“ก็แค่วันเกิดธรรมดาเท่านั้น” สืออีเหนียงพูดด้วยรอยยิ้ม “ยิ่งไปกว่านั้นฉินเกอของเจ้าไม่เพียงแต่มอบภาพอักษรให้ข้า แล้วยังมอบพัดให้ข้าตั้งสองเล่ม” จากนั้นก็บอกนาง “ทานบะหมี่อายุยืนเถิด!”
ฟังซื่อไม่พูดอะไรต่อ นางก้มหน้าทานบะหมี่
ไท่ฮูหยินทานไปชามเล็กๆ จากนั้นก็เรียกสวีซื่อเจี่ยนที่ทานน้ำแกงบะหมี่จนหมดมาหา
“ช่วงนี้เรียนหนังสือกับอาจารย์ เป็นเช่นไรบ้าง ปีหน้าลงสอบได้หรือไม่”
สวีซื่อเจี่ยนยิ้มอย่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออก “ข้าไม่ได้เก่งเหมือนพี่สองนะขอรับ!”
ไท่ฮูหยินยิ้มแล้วถามเขา “เช่นนั้นต่อไปเจ้าจะทำอะไร”
เรื่องนี้สวีซื่อเจี่ยนยังไม่เคยคิด
เขาตื่นตระหนกไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็พูดว่า “ข้าจะทำตามที่ท่านพ่อบอกขอรับ”
ทุกคนหัวเราะ
ไท่ฮูหยินเงยหน้าขึ้นพูดกับคุณชายสาม “ลูกๆ ของแต่ละครอบครัวล้วนได้รับความใส่ใจจากครอบครัว ข้าคิดว่า เจี่ยนเกอเป็นคนร่าเริง ถึงแม้ว่าจะเรียนไม่เก่งเท่าอวี้เกอ แต่เขาก็เป็นคนตรงไปตรงมาและจริงใจกับคนอื่น” พูดจบ นางก็หยุดชะงักแล้วพูดต่อไปว่า “ฉินเกอเป็นบุตรชายคนโตของพวกเจ้า ข้าไม่สนใจแล้ว องครักษ์วังหลวงมีตำแหน่งองครักษ์ถือธง ข้าคิดว่าไม่เลวเลยทีเดียว ผ่านเทศกาลไหว้บ๊ะจ่างไปแล้ว ให้เจี่ยนเกอไปรับตำแหน่งที่นั่นเถิด!”
องครักษ์ถือธง คือคนที่เฝ้าประตูใหญ่ของพระราชวัง
นอกจากสวีลิ่งควน ทุกคนในห้องล้วนแต่ตกใจ คุณชายสามและฮูหยินสามหันมามองหน้ากัน
“ท่านแม่บอกข้าว่าอยากให้เจี่ยนเกอมีเกียรติ” สวีลิ่งควนยิ้ม “ข้าจึงเชิญคนของฝ่ายทหารกรมกลาโหมทานข้าว พวกเขาเห็นว่าเป็นข้า จึงถือรายชื่อมาให้ข้าเลือก ข้าเห็นว่าตำแหน่งองครักษ์ถือธงเริ่มตั้งแต่ระดับหก ต่อไปจะได้เลื่อนไปยังกองปัญจทิศรักษานครจึงเลือกตำแหน่งนี้” เขายิ้มอย่างพึงพอใจ “คนของฝ่ายทหารบอกให้ข้ารีบตัดสินใจ บอกว่ามีหลายตระกูลจับจ้องตำแหน่งนี้อยู่ หากสกุลเราไม่พอใจ พวกเขาจะได้ตอบกลับสกุลอื่นโดยเร็วที่สุด ขุนนางชั้นสูงกำลังรอให้พวกเขาไปรายงานรายชื่อ!”
