ตอนที่ 558 แม่บ้านอู๋ซู่เฟิน
หลินม่ายมอบหมายเรื่องของอู๋ซู่เฟินให้ติงไห่เฟิงจัดการ
ติงไห่เฟิงพาหล่อนมายังห้องทำงานของตัวเอง
วันที่หิมะตกหนัก คนอื่นๆ ต่างสวมเสื้อบุนวมกันทั้งนั้น แต่บนร่างของเขากลับสวมเพียงสเวตเตอร์บางๆ ตัวหนึ่งเท่านั้น เห็นได้ชัดว่าร่างกายแข็งแรงมาก
เขานั่งลงหน้าโต๊ะทำงานของตน พาดขายาวกำยำสองข้างบนโต๊ะ มองอู๋ซู่เฟินที่ตัวสั่นงันงกอยู่เบื้องหน้าด้วยสายตาเย็นชา ก่อนใช้กระบองไฟฟ้าเคาะเบาๆ ที่ฝ่ามือซ้ายของตัวเอง แล้วถามด้วยน้ำเสียงยียวน “คุณจะสารภาพด้วยตัวเอง ว่าที่ผ่านมาได้ขโมยของในโรงงานไปมากน้อยแค่ไหนแล้ว หรือจะให้ผมส่งคุณไปโรงพัก ให้เจ้าหน้าที่สันติบาลสอบสวนว่าคุณขโมยไปเท่าไหร่ แล้วควบคุมตัวคุณตามกฎหมายอะไรทำนองนั้นดี?”
อู๋ซู่เฟินเม้มปากแน่นไม่ยอมส่งเสียง
ติงไห่เฟิงหัวเราะเล็กน้อย “ได้ยินว่าลูกชายคนเล็กของคุณเรียนได้คะแนนไม่เลวเลย ไม่รู้ว่าถ้าคุณมีประวัติอาชญากรรมอยู่ในสถานีตำรวจ มันจะส่งผลกระทบต่ออนาคตของลูกชายคุณหรือเปล่านะ?”
ในยุคนี้ การตรวจสอบประวัติทางการเมืองนั้นเข้มงวดมาก
ต่อให้เป็นเจ้าตัวหรือญาติพี่น้องโดยสายโลหิต หากเคยถูกควบคุมตัวที่สถานีตำรวจมาก่อน ผู้สอบเข้าระดับมัธยมปลายหรือมหาวิทยาลัยล้วนอาจไม่ถูกรับเข้าเรียนได้
สถานการณ์เช่นนี้ในอีกไม่กี่ปีถึงจะเริ่มมีความเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น
อู๋ซู่เฟินสีหน้าขาวซีด เลิกนิ่งเงียบไม่พูดจา แล้วเอ่ยอ้ำๆ อึ้งๆ “ฉัน…ก็…ก็เพิ่งหยิบเศษผ้ามาชิ้นหนึ่งมาด้วยความหน้ามืดตามัววันนี้เท่านั้น…ก่อนหน้านี้ฉันไม่เคยทำเลย…”
ติงไห่เฟิงหัวเราะเยาะ “หยิบมา? คุณนี่ช่างคิดแผนการขโมยลักซ่อนได้เก่งจริงๆ ผ้าก็แอบซ่อนอยู่ในสเวตเตอร์แล้ว ยังจะบอกว่าแค่หยิบมาอีก!”
