กิเลนอัคคีหยุดดิ้นรน มันทุ่มแรงทั้งหมดที่ตนมีไปถึงสามครั้งสามครา
แต่มันก็ยังไม่สามารถเป็นอิสระจากการเกาะกุมขององค์ชายเจ็ดตัวน้อยได้
นี่มันเกิดอะไรขึ้น
กิเลนอัคคีหันหน้าไปทางไป๋หลี่เจียเจวี๋ยโดยไม่รู้ตัว ”นายท่าน...”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยยกมือขึ้นเป็นการสั่งให้มันหยุดพูด
เด็กชายตัวน้อยยื่นมือออกไปมัดกิเลนอัคคี แล้วจับมันวางไว้ด้านข้าง จากนั้นจึงเดินเตาะแตะไปหอบกิ่งไม้แห้งขึ้นมา เขายืนลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงขยับเข้าไปหากิเลนอัคคีก่อนจะอ้าปากงับมัน!
กิเลนอัคคีสะดุ้งเฮือก!
มันหลับตาลงและพยายามสู้กับความเจ็บปวดอย่างรุนแรงที่แล่นพล่านไปทั่วร่าง!
มันหันกลับไปอย่างรวดเร็ว แล้วส่งกระแสจิตหาไป๋หลี่เจียเจวี๋ย ”นายท่านขอรับ เมื่อครู่นี้ข้ารู้สึกเจ็บ ตามหลักการแล้วไม่ใช่เพียงแค่มนุษย์ แต่ต่อให้สิ่งที่กัดข้าเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ ข้าก็จะไม่รู้สึกเจ็บปวดเลยแม้แต่นิดเดียวขอรับ”
หนังกิเลนนั้นหนาอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นของมีคมหรือกระสุนปืนก็ไม่สามารถเจาะเข้าไปในหนังของมันได้ นี่เป็นความจริงที่ทุกคนรู้ดี
แต่เด็กชายตัวน้อยที่อยู่ตรงหน้ามันกลับสามารถสร้างความเจ็บปวดให้มันด้วยการกัดได้… นี่เป็นเรื่องที่หาได้ยากยิ่ง!
“ไม่เห็นอร่อยเลย!” เด็กชายบ้วนน้ำลายออกมา
เฮ่อเหลียนเวยเวยค่อยๆ เดินเข้าไปหาองค์ชายเจ็ดตัวน้อย นางหัวเราะชั่วร้ายแล้วเอ่ยว่า ”กินดิบๆ ย่อมไม่อร่อยอยู่แล้ว เจ้าต้องปรุงรสมันเพิ่มเสียก่อน”
“พี่สะใภ้สามทำให้ข้ากินได้ไหมขอรับ” หลังจากเด็กชายตัวน้อยพูดจบ เขาก็รีบวิ่งเข้าไปเกาะขาไป๋หลี่เจียเจวี๋ยทันที ”พี่สาม ข้าขอยืมตัวพี่สะใภ้สามสักครู่ได้หรือไม่ขอรับ ข้าอยากลองลิ้มรสชาติของเนื้อกิเลนดูขอรับ!”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก้มหน้าลงมองเด็กชายตัวน้อย เขาเอ่ยขึ้นเบาๆ ว่า ”ถ้าเจ้าอยากกินเนื้อกิเลน เจ้าต้องเต้นระบำหนึ่งวันเป็นการแลกเปลี่ยน เจ้าตัดสินเอาเถิดว่าเจ้ายังอยากกินเนื้อกิเลนอยู่หรือไม่”
เมื่อเขาได้ยินคำว่า ’เต้นระบำ’ มือเล็กๆ ของเขาก็คว้าหมับเข้าที่กางเกงตัวเองโดยสัญชาตญาณ เขาส่ายหน้าเป็นพัลวัน ”พี่สาม ท่านจะสั่งให้ข้าเต้นระบำเช่นนี้บ่อยๆ ไม่ได้นะขอรับ! มันไม่ถูกต้อง!”