สืออีเหนียงมองไปยังสวีลิ่งอี๋
ถึงแม้ว่าสีหน้าของสวีลิ่งอี๋จะนิ่งเฉย แต่ในสายตาของเขากลับมีความแปลกใจ เห็นได้ชัดว่าเขาเองก็ไม่รู้เรื่องนี้เหมือนกัน
คุณชายสามและฮูหยินสามยิ่งไม่รู้อะไรเลย
สีหน้าของไท่ฮูหยินเยือกเย็น “ทำไมกัน พวกเจ้าไม่พอใจกับตำแหน่งนี้อย่างนั้นหรือ หรือว่าพวกเจ้ามีตำแหน่งที่ดีกว่านี้?”
ถ้วยชาของไท่ฮูหยินเมื่อสองวันก่อนยังทำให้คุณชายสามรู้สึกหวาดกลัวไม่หาย เขาจะกล้าคิดมากได้เช่นไร จึงรีบพูด “ไม่ใช่ขอรับไม่ใช่ ข้าไม่มีตำแหน่งอะไร แล้วก็ไม่ได้ไม่พอใจกับตำแหน่งนี้ แต่แค่คิดไม่ถึงว่า…” พูดถึงตรงนี้ เขาก็ตระหนักขึ้นมาได้ ตำแหน่งนี้ถึงแม้ว่าจะเป็นเจตนาของไท่ฮูหยิน แต่หากไม่มีชื่อเสียงของสวีลิ่งอี๋ ถึงแม้ว่าจะให้สวีลิ่งควนเป็นคนออกหน้าพูด เกรงว่าคนของฝ่ายทหารกรมกลาโหมที่เย่อหยิ่งเหล่านั้นคงไม่มีทางนำรายชื่อออกมาให้สวีลิ่งควนเลือกตามอำเภอใจ เขารีบดึงแขนเสื้อฮูหยินสามแล้วคุกเข่าลง “ขอบพระคุณท่านแม่ที่ช่วยหาตำแหน่งดีๆ เช่นนี้ให้เจี่ยนเกอ” แล้วหันไปโค้งคำนับสวีลิ่งอี๋ “น้องสี่ ขอบคุณเจ้าด้วย!” หันไปโค้งคำนับสวีลิ่งควน “ขอบคุณน้องห้าที่ช่วยพูดให้เช่นกัน”
ฮูหยินสามก็ตระหนักขึ้นมาได้แล้วเหมือนกัน
อนาคตของบุตรชายทั้งสองคนคือปัญหาที่ติดอยู่ในใจของนางมาตลอด
ตั้งแต่สมัยของบรรพบุรุษ ตำแหน่งขุนนางระดับหนึ่งถึงระดับเจ็ด บุตรชายสามารถสืบทอดตำแหน่งได้ แล้วหากมีความดีความชอบหรือว่าได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้ บุตรชายสองสามคนก็สามารถรับตำแหน่งได้ สำหรับคนนอกแล้ว ด้วยความดีความชอบของสวีลิ่งอี๋ และความโปรดปรานที่ฮ่องเต้มีต่อฮองเฮา อนาคตของลูกๆ ไม่ใช่ปัญหา แต่นางรู้จักครอบครัวของตัวเองดี สวีลิ่งอี๋เคยพูดเมื่อนานมาแล้วว่า หากสกุลสวีไม่ใช่สกุลญาติไม่เป็นไร แต่ในเมื่อสกุลสวีเป็นสกุลญาติของฮองเฮา ไม่เพียงแต่ต้องปฏิบัติตามกฎเกณฑ์แล้วยังต้องมีวินัยในตนเอง จะทำให้ฮองเฮาลำบากใจ ทำให้ราชวงค์เสียชื่อเสียงไม่ได้ แล้วเขายังเคยปฏิเสธความเมตตาของฮ่องเต้ ให้บุตรชายคนโตเรียนหนังสือและสอบเข้าเอง…ทำให้ครอบครัวพวกเขากลืนไม่เข้าคายไม่ออก หากให้บุตรชายคนโตรับตำแหน่ง แล้วบุตรชายคนที่สองจะทำเช่นไร หากให้บุตรชายคนที่สองรับตำแหน่ง แล้วบุตรชายคนโตจะทำเช่นไร นางยังเคยบ่นให้สามีของตัวช่วยคิด แต่สามีตัวเองกลับขี้ขลาดตาขาว ไม่กล้าอ้างชื่อเสียงของสวีลิ่งอี๋ แล้วยังบอกว่า ‘น้องสี่เป็นคนฉลาด ถึงตอนนั้นเขาคงจะจัดการเอง’ ทำให้นางโมโหตั้งหลายครั้งหลายครา
แต่คิดไม่ถึงว่าไท่ฮูหยินโมโหพวกเขาสองสามีภรรยาแล้ว จู่ๆ ก็หาตำแหน่งให้สวีซื่อเจี่ยน...เช่นนี้สวีลิ่งอี๋ก็คงจะพูดอะไรไม่ได้ใช่หรือไม่ ถึงตอนนั้นกระทรวงขุนนางเปิดรับสมัครค่อยรายงานชื่อของสวีซื่อเจี่ยน ต่อไปนางก็ไม่มีเรื่องอันใดให้ต้องคิดมากแล้ว!
คิดเช่นนี้ ฮูหยินสามก็ยิ้มหน้าบาน
นางรีบก้มหัวให้ไท่ฮูหยิน “ท่านแม่เจ้าคะ หากเจี่ยนเกอของเราไม่มีท่าน เขาจะทำอย่างไร” จากนั้นก็รีบเรียกสวีซื่อเจี่ยน “เจ้าเด็กโง่ ยืนทำอะไรอยู่ตรงนั้น รีบมาก้มหัวให้ทานย่าเร็วเข้า!” นางเงยหน้าขึ้นมองฮูหยินห้าที่นั่งอยู่บนเตียงเตาแล้วพูดว่า “รีบขอบพระคุณท่านอาห้าด้วย!”
สวีซื่อเจี่ยนที่ยังอึ้งอยู่ ถูกมารดาเรียกเขาก็ได้สติกลับมา จากนั้นก็อดไม่ได้ที่จะยิ้ม
“ขอบพระคุณท่านย่าขอรับ ขอบพระคุณท่านอาห้าขอรับ” นึกถึงใครก็ขอบพระคุณคนนั้น ท่านอาสี่ก็เหมือนกัน เขาก้มหัวให้สวีลิ่งอี๋ “ขอบพระคุณท่านอาสี่ขอรับ”
สวีลิ่งอี๋ยิ้มแล้วพยักหน้า
สวีลิ่งควนลูบหัวหลานชายที่ตัวเตี้ยกว่าเขาแค่ครึ่งหัวแล้วพูดว่า “ทำงานเป็นองครักษ์ถือธงให้ดี พยายามช่วงชิงขุนนางระดับห้า ถึงตอนนั้นไปที่กองปัญจทิศรักษานคร เจ้าจะได้เป็นขุนนางระดับห้า ชีวิตของเจ้าก็จะดีขึ้น”
สวีซื่อเจี่ยนยิ้มไม่หุบ เขาพยักหน้าซ้ำๆ “ข้าฟังท่านอาห้าขอรับ” เหลือบมองพี่ชายและพี่สะใภ้ที่ยืนอยู่ข้างๆ จากนั้นก็ลังเลแล้วเรียก “พี่ใหญ่” อย่างตะกุกตะกักพลางคิดในใจว่า พี่ใหญ่แต่งงานแล้ว ควรที่จะจัดการเรื่องหน้าที่การงานของพี่ใหญ่ก่อนแล้วค่อยมาจัดการเรื่องของตน…