เขายกขาทั้งสองข้างลงจากโต๊ะทำงาน “พอ ไม่ต้องพูดมากแล้ว ในเมื่อคุณไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา งั้นผมก็จะไปแจ้งความคุณ ให้ตำรวจไปตรวจค้นที่บ้านคุณ ดูซิว่าคุณขโมยไปแล้วเท่าไหร่แน่ อย่าหาว่าผมไม่เตือนล่ะ เศษผ้าที่คุณขโมยมา ถ้าขโมยไปถึงจำนวนที่กำหนด มันจะไม่ได้ง่ายดายแค่ถูกควบคุมตัวตามกฏหมายเท่านั้น แต่ต้องถูกตัดสินโทษจำคุกเชียวนะ”
อู๋ซู่เฟินตกใจกลัวจนแทบจะทรงตัวยืนไม่อยู่
เมื่อเห็นติงไห่เฟิงสั่งให้ลูกน้องสองคนคุมตัวหล่อนไปแจ้งความที่โรงพัก หล่อนก็ยืนหยัดไม่ไหวอีกต่อไป
หล่อนคุกเข่าลงกับพื้นดังตึง น้ำตาไหลพรากเป็นสายน้ำ “หัวหน้าติง ฉันสารภาพ ฉันจะสารภาพทุกอย่าง คุณอย่าส่งฉันไปโรงพักเลยนะ ฉันขอร้องคุณล่ะ!”
พูดจบ ก็โขกศีรษะคำนับราวกับโขลกกระเทียม
ติงไห่เฟิงหัวเราะอย่างหยามหยัน “ต่ำช้าจริงๆ พูดกันดีๆ ไม่ฟัง ต้องให้ความตายอยู่ต่อหน้าถึงจะคุกเข่าก้มหัว! พูดมา คุณขโมยของในโรงงานไปแล้วเท่าไหร่กันแน่”
อู๋ซู่เฟินพูดอ้ำๆ อึ้งๆ “ก็แค่ผ้าสิบกว่าชิ้นเท่านั้น…”
หล่อนคิดคำนวณอยู่ในใจ ถึงอย่างไรแม้ที่หล่อนขโมยมาทั้งหมดล้วนเป็นผ้าเกรดสูง แต่ต่อให้สูงอย่างไรก็เป็นเพียงเศษผ้าเท่านั้น
เศษผ้าชิ้นใหญ่ของโรงงานแม้จะขายได้เงินเช่นกัน ซึ่งทั้งหมดหล่อนขายให้กับพวกพ่อค้าเร่ที่เชี่ยวชาญในธุรกิจการขายปลีกผ้า
แต่ราคาขายนั้นต่ำ สิบกว่าชิ้นก็ได้ประมาณร้อยสองร้อยหยวนเท่านั้น ซึ่งเทียบไม่ได้เลยกับกำไรที่หล่อนได้จากของที่เธอขโมยมาจากโรงงาน
หล่อนทำเช่นนี้ก็เพื่อเลี่ยงหนักเป็นเบา
ทั้งสามารถหนีจากคุกตารางไปได้ ทั้งยังไม่ต้องสำรอกความจริงออกมาทั้งหมดอีกด้วย เพียงแค่คายออกมาเล็กน้อยก็ได้แล้ว
ติงไห่เฟิงดูเหมือนว่าจะหลอกได้ง่าย
เขาพยักหน้า “ผมจะส่งลูกน้องสองคนไปเอาผ้าที่คุณขโมยไปที่บ้านของคุณกลับมา เรื่องนี้ก็แล้วกันไปแล้วกัน”
อู๋ซู่เฟินลอบถอนหายใจเฮือกหนึ่ง ก่อนถามเสียงอ่อน “อย่างนั้นงานของฉันก็ยังรักษาไว้ได้ใช่ไหมคะ?”
ที่โรงงานเสื้อผ้าจิ่นซิ่วนั้นต่อให้ทำงานเป็นแม่บ้านทำความสะอาด ก็ยังได้เงินโบนัสเหมือนกัน
เงินเดือนพื้นฐานในทุกๆ เดือนบวกกับโบนัส เงินที่ได้รับเองก็ไม่น้อยเลย หล่อนไม่อยากสูญเสียงานนี้ไป
ติงไห่เฟิงยิ้มอย่างเหยียดหยามอยู่ในใจ ขโมยของในโรงงานแล้ว ยังหวังว่าจะไม่ถูกไล่ออกอีก ทำไมคนผู้นี้ถึงได้หน้าไร้ยางอายขนาดนี้กันนะ?
