
กิเลนอัคคีถอนหายใจด้วยความโล่งอก มันใช้กระแสจิตสื่อสารกับไป๋หลี่เจียเจวี๋ยว่า ”นายท่าน ในที่สุดท่านก็มา องค์ชายเจ็ดตัวน้อยแข็งแกร่งเกินไปขอรับ ข้าหนีไปเองไม่ได้ ช่วยบอกให้เขาปล่อยมือออกจากหางข้าทีขอรับ!”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเคลื่อนสายตาไปมองกิเลนอัคคีอย่างช้าๆ เขาไม่ตอบรับคำขอของมัน แต่แทนที่จะทำเช่นนั้น เขากลับยิ้ม แล้วเอ่ยว่า ”ถ้าเจ้าอยากกิน เช่นนั้นก็กินมันที่นี่เลยก็แล้วกัน”
“จริงหรือขอรับ?!” ดวงตาของเด็กชายตัวน้อยเป็นประกายด้วยความตื่นเต้นขึ้นมาทันที
กิเลนอัคคีชะงัก รอ รอเดี๋ยวก่อน!
นี่มันเกิดอะไรขึ้น!
นายท่านไม่เคยอนุญาตให้องค์ชายเจ็ดตัวน้อยกินมันมาก่อนมิใช่หรือ
ต่อให้หนังของมันจะหนาและทนไฟ แต่ถ้ามีสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ตัวอื่นเห็นภาพนี้เข้าละก็ มันคงรู้สึกอับอายขายหน้ายิ่งนัก!
ในเมื่อผู้เป็นนายไม่คิดที่จะช่วยเหลือ มันจึงไม่มีทางเลือกนอกจากต้องช่วยชีวิตตัวเองเท่านั้น!
“อย่าหนีนะ!” เด็กชายตัวน้อยกระชากหางมัน แล้วลากมันกลับมา เขาเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า ”พี่สามบอกว่าให้กินเจ้าที่นี่!”
พื้นดินที่อยู่โดยรอบสั่นสะเทือนตอนที่กิเลนอัคคีถูกลากกลับมา
เฮ่อเหลียนเวยเวยสังเกตการเคลื่อนไหวขององค์ชายเจ็ดตัวน้อยแล้วขมวดคิ้ว แม้นางจะรู้ว่าองค์ชายเจ็ดตัวน้อยแข็งแรงเพียงใด แต่นางก็รู้สึกว่าการที่เขาสามารถจับกิเลนอัคคีได้ด้วยตัวคนเดียวเช่นนี้นับว่าเป็นแปลกเกินไป