แต่สวีซื่อฉินกลับดีใจกับสวีซื่อเจี่ยนจากใจจริง
เพราะเรื่องแต่งงานของสวีซื่อเจี่ยน ท่านแม่เลยเป็นกังวลไม่น้อย จะว่าไปแล้ว ก็เพราะว่าสวีซื่อเจี่ยนเป็นบุตรชายคนที่สอง ตามหลักแล้ว คนที่สืบทอดตำแหน่งควรเป็นบุตรชายคนโต แต่ว่าเขาไม่มีความสามารถเหมือนสวีซื่ออวี้ สอบบัณฑิตซิ่วไฉไม่ได้…ตอนนี้น้องชายมีตำแหน่งแล้ว ต่อไปเรื่องแต่งงานก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่แล้ว
“เจ้าต้องทำหน้าที่ให้ดี” เขาตบไหล่น้องชายตัวเองอย่างแผ่วเบา “มีอะไรไม่เข้าใจก็ต้องถามท่านอาห้า ท่านอาห้ารับตำแหน่งอยู่ที่ฝ่ายองครักษ์ของวังหลวง เขาสนิทสนมกับทุกคน”
สวีซื่อเจี่ยนเห็นว่าพี่ชายตัวเองไม่มีความขุ่นเคืองใจ ก็ดีอกดีใจ “ไม่ต้องเป็นห่วงขอรับ ถึงตอนนั้นข้าจะตั้งใจเรียนรู้กับท่านอาห้า”
ฟังซื่อถอนหายใจด้วยความโล่งอก
สวีซื่อเจี่ยนมีอนาคตก็เท่ากับว่าสวีซื่อฉินมีอนาคต นางกลัวว่าฮูหยินสามจะก่อเรื่อง มอบตำแหน่งของพ่อสามีให้บุตรชายคนเล็ก แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด นางพลันรู้สึกว่าเรื่องราวมันแปลกๆ
ทำไมไม่ช่วยหาตำแหน่งให้สวีซื่อเจี่ยนเร็วกว่านี้หรือช้ากว่านี้ แต่กลับหาตำแหน่งให้เขาหลังจากที่พ่อตาพึ่งจะลาออกจากตำแหน่ง แล้วยังเป็นการลาออกจากตำแหน่งที่ไม่ค่อยดีสักเท่าไร…หรือว่าสกุลสวีจะไม่หาตำแหน่งใหม่ให้พ่อตาได้แล้วเช่นนั้นหรือ
ความคิดนี้ผุดขึ้นมาในหัว นางส่ายหน้าเบาๆ
บางทีตนอาจจะคิดมากเกินไป
ปีนี้สวีซื่อเจี่ยนอายุสิบหกแล้ว โดยปกติแล้วบุตรชายสกุลขุนนางอายุเท่านี้ก็ควรคิดถึงเรื่องของอนาคตแล้ว
มองดูบรรยากาศที่น่ายินดี ฟังซื่อลืมเรื่องพวกนั้นไป คิดว่าประเดี๋ยวต้องส่งคนไปรายงานฟังจี้
วันนี้ไท่ฮูหยินแสดงออกชัดเจนแล้ว สกุลสวีไม่ได้สนใจข่าวลือที่นางมีดวงพิฆาตสามี ในเมื่อเป็นเช่นนี้คงต้องให้พี่ใหญ่มาขอขมาญาติผู้ใหญ่สกุลสวี…
*****
เมื่อเห็นจิ่นเกอหายใจเป็นจังหวะสม่ำเสมอ สืออีเหนียงก็หยุดตบก้นเขา
สวีลิ่งอี๋ที่กำลังอ่านหนังสืออยู่บนเตียงก็ขยับเข้ามามองดูบุตรชายของตัวเอง “หลับไปแล้วหรือ!”