แต่บนใบหน้าของเขากลับไม่เผยออกมาเลยแม้แต่น้อย “เรื่องนี้ผมไม่ได้เป็นผู้ตัดสินใจ รอดูว่าพรุ่งนี้ประธานหลินจะว่ายังไงแล้วกันครับ แต่ว่าตราบใดที่คุณมีใจสำนึกผิด สารภาพออกมาอย่างหมดจด ผมคิดว่าประธานหลินจะต้องให้อภัยคุณ”
อู๋ซู่เฟินเม้มปากแล้วพูด “ฉันสารภาพไปหมดแล้วค่ะ”
หลังจากที่ลูกน้องสองคนคุมอู๋ซู่เฟินออกไปแล้ว ติงไห่เฟิงก็ส่งลูกน้องคนหนึ่งไปแจ้งความทันที
ตอนที่อู๋ซู่เฟินถูกจับได้คาหนังคาเขานั้น หล่อนขโมยเพียงผ้าสักหลาดชิ้นหนึ่งเท่านั้น เทียบเป็นจำนวนเงินก็เพียงสิบยี่สิบหยวนเท่านั้น ซึ่งยังไม่เพียงพอถึงเกณฑ์ที่จะแจ้งความได้
เมื่อครู่ติงไห่เฟิงย้ำนักย้ำหนาว่าจะแจ้งความ ก็เพียงเพื่อขู่อู๋ซู่เฟินเท่านั้น
ในสมัยนี้ อย่าว่าแต่คุณป้าที่ไม่รู้หนังสือเลย ต่อให้เป็นคนมีการศึกษาเองก็รู้กฎหมายน้อยนิดเช่นกัน
ติงไห่เฟิงขู่ให้อู๋ซู่เฟินกลัวก็แค่หยิบมาพูดไปเรื่อย!
ทว่าตอนนี้อู๋ซู่เฟินยอมรับออกมาแล้วว่าได้ขโมยผ้าสักหลาดไปสิบกว่าชิ้นด้วยตัวเอง
แม้จะเป็นเศษผ้า แต่ก็มีราคาราวร้อยหยวน ซึ่งถึงเกณฑ์ในการตั้งเรื่องบังคับคดีแล้ว อย่างนั้นเขาก็ต้องแจ้งความแน่นอน
เขาไม่เชื่อหรอกว่าอู๋ซู่เฟินจะขโมยผ้าสักหลาดไปแค่สิบกว่าชิ้นเท่านั้น น่ากลัวว่าที่บ้านหล่อนคงมีอีกไม่น้อย จะต้องตามเอากลับมาให้หมด!
อู๋ซู่เฟินกลับมาถึงบ้านของตนภายใต้การควบคุมตัวของลูกน้องทั้งสองของติงไห่เฟิง
คนทั้งครอบครัวของหล่อนหากไม่สวมเสื้อผ้าจากผ้าสักหลาดก็เป็นผ้าขนสัตว์ ดูไม่เข้ากับบ้านทรุดโทรมซ่อมซ่อของหล่อนเลยสักนิด
ลูกน้องคนหนึ่งเห็นดังนั้น ก็จงใจเดินเข้าไปดูเครื่องแต่งกายบนร่างคนในครอบครัวของอู๋ซู่เฟินใกล้ๆ
“ทำไมฉันยิ่งดูเนื้อผ้าพวกนี้ก็ยิ่งรู้สึกว่าเหมือนว่าของโรงงานเราเลยล่ะ?”
อู๋ซู่เฟินและคนในครอบครัวหล่อนต่างก็หน้าถอดสีเล็กน้อย ก่อนมองไปยังลูกน้องคนนั้นอย่างไม่สบายใจ
ลูกน้องอีกคนหนึ่งตบลูกน้องคนนั้นเบาๆ “มั่นใจหน่อยสิ เอาคำว่า‘เหมือน’โยนทิ้งไปเลย มันเป็นของโรงงานเรานั่นแหละ!”
