บอกว่าหลูเจิ้งหยางเป็นพันธมิตร บอกว่าหนิงเซ่าชิงต้องตายในเงื้อมมือของหลูเจิ้งหยางแน่นอน บอกว่าหนิงเซ่าชิงถูกพิษ แม้ว่าจะขจัดพิษได้แล้ว แต่ชีวิตนี้ก็ไม่สามารถมีบุตรหลานไว้สืบสกุลได้ ขอแค่เขามีภรรยาเอกก่อน ช้าเร็วอย่างไรตำแหน่งนั้นย่อมเป็นของเขา…
ทั้งหมดของทั้งหมดนี้ ทำให้การยอมรับในชะตากรรมของเขามลายหายไป และก้าวลงสู่เหวลึกทีละก้าวๆ
หากสติไม่เลอะเลือน ตอนที่หลูเจิ้งหยางมาหา เขาจะตกลงช่วยเหลือได้อย่างไร จะบุ่มบ่ามแทงกระบี่นั่นได้เช่นไร…
หลูเจิ้งหยาง คนชั่วที่อยู่เบื้องผู้นี้ถูกขุดออกมา พรรคพรวกของผู้อาวุโสใหญ่จึงถูกปราบจนราบคาบ ตระกูลหนิงผ่านการกวาดล้างครั้งใหญ่ ตอนนี้สะอาดราวกับใช้น้ำล้าง ทั้งยังแข็งแกร่งยิ่งขึ้น
แต่ทว่า ตอนนี้ก็เป็นตอนที่สามัคคีกันมากที่สุด ตอนที่ทดสอบผู้คนได้ดีที่สุด และอ่อนแอมากที่สุดเช่นกัน
ผู้อาวุโสใหญ่ดำรงตำแหน่งมานานหลายปี ผู้ที่อยู่ภายใต้อำนาจเขามีไม่น้อยที่อยู่ในตำแหน่งสำคัญ ตอนนี้หลังจากกวาดล้างไปแล้ว จึงเกิดปัญหาใหญ่อย่างการที่ตำแหน่งบนและล่างล้วนว่างกันต่อเนื่อง
อาศัยจำนวนคนในการจัดการ การบริหารในแต่ละด้าน การจัดสรรอำนาจลับ รวมไปถึงทิศทางของตระกูล ล้วนต้องจัดระเบียบใหม่ทั้งหมด
ดังนั้นหนิงเซ่าชิงจึงยุ่งจนหัวหมุน
มั่วเชียนเสวี่ยก็ยุ่งมากเช่นกัน
นางยุ่งเรื่องเรือนเพาะปลูกในบ้านไร่เสร็จแล้ว ดังนั้นจึงเริ่มเก็บเกี่ยวเม็ดถั่ว กักตุนเม็ดถั่ว จากนั้นก็ไปตรวจสอบที่ดินที่ทะเลสาบพระจันทร์เสี้ยวผืนนั้นหลายครั้ง ในที่สุดก็กำหนดโครงการก่อสร้างโรงงานได้
สวี่เหล่าเหยียปฏิบัติต่อนางด้วยท่าทีที่ดียิ่ง ขอแค่นางถามถึง หรือในโครงการมีเรื่องที่ทำได้ยาก เขาล้วนให้ความร่วมมือ
ตามที่นางรู้มา หลังจากครั้งที่แล้ว สวี่หยวนหยวนก็ถูกขังไว้ในห้องที่คฤหาสน์สวี่ตลอด มีคนเฝ้าอยู่มาก กระทั่งประตูห้องก็ยังไม่เคยก้าวออกมาสักก้าวเดียว
เพียงแต่ ตอนที่นางถามถึงสตรีน่ารังเกียจ สวี่หยวนหยวน ลูกเขยที่จะแต่งเข้าตระกูลกับนางนั้นหาไปถึงไหนแล้ว สวี่เหล่าเหยียก็ไม่ได้เปี่ยมไปด้วยความมั่นใจเหมือนครั้งที่แล้ว ขณะเอ่ยวาจาแสดงความเกรงใจที่ใช้การไม่ได้จำพวกขอบคุณความเป็นห่วงของคุณหนูใหญ่ มุมปากก็กระตุกเล็กน้อย
มั่วเชียนเสวี่ยพลันเข้าใจ!