สืออีเหนียงพยักหน้า นางกลัวว่าเขาจะร้อนจึงจับมือของเขาออกมาไว้นอกผ้าห่ม จากนั้นก็พูดเสียงเบาว่า “หลับไปแล้วเจ้าค่ะ” นางลุกขึ้นนั่งพิงไหล่ของสวีลิ่งอี๋ พูดขึ้นว่า “ท่านคิดว่าท่านแม่กำลังคิดอะไรอยู่หรือ จู่ๆ ถึงให้คุณชายห้าหาตำแหน่งให้เจี่ยนเกอเงียบๆ แบบนี้…” นางรู้สึกไม่สบายใจ มักจะรู้สึกเหมือนมีเรื่องอันใดเกิดขึ้น
สวีลิ่งอี๋ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “เจ้าคิดว่าท่านแม่ไม่ปรึกษาเรา ดังนั้น… “
“ไม่ใช่เจ้าค่ะ” สืออีเหนียงยิ้ม “ข้าเห็นท่าทีของพี่สะใภ้สองและน้องสะใภ้ห้า พวกนางตกใจมากกว่าข้าเสียอีก เลยคิดว่าท่านแม่คงจะบอกให้คุณชายห้าจัดการอย่างเงียบๆ…แต่ข้าแค่ไม่เข้าใจ จะว่าไปแล้ว เรื่องนี้เป็นเรื่องที่น่ายินดี เหตุใดท่านแม่ถึงต้องทำให้ดูมีลับลมคมในเช่นนี้เล่า!”
สวีลิ่งอี๋เห็นนางสับสน เขาก็ยิ้มแล้วหอมแก้มนาง จากนั้นก็พูดเบาๆ “ไม่พูดถึงเรื่องนี้ดีกว่า วันนี้วันเกิดของเจ้า เจ้าอยากได้อะไรเป็นพิเศษหรือไม่ ข้าจะซื้อให้เจ้า”
“ไม่อยากได้อะไรเจ้าค่ะ!” สืออีเหนียงยิ้ม “ท่านโหวมอบปิ่นปักผมทองให้ข้าแล้วไม่ใช่หรือ ข้าว่ามันก็สวยดี ไม่มีอะไรอยากได้เป็นพิเศษ”
สวีลิ่งอี๋ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “หรือว่า เราจะพาลูกไปอยู่ที่ตรอกจินอวี๋สักสองสามวันเหมือนน้องห้า ตั้งแต่ตรอกจินอวี๋ซ่อมแซมใหม่เจ้าก็ยังไม่เคยไป ที่นั่นนั้นห่างไกล แต่ก็มีข้อดีของความห่างไกล ล้อมรอบด้วยภูเขาและแม่น้ำ บรรยากาศร่มรื่น…”
ถึงตอนนั้นพวกเด็กๆ ยังต้องมาคารวะตัวเองทุกเช้า โดยเฉพาะสวีซื่ออวี้ เขาอายุสิบห้าสิบหกแล้ว ทุกครั้งที่ตัวเองเจอเขายังต้องแต่งตัวให้เรียบร้อย กลัวว่าเครื่องประดับจะดูหรูหราเกินไป หรือเสื้อผ้าจะดูเรียบง่ายเกินไป ทำให้ดูไม่มีมารยาท…แล้วอีกอย่าง มันไม่เหมือนยุคปัจจุบัน ที่แค่กระเป๋าเดินทางใบเดียวก็ออกนอกบ้านได้แล้ว ถึงตอนนั้นแม้แต่แจกันที่ชอบใช้ก็ยังต้องนำไปด้วย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงสาวใช้และป้ารับใช้ อากาศร้อนๆ เช่นนี้ ไม่สู้อยู่ที่เรือนยังจะดีเสียกว่า
“ข้าว่าช่างมันเถิดเจ้าค่ะ!” สืออีเหนียงยิ้ม “อากาศร้อนเช่นนี้ ข้าไม่อยากขยับไปไหน รอให้อากาศเย็นลงอีกสักหน่อยแล้วค่อยว่ากันเถิด!”