สามีของอู๋ซู่เฟินเดือดดาลด้วยความอับอาย พลันตบโต๊ะลุกขึ้น “พวกแกเป็นใคร? อย่าหาว่าฉันไม่เตือนพวกแก พูดซี้ซั้วให้มันน้อยๆ หน่อย!”
ลูกน้องทั้งสองยิ้มอย่างดูถูก “พวกเราไม่ได้พูดซี้ซั้ว แค่เรียกเจ้าหน้าที่สันติบาลมาความจริงก็ปรากฏแล้วไม่ใช่เหรอ? คุณมัวทำอะไรอยู่เล่า!”
สามีของอู๋ซู่เฟินห่อเหี่ยวลงทันใด เขามองพินิจลูกน้องทั้งสองคนด้วยความงงงวย
แม้แต่ในดวงตาของคนอื่นๆ เองก็ฉายกระกายแห่งความกลัวออกมาเล็กน้อย
วัวสันหลังหวะ คำที่ครอบครัวของอู๋ซู่เฟินกลัวจะได้ยินที่สุดก็คือ“สันติบาล”
อู๋ซู่เฟินขโมยสินค้าในโรงงานออกมาขาย พวกเขาไม่เพียงรู้เห็น แต่ยังเป็นใจร่วมด้วยอีกต่างหาก
หากเรียกเจ้าหน้าที่มาจริงๆ ทั้งบ้านยกเว้นน้องชายคนเล็กที่ยังเรียนอยู่ชั้นมัธยมปลายแล้ว ก็ไม่มีใครที่ไม่ได้เกี่ยวข้องพัวพันอีกเลย
อู๋ซู่เฟินและสามีกระซิบกระซาบกันสองสามคำ ภายใต้สายตาวิตกกังวลและหวาดหวั่นของพวกเขา ก็ได้นำผ้าสักหลาดสิบกว่าชิ้นจากในบ้านออกมามอบให้กับลูกน้องทั้งสองของติงไห่เฟิง
หล่อนพูดกับลูกน้องทั้งสองของติงไห่เฟิงด้วยท่าทางน่าเวทนา “ฉันมอบของให้ไปแล้ว พวกคุณ…ไปได้แล้วล่ะ”
หล่อนไม่อยากให้พวกเขาอยู่ที่นี่ต่อไป เพราะมีพวกเพื่อนบ้านมายืนชะโงกหัวลับๆ ล่อๆ อยู่หน้าบ้านหล่อนแล้ว
เสียงหนึ่งพลันดังขึ้น “คุณบอกให้พวกเขาไปก็ต้องไปเหรอ? เรายังไม่ได้ตรวจค้นบ้านคุณเลยนะ!”
อู๋ซู่เฟินเงยหน้ามองด้วยความตื่นตะลึง เป็นติงไห่เฟิงที่พาเจ้าหน้าที่สันติบาลสองนายมาด้วยนั่นเอง
หล่อนพลั้งปากพูดออกไปด้วยความโมโห “คุณบอกว่าจะไม่แจ้งตำรวจไม่ใช่เหรอ?”
ติงไห่เฟิงเหล่ตามองต่ำหล่อนไปยังหล่อนอย่างหยามหยัน “เพราะคุณเองที่ไม่รักษาคำพูดก่อน คุณบอกความจริงกับผมแล้วหรือยังล่ะ?”
อู๋ซู่เฟินถูกถามจนไม่กล้าเอ่ยตอบ
ติงไห่เฟิงพูดด้วยสีหน้าเที่ยงตรง “คุณไม่ได้พูดความจริง ผมก็ต้องแจ้งความอยู่แล้ว ให้เจ้าหน้าที่เข้าไปตรวจค้นในบ้านคุณ ดูว่าคุณขโมยสินค้าในโรงงานมามากแล้ว!”