คิดว่า ด้วยสมองของสตรีนิสัยน่ารังเกียจเฉกเช่นคุณหนูใหญ่สวี่ บวกกับกิจการยิ่งใหญ่ของตระกูล เกรงว่าการจะหาบุรุษที่น่าเชื่อถือและมีความรับผิดชอบมาแต่งงานนั้นยาก
ผู้อื่นไม่อยากเอ่ยถึง มั่วเชียนเสวี่ยก็ไม่เอ่ยแทงใจเขาอีก
อีกอย่าง นางหลอกซื้อที่ดินที่มีมูลค่าห้าแสนตำลึงของเขามาได้ในราคาสองแสนตำลึง ทั้งยังหลอกเอากระจกซึ่งหาซื้อได้ยากมูลค่ามหาศาลมาได้โดยไม่ได้จ่ายสักเหวินเดียว เป็นคนก็อย่าใจแคบให้เกินไป ดังนั้นจึงไม่ได้ซักถามต่ออีก
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว
ครึ่งเดือนหลังจากนั้น ข่าวหนิงเซ่าอวี่ไปถึงเป่ยต้าฮวงซึ่งเป็นอาณาเขตปกครองที่ฮ่องเต้พระราชทานให้ของตระกูลหนิงก็ถูกส่งมา
หนิงเซ่าชิงนั้นไม่สนใจอะไร หนิงเหล่าเหยียได้ยินรายงานแล้วกลับนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง
ส่ายหน้าแล้วสั่งให้คนปกป้องระวังความปลอดภัยของเขา ทำตามข้อเรียกร้องของเขาทุกอย่าง ขอแค่ไม่มากเกินไป ทำให้พอใจได้ ก็พยายามทำให้พอใจ อย่างไรเสียก็เป็นบุตรชายแท้ๆ ของตนเอง จะไม่ได้เรื่องอย่างไร เขาก็ยังรักอยู่ดี
แต่ทว่ามีข่าวร้ายตามมาข่าวหนึ่ง…หลูเจิ้งหยางข้ามชายแดนเทียนฉีไปแล้ว แม้ว่าจะบาดเจ็บหนัก แต่กลับไปถึงหนานหลิงอย่างปลอดภัย
ได้ยินข่าวนี้แล้ว ใบหน้าสุภาพอ่อนโยนของหนิงเซ่าชิงพลันเย็นเยียบ คิดไม่ถึงว่าภายใต้แหฟ้าตาข่ายดิน[1]ของเขา คนผู้นี้ถึงกับสามารถฝ่าวงล้อมออกไปได้
ทว่า ค่าตอบแทนที่หลูเจิ้งหยางหลบหนีออกไปนั้นไม่น้อยเลยจริงๆ
นับตั้งแต่ที่หลบหนีออกจากจวนหนิงไปในวันนั้น เพื่อให้มีชีวิตอยู่ต่อ เขานำอำนาจเบื้องหลังเขาออกมาขวางทหารที่ไล่ตามอยู่ด้านหลัง เพื่อสร้างความสับสนต่อกลุ่มคนที่จะจับเขา
จำเป็นต้องกล่าวว่า อำนาจเบื้องหลังเขาไม่น้อยเลย มิน่าเขาถึงได้มีความกล้ามากเช่นนี้
อิทธิพลอำนาจเหล่านี้มีบุคคลในยุทธภพ มีบุคคลที่มีอำนาจอย่างแท้จริงในกองทัพ มีตระกูลขุนนางไม่เข้าขั้น ทั้งยังมีโจรผู้ร้ายที่สร้างความวุ่นวายไปทั่วมานานหลายปี…
เพียงแต่ คนหลายรุ่น การบริหารนับร้อยปี กลับถูกทำลายจนสิ้นภายในระยะเวลาอันสั้น