สวีลิ่งอี๋ครุ่นคิดแล้วพูดว่า “หรือว่า เจ้าปล่อยให้จิ่นเกออยู่ที่เรือน เจ้ากลับไปอยู่ที่จวนสกลุเดิมสักสองสามวัน? ถือโอกาสไปหาซื่อเหนียงและอู่เหนียง เฉียนหมิงเข้าไปรับตำแหน่งแทนนายอำเภอเหวินเติง ปลายเดือนห้าก็จะต้องออกไปจากเมืองหลวงแล้ว ต่อไปก็ไม่รู้ว่าจะได้เจอเขาอีกเมื่อไร พี่น้องอย่างพวกเจ้าคงมีเรื่องที่ต้องคุยกัน…”
หวังอี๋เหนียงเป็นคนดูแลจวนที่ตรอกกงเสียน สืออีเหนียงเป็นคุณหนูสกุลหลัว แน่นอนว่านางคงไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่าม สืออีเหนียงก็จะได้พักผ่อนสักสองสามวัน
“ท่านโหวอย่าไล่ข้าไปไหนเลย” สืออีเหนียงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ “ข้าอยากอยู่กับจิ่นเกอ” เงยหน้าขึ้นก็เห็นมุมปากของสวีลิ่งอี๋กระตุก เหมือนเขากำลังอยากจะพูดอะไรบางอย่าง นางจึงรีบชิงพูดขึ้น “น้ำใจของท่านโหวข้ารับไว้แล้ว ข้าอยู่ที่เรือนจนเคยชินแล้ว ไม่อยากออกไปไหนเจ้าค่ะ หากท่านโหวคิดว่าอากาศร้อน เช่นนั้นข้าไปพูดกับไท่ฮูหยิน เราย้ายไปอยู่ที่เรือนศาลาริมน้ำฉุยหลุนในช่วงฤดูร้อนก็ได้!”
สวีลิ่งอี๋พลันนึกขึ้นได้ว่าปกติสืออีเหนียงก็มักจะชอบอยู่ที่เรือนอยู่แล้ว เขาจึงยิ้มแล้วไม่พูดอะไรอีก
สืออีเหนียงถามเขา “สองวันก่อนบอกว่าเขาไปรับตำแหน่งผู้ช่วยนายอำเภอที่ฉุนอานไม่ใช่หรือ เหตุใดถึงเปลี่ยนไปเป็นนายอำเภอที่เหวินเติงเล่า”
วันนี้อู่เหนียงไม่ได้กลับสกุลเดิม บอกว่าสหายของเฉียนหมิงมาเป็นแขกที่จวน นางต้องอยู่ต้อนรับแขก
“นายอำเภอที่เหวินเติงแม้ว่าจะไม่ใช่ตำแหน่งที่สูงส่ง แต่ก็ถือเป็นบิดามารดาแห่งอำเภอ ไม่เหมือนไปฉุนอาน ถึงแม้ว่าจะเป็นตำแหน่งที่มั่งคั่งร่ำรวย แต่กลับต้องทำงานภายใต้อำนาจของคนอื่น” สวีลิ่งอี๋อธิบาย “เฉียนหมิงสนิทสนมกับฝ่ายคัดเลือกของทางกระทรวงขุนนางอยู่แล้ว แล้วยังยอมเสียเงิน แน่นอนว่าแค่พูดก็สำเร็จ!”
“ตอนที่ป้าซ่งนำของขวัญเทศกาลไหว้บ๊ะจ่างไปมอบให้ พี่หญิงห้าไม่ได้พูดอะไร ข้าจึงคิดว่าหลังจากเทศกาลไหว้บ๊ะจ่างแล้วจะไปหานาง” สืออีเหนียงพยักหน้า “ในเมื่อนางจะออกไปจากเมืองหลวงปลายเดือนห้าแล้ว เช่นนั้นพรุ่งนี้ข้าไปหานางดีกว่าเจ้าค่ะ”