“เจ้าอยากกินมันหรือไม่” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยไม่สนใจเสียงร้องของเด็กชายตัวน้อย เขายื่นมือออกไปอุ้มเด็กชายขึ้น
เด็กชายเริ่มอยู่ไม่สุข ขาเล็กๆ ของเขาแกว่งไปมา เขาเม้มริมฝีปากเข้าหากันเป็นการป้องกันไม่ให้ตัวเองพูดอะไรออกมา
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยยกเขาขึ้นจนดวงตาของเขาประสานเข้ากับเด็กชายตัวน้อย จากนั้นเขาจึงเอ่ยกับอีกฝ่ายเสียงเรียบว่า ”ถ้าเจ้าเลือกที่จะไม่กินกิเลนอัคคี เช่นนั้นข้าจะให้เจ้ากินซาลาเปาเนื้อสิบลูกเป็นรางวัล”
“ข้าขอยี่สิบลูกขอรับ สิบลูกมันน้อยไป!” ดวงตาของเด็กชายเริ่มเป็นประกายอีกครั้ง
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยหัวเราะ ”เจ้ายังคิดที่จะต่อรองกับข้าอีกหรือ ก็ได้ เช่นนั้นเจ้าก็ไปเต้นระบำแทนก็แล้วกัน”
“สิบห้าลูก!” เด็กชายตัวน้อยเบะปากพร้อมกับเอ่ยว่า ”พี่สาม ข้าไม่ยอมลดให้มากกว่านี้แล้วขอรับ!”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยหันไปทางขันทีซุน แล้วสั่งกับเขาว่า ”นำซาลาเปาเนื้อสิบห้าลูกมาให้เขา”
“พ่ะย่ะค่ะ!” ขันทีซุนก้มลงมองพื้นเงียบๆ ถ้าเขารู้ว่าสิ่งที่จะกู้สถานการณ์กลับมาได้คือซาลาเปาเนื้อ เขาก็คงไม่ต้องเสียเวลากว่าครึ่งค่อนวันไปกับการพยายามหาวิธีเพื่อหยุดองค์ชายเจ็ดตัวน้อย!
เมื่อเด็กชายตัวน้อยรู้สึกว่าตัวเองได้ในสิ่งที่ต้องการแล้ว เขาก็ยกนิ้วขึ้นแล้วเริ่มนับ ”พี่สาม! ซาลาเปาเนื้อสิบห้าลูก ข้าจะกินวันละสามลูก ดังนั้นมันจะทำให้ข้าอยู่ได้ถึงห้าวันเลยขอรับ เมื่อครู่นี้ข้าลองกัดเนื้อกิเลนอัคคีไปนิดหน่อย แต่มันไม่อร่อยเลยแม้แต่นิดเดียวขอรับ!”
กิเลนอัคคี : กล้าดีอย่างไรถึงมาสบประมาทข้า!!!
“เดิมทีหนังของมันก็ทั้งแข็งทั้งหยาบมาแต่ไหนแต่ไร จะไปอร่อยได้อย่างไร” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยพูดเรียบๆ
กิเลนอัคคี : …
“แต่” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยลดสายตาลง แล้วจึงพูดต่อ ”จงจำใส่ใจไว้เสียว่าเจ้าไม่ได้รับอนุญาตให้กินของของข้าตามอำเภอใจ”
เมื่อได้ยินดังนี้ อดีตฮ่องเต้ก็พอใจ เขารู้สึกว่าองค์ชายสามเลือกวิธีอบรมสั่งสอนเด็กชายได้อย่างถูกต้อง!
เด็กชายตัวน้อยย่นคิ้วเล็กๆ ของตัวเองเข้าหากัน ”เช่นนั้นถ้าเป็นของของเสด็จปู่ล่ะขอรับ”
“ตามสบาย” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยตอบเด็กชายเพียงไม่กี่คำ จากนั้นจึงพากิเลนอัคคีออกไป
พวกเขาได้ยินเสียงคำรามของอดีตฮ่องเต้ดังตามหลังมาว่า ”อย่ามาขวางข้า! ไม่ว่าอย่างไรวันนี้ข้าก็จะต้องสั่งสอนเจ้าเด็กสองคนนี้ให้จงได้!”