หลูเจิ้งหยางเป็นชนรุ่นหลังของตระกูลหลูซึ่งเป็นตระกูลขุนนางเก่าแก่ร้อยปีก่อนหน้านี้ เรื่องใหญ่เช่นนี้ย่อมปิดบังฮ่องเต้องค์ปัจจุบันไม่ได้
มัจฉาตายตาข่ายขาด[2] หลูเจิ้งหยางเกลียดราชวงศ์ตระกูลกูที่สุด ย่อมไม่มีทางให้ฮ่องเต้ได้อยู่อย่างสุขสบาย ดังนั้น ข้อเท็จจริงเรื่องการสิ้นชีพของมั่วกั๋วกงได้ถูกเขาเปิดเผยรายละเอียดต่อสาธารณชนในตอนที่เขาหลบหนี ถึงตอนนี้ ฮ่องเต้อยากจะปิดก็ปิดไม่ได้แล้ว
ตอนนี้ผู้คนมากมายที่ภักดีต่อราชวงศ์ก็เริ่มเอนเอียงไปมาแล้ว เหล่าทหารหาญมากมายล้วนหัวใจเหน็บหนาว
ภายใต้เสียงระฆังแห่งความเจริญรุ่งเรืองของอำนาจฮ่องเต้ กลับมีอันตรายจากอิทธิพลอำนาจเก่าที่พร้อมจะพังทลายหลบซ่อนอยู่
ฮ่องเต้ได้รับการยั่วยุหลายต่อหลายครั้ง เขาไม่อาจระบายอารมณ์กับมั่วเชียนเสวี่ยได้ และไม่อาจจัดการหนิงเซ่าชิงซึ่งๆ หน้าได้ ทำได้เพียงแค่ระบายโทสะทั้งหมดลงกับหลูเจิ้งหยาง และคนแซ่หลูทั้งหมด
ดังนั้นไม่ได้มีแค่ครอบครัวบิดามารดาของหลูเจิ้งหยางที่ถูกตัดศีรษะก่อนหน้านี้ แต่ยังมีการประหารเก้าชั่วโคตร ลากไปถึงคนแซ่หลูจำนวนมากในอำเภอเทียนเผยล้วนถูกกำหนดโทษให้อย่างไม่มีมูล ที่ฆ่าก็ฆ่า ที่เนรเทศไปเป็นทหารที่ชายแดนก็เนรเทศไป
คนแซ่หลูในพื้นที่อื่นๆ ของเทียนฉีล้วนมีจิตใจระแวดระวัง
ทั้งหมดพลันเปลี่ยนแซ่ในทันที
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ไม่มีสักคนที่แซ่หลูในราชสำนักเทียนฉี
แน่นอนว่าการปราบอิทธิพลอำนาจเบื้องหลังของหลูเจิ้งหยางให้ราบคาบ ฮ่องเต้ต้องพยายามทำทุกวิถีทาง ส่งคนไปปราบหลายต่อหลายครั้ง
หลูเจิ้งหยางเข้าไปในหนานหลิงแล้ว ไม่เพียงแต่หนิงเซ่าชิงที่คิ้วขมวดเป็นปมแน่น ฮ่องเต้ที่ได้รับข่าวในวันเดียวกันนั้นก็กระอักโลหิตออกมาเช่นกัน…
ฮ่องเต้สุขภาพไม่ดี ช่วงเวลาสำคัญที่มีศึกภายในและภายนอก เขาไม่สามารถล้มลงได้ ยิ่งไม่อยากแสดงความอ่อนแอ
ในเมื่อเขาไม่ต้องการแพร่ข่าวถึงหมอหลวงแล้วต้องเสวยโอสถทุกวัน วุ่นวายจนคนรู้กันไปทั่ว ดังนั้นก็ทำได้แค่ให้ลู่กงกง ขันทีคนสนิทจัดหายาสงบใจให้เขากิน ตนเองก็บำรุงรักษาโดยการทำใจให้สงบ ไม่คิดฟุ้งซ่าน