เจ้าหน้าที่ไม่ได้ทำการตรวจค้นทันทีที่มาถึง แต่สอบปากคำสมาชิกทั้งหมดในครอบครัวของอู๋ซู่เฟินแยกกัน เพื่อตรวจสอบว่าอู๋ซู่เฟินขโมยของในโรงงานมาเท่าไหร่กันแน่ และสุดท้ายจัดการกับของเหล่านี้อย่างไร
ถึงอย่างไรพวกเขาต่างก็เป็นคนธรรมดา เมื่อเจอเจ้าหน้าที่สันติบาลก็พากันหวาดกลัว
โดยเฉพาะคนชราและเด็กในบ้าน เจ้าหน้าที่เพียงแค่เข้มงวดขึ้นหน่อย พวกเขาก็สารภาพออกมาหมดทุกอย่าง
ไม่นาน เจ้าหน้าที่ก็สอบปากคำจากสมาชิกในครอบครัวของอู๋ซู่เฟินได้ความว่า อู๋ซู่เฟินได้กำไรจากการขโมยของในโรงงานกว่าหนึ่งพันหยวนแล้ว และในบ้านยังมีของที่ขโมยมาจากโรงงานอีกไม่น้อย ซึ่งมีมูลค่าสี่ห้าร้อยหยวน
ไปๆ มาๆ รวมแล้วก็เป็นเงินราวๆ สองพันหยวน ก็เพียงพอสำหรับการตั้งข้อหาร้ายแรงแล้ว
เจ้าหน้าที่ใส่กุญแจมือผู้ต้องหาอู๋ซู่เฟิน และผู้สมรู้ร่วมคิดลูกชายคนโตกับลูกสะใภ้คนโต
ส่วนคนอื่นๆ เพียงแค่ตำหนิอบรมรอบหนึ่งเท่านั้น
ต่อให้พวกเขารู้เห็น แต่ก็ไม่รายงาน ยิ่งกว่านั้นยังมีส่วนร่วมในการก่ออาชญากรรม แต่ลักษณะล้วนไม่ได้ร้ายแรง จึงไม่ได้โดนรวบไปด้วย
เจ้าหน้าที่เข้าไปทำคดีในบ้านอู๋ซู่เฟิน ดึงดูดให้เพื่อนบ้านมามุงดูกันไม่น้อย
เมื่อเห็นหล่อนและลูกชายคนโตกับลูกสะใภ้ของหล่อนถูกจับไป ทุกคนก็ตื่นตะลึงอย่างยิ่ง
ใครจะไปคิดว่า อู๋ซู่เฟินที่ดูเหมือนจะใจดีอ่อนโยนจะขโมยของจากโรงงานมากมายหลายครั้งเป็นพันสองพันหยวน
อู๋เสี่ยวเถาที่แทรกอยู่ในกลุ่มชาวบ้านที่มามุงดู มองอู๋ซู่เฟินและลูกชายคนโตกับลูกสะใภ้ของหล่อนถูกเจ้าหน้าที่สันติบาลจับตัวไป
อู๋ซู่เฟินเป็นเพียงป้าห่างๆ ที่หล่อนบากหน้าไปขออาศัย
รอจนฝูงชนที่มามุงดูสลายตัวกันไปแล้ว อู๋เสี่ยวเถาถึงได้เข้าไปในบ้านของอู๋ซู่เฟินอย่างระมัดระวัง
บรรยากาศในห้องนั่งเล่นเล็กๆ ดูกดดัน เมื่อเห็นหล่อนเข้ามา คุณลุงก็ถามด้วยน้ำเสียงไม่ดีนัก “เธอมาทำไมอีก?”