…
“พี่สะใภ้สาม ช่วงนี้เสด็จปู่อารมณ์ไม่ดีเอาเสียเลยขอรับ” เด็กชายตัวน้อยกัดซาลาเปาเนื้อเข้าปากคำหนึ่ง ”พวกข้าออกจะทำตัวว่านอนสอนง่าย แต่เขาก็ยังหงุดหงิดใส่พวกข้าอยู่ดี”
เฮ่อเหลียนเวยเวยหยิกแก้มเขา ”ถ้าเจ้าว่านอนสอนง่ายจริงดังว่า เช่นนั้นก็บอกพี่สะใภ้สามว่าสิว่าเจ้าทำอย่างไรถึงสามารถลากกิเลนอัคคีมาถึงที่นี่ได้”
“ข้าใช้มือลากมันมาขอรับ” ปากของเด็กชายตัวเล็กอัดแน่นไปด้วยซาลาเปาเนื้อ
เฮ่อเหลียนเวยเวยใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดมุมปากเขา ”เจ้าเจ็ด ต่อไปเจ้าต้องหัดออมแรงเอาไว้เสียบ้าง โดยเฉพาะเวลาที่มีแขกอยู่ด้วย เข้าใจหรือไม่”
เด็กชายตัวน้อยหยุดชะงัก แล้วเงยหน้าขึ้นก่อนเหลือบมองไปทางพี่สามของตัวเอง
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยมองเขา แล้วพยักหน้าตอบ
“เข้าใจแล้วขอรับ!” เด็กชายตัวน้อยเอ่ยด้วยสีหน้าดุดัน ”ข้าไม่จำเป็นต้องทุ่มสุดตัวก็สามารถโค่นทุกคนได้ พี่สะใภ้สาม ถ้ามีใครรังแกท่าน ท่านต้องบอกข้านะขอรับ! ถ้าท่านอยากกินปลา ท่านก็ต้องบอกข้าเหมือนกัน! ช่วงนี้ข้ากำลังฝึกตกปลาอยู่! ข้า ข้าตกปลาสุดรักสุดหวงของขันทีซุนขึ้นมาจากบ่อได้ครบทุกตัวแล้วนะขอรับ!”
เฮ่อเหลียนเวยเวยเงียบ นางคิดว่าขันทีซุนคงยังไม่รู้เรื่องนี้ ถ้าเขารู้เข้าละก็ เขาคงไม่มีทางห้ามอดีตฮ่องเต้เอาไว้แน่…
กิเลนอัคคียืนอยู่ข้างหลังไป๋หลี่เจียเจวี๋ยกับเฮ่อเหลียนเวยเวย มันละสายตาจากเด็กชายตัวน้อย แล้วเงยหน้าขึ้นสบตากับไป๋หลี่เจียเจวี๋ย ”นายท่านขอรับ ข้ามั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่าองค์ชายเจ็ดตัวน้อยไม่ใช่คนธรรมดา”
“คนที่เกิดในราชวงศ์ย่อมไม่ใช่คนธรรมดา” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเล่นกับแหวนเงินที่นิ้ว เขายืนอยู่ในเงามืด เห็นเพียงดวงตาที่ส่องแสงเป็นสีทอง ”ส่งสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ไปสะกดรอยตามเจ้าเจ็ด ปกป้องเขาให้ดี”
กิเลนอัคคีมองเข้าไปในดวงตาของผู้เป็นนาย หัวใจของมันเต้นระรัวขณะที่ตอบว่า ”ขอรับ”
มันเกิดเรื่องนี้ขึ้นได้อย่างไร
แน่นอนว่ามันยังหาเศษชิ้นส่วนวิญญาณไม่พบ
ทำไมนายท่านถึงเริ่มมีอาการของคนที่กำลังจะกลายเป็นปีศาจได้ล่ะ
ไม่ได้การ!
มันต้องทุ่มความพยายามให้กับการตามหาเศษชิ้นส่วนวิญญาณให้มากกว่านี้ มิฉะนั้นวิญญาณของนายท่านจะไม่สมบูรณ์ และเขาจะกลายร่างเป็นปีศาจโดยสมบูรณ์
หากเกิดเรื่องเช่นนั้นขึ้นละก็… ย่อมไม่มีใครสามารถหยุดเขาได้!