นับตั้งแต่มั่วเชียนเสวี่ยเข้าเมืองหลวงมา จำนวนครั้งที่เขาไปตำหนักอวี้กุ้ยเฟยก็ลดน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด ตอนนี้ก็เป็นเวลาครึ่งเดือนแล้วที่เขาไม่ได้เหยียบเข้าไปในตำหนักเหยียนชิ่งของอวี้กุ้ยเฟย
ประการหนึ่งคือสุขภาพไม่ดี ไม่มีอารมณ์ ประการที่สองคือกลัวเห็นใบหน้านั้นของนาง กลัวเห็นนัยน์ตาของนาง กลัวเห็นรอยยิ้มอ่อนโยนบนใบหน้านั้นของนาง
เพียงแค่เห็นนาง เขาก็จะคิดถึงคนอีกคนหนึ่ง
แต่ก่อนเป็นการปลอบโยนอย่างหนึ่ง แต่ตอนนี้กลับเป็นความทรมาน
…
ภายในตำหนักเหยียนชิ่ง ประตูหน้าต่างปิดมิดชิด ม่านสีเขียวห้อยระย้า คางคกทองในเตาไฟพ่นกลิ่นอายหอมหวานราวกับหยดน้ำผึ้งในน้ำ อบอวลอ้อยอิ่งอยู่ภายในห้องอันงดงาม
วันนี้เป็นวันเกิดของอวี้กุ้ยเฟย หมัวมัวที่รับผิดชอบดูแลงานต่างๆ ข้างกายอวี้กุ้ยเฟยตรวจสอบของขวัญของทุกคน
ของขวัญส่วนใหญ่คือพวกผ้าแพรพรรณ ถุงหอม เครื่องประดับศีรษะ ปิ่นปักผม ต่างหูอะไรพวกนี้ มีบางคนที่ตั้งใจเป็นพิเศษ ส่งมอบผลงานบุปผาสกุณา ขุนเขาสายน้ำไหล ภาพวาดและตำรามา เข้ากับความชอบงานอดิเรกของอวี้กุ้ยเฟยมาก
หมัวมัวที่รับผิดชอบดูแลเขียนรายการของขวัญไป พลางสั่งนางกำนัลในวังหยิบของสำคัญและล้ำค่าบางอย่างให้อวี้กุ้ยเฟยดูก่อน
อวี้กุ้ยเฟยกลับมีสีหน้ากะปลกกะเปลี้ย ท่าทางลืมตาไม่ขึ้น ปล่อยให้นางกำนัลอธิบายอยู่อีกด้านไป
วันนี้เป็นวันเกิดของนาง แต่ฝ่าบาทกลับไม่ได้มาหานาง
ฝ่าบาทไม่ได้มาหลายวันแล้ว
“นั่นคือของจางเหม่ยเหรินส่งมาเพคะ ให้เหนียงเหนียงเปิดดูแก้เบื่อ” นางกำนัลถือสมุดพับเล่มเล็ก อธิบายอยู่ด้านข้าง
อวี้กุ้ยเฟยฝืนเก็บงำความรู้สึก ตอบว่า “ลำบากนางแล้ว”
เอ่ยพลางหยิบภาพวาดของผู้มีชื่อเสียงม้วนหนึ่งขึ้นมาชื่นชมดอกเหมยผลิบานกลางฤดูหนาวในภาพนั้นสวยงามเสียจนทำให้เบิกบานใจยิ่งนักได้อย่างไร
[1] แหฟ้าตาข่ายดิน หมายถึง การล้อมศัตรูหรือผู้หลบหนีไว้อย่างหนาแน่น
[2] มัจฉาตายตาข่ายขาด หมายถึง การต่อสู้กันจนตกตายไปด้วยกันทั้งสองฝ่าย