อู๋เสี่ยวเถาพูดอย่างเจียมตัว “ฉันมาซักเปลี่ยนเสื้อผ้าค่ะ”
บ้านนายจ้างที่เธอทำงานอยู่ตอนนี้ แม้สองสามีภรรยาจะทำงานทั้งคู่ ฐานะครอบครัวก็ไม่นับว่าแย่นัก แต่บ้านที่อยู่อาศัยนั้นเล็กมากโดยมีแค่สองห้องเท่านั้น แต่กลับมีสมาชิกอยู่กันสี่คน
หล่อนสองสามีภรรยา บวกกับลูกๆ ที่ขึ้นชั้นประถมศึกษาสองคน ทำให้บ้านไม่มีที่เพียงพอให้อยู่ได้เลย
ทุกๆ คืนอู๋เสี่ยวเถาไม่มีทางเลือกนอกจากต้องนอนร่วมกับลูกๆ ทั้งสองของนายจ้างในห้องที่เป็นห้องนั่งเล่น
บ้านหลังเล็กขนาดนี้ ข้าวของของนายจ้างเองก็ยังไม่มีที่จะวาง แล้วจะไปยินยอมให้วางของของหล่อนในบ้านของพวกเขาได้อย่างไร
ดังนั้นแม้ว่าอู๋เสี่ยวเถาจะย้ายเข้าไปอยู่ในบ้านของนายจ้างแล้ว แต่ข้าวของยังคงวางไว้ที่บ้านของอู๋ซู่เฟิน
แต่ก็ไม่ได้วางฟรีๆ หล่อนต้องจ่ายค่าเก็บรักษาเดือนละหนึ่งหยวน
อู๋เสี่ยวเถาเอาเสื้อผ้าซักเปลี่ยนเสร็จแล้วก็กลับไม่ยอมไป แล้วแสร้งถามด้วยความเป็นห่วงว่าหลังจากที่อู๋ซู่เฟินและลูกชายคนโตกับสะใภ้ของหล่อนถูกจับไปแล้วท้ายที่สุดจะเป็นเช่นไร
คุณลุงทอดถอนใจ “จำนวนเงินมากขนาดนั้น คงจะต้องติดคุกไปหลายปีเลยล่ะ”
อู๋เสี่ยวเถาได้ยินเช่นนั้น ในใจก็เบิกบานยินดี
อย่าว่าแต่อู๋ซู่เฟินถูกจำคุกไปหลายปีเลย ต่อให้ถูกยิงเป้า หล่อนก็ไม่รู้สึกเห็นอกเห็นใจแม้แต่นิดเดียว
ใครใช้ให้อู๋ซู่เฟินขี้เหนียวขนาดนั้นกันล่ะ หล่อนโตมาถึงขนาดนี้ ครั้งแรกที่มาอยู่ที่บ้านหล่อน อู๋ซู่เฟินยังคิดค่าอยู่อาศัยกับหล่อนอีก
บอกว่าบ้านหล่อนการเงินขัดสน เลี้ยงคนว่างงานคนหนึ่งไม่ไหว
หล่อนก็ไม่ได้จะให้พวกเขาเลี้ยงดูเสียหน่อย แค่ขออยู่บ้านพวกเขาไม่ถึงหนึ่งอาทิตย์เท่านั้นเอง
ด้วยเหตุนี้ อู๋เสี่ยวเถาจึงผูกใจเจ็บกับอู๋ซู่เฟิน
ในตอนนั้นเองหล่อนก็พูดกระพือไฟ “ถ้าคุณป้ากับพี่ใหญ่พี่สะใภ้ติดคุกจริงๆ พวกคุณก็จะยอมรับทั้งอย่างนี้เหรอคะ?”
พ่อแม่สามีของอู๋ซู่เฟินขมวดคิ้วนิ่วหน้าพูด “ไม่อย่างนั้นจะให้ทำยังไงล่ะ?”
อู๋เสี่ยวเถาพูด “ยังไงก็ต้องต่อต้านสักหน่อยสิคะ จะให้คนอื่นกลั่นแกล้งเหมือนลูกพลับนิ่มไม่ได้”
หากครอบครัวของอู๋ซู่เฟินกัดกับหลินม่าย เธอก็จะได้ดูเรื่องตลกๆ แล้ว
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
ไม่สุจริตต่อหน้าที่การงานของตัวเอง ก็โดนนอนคุกไปแล