“เจ้ามุ่งหน้าไปที่ตำหนักเจาหยางซะ” เสียงของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยดังขึ้นอีกครั้ง
กิเลนอัคคีหรี่ตา ”นายท่านก็สังเกตเห็นเรื่องนั้นเหมือนกันหรือขอรับ”
“กลิ่นเลือดแรงถึงเพียงนี้ ข้าต้องสังเกตเห็นอยู่แล้วสิ” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยไล้ปลายลิ้นเลียริมฝีปากบางของตัวเอง ใบหน้าของเขาเผยความชั่วร้ายออกมา ”นำข่าวกลับมาให้ข้า”
“ขอรับ!”
เวลาพลบค่ำ ตกวันเพิ่งจะตกดิน
เฮ่อเหลียนเวยเวยกำลังดื่มน้ำชากับเจ้าเจ็ดอยู่อย่างสบายอารมณ์ พวกนางเห็นนางกำนัลสองคนเดินออกมาจากตำหนักเจาหยาง ดวงตาของทั้งสองดูวอกแวกราวกับกำลังหวาดกลัวต่ออะไรบางอย่าง แม้กระทั่งตอนเดิน พวกนางก็ยังหันหน้ากลับไปมองด้านหลังแทบจะทุกสามก้าว
โดยปกติแล้วพวกนางย่อมไม่มีทางทำตัวเช่นนั้น
วังหลวงมีกฎระเบียบว่าด้วยวิธีการเดินที่นางกำนัลควรทำ และพวกนางควรคำนับเมื่อเห็นเจ้านายของตน ทุกอย่างล้วนแต่ถูกระบุเอาไว้ในกฎระเบียบเหล่านั้น
แต่พวกนางกลับดูหวาดกลัวจนลืมกระทั่งกฎระเบียบเหล่านั้นไปจนหมดสิ้น
“ขันทีซุน” เฮ่อเหลียนเวยเวยละสายตากลับมา นางวางถ้วยชาลงบนโต๊ะ แล้วถามว่า ”เกิดอะไรขึ้นกับนางกำนัลเหล่านั้นหรือ”
ขันทีซุนรินชาให้นาง เขาลดเสียงลงและตอบว่า ”พระชายาไม่อยู่ที่วังหลวงหลายวัน ดังนั้นท่านจึงไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นในวังหลวงเมื่อเร็วๆ นี้ เมื่อไม่นานมานี้มีนางกำนัลถูกพบเป็นศพพ่ะย่ะค่ะ สาเหตุการตายนั้นยังไม่รู้แน่ชัดว่าคืออะไร ยิ่งกว่านั้นสิ่งที่เกิดขึ้นกับพวกนางจัดว่าแปลกมากทีเดียวพ่ะย่ะค่ะ”
“แปลกหรือ” เฮ่อเหลียนเวยเวยชะงัก ”แปลกอย่างไร”
ขันทีซุนลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงเอ่ยต่อ ”นางกำนัลทุกนางที่ถูกฆ่าล้วนแต่ถูกสูบเลือดออกจากร่างจนหมดตัวพ่ะย่ะค่ะ หลังจากนั้นร่างของพวกนางก็ถูกนำไปโยนทิ้งลงในแม่น้ำ พวกกระหม่อมไม่รู้ว่าใครกันที่เป็นผู้อยู่เบื้องหลังการกระทำอันเหี้ยมโหดนี้ ตอนแรกอดีตฮ่องเต้ไม่ได้สนใจเรื่องนี้มากนัก เพราะอย่างไรวังหลวงก็ใหญ่โตถึงเพียงนี้ ต่อให้มีนางกำนัลถูกฆาตกรรมสักสองสามคนก็คงไม่มีใครรู้เรื่อง แต่แล้วกลับมีคนพบศพที่ริมแม่น้ำถึงแปดศพ จากนั้นเรื่องนี้จึงกลายเป็นประเด็นขึ้นมาภายในวังหลวงพ่ะย่ะค่ะ ฆาตกรเป็นใครก็ไม่อาจทราบได้ มิหนำซ้ำวิธีฆาตกรรมที่พวกมันใช้ก็ยังโหดร้ายอย่างยิ่ง น่าสะพรึงกลัวจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ ด้วยเหตุนี้บรรดาผู้อาวุโสจึงแนะนำให้อดีตฮ่องเต้นิมนต์พระชื่อดังมาช่วยสวดมนต์เพื่อสร้างความสบายใจให้ทุกคนสามารถกลับไปใช้ชีวิตต่อได้อย่างไร้กังวลพ่ะย่ะค่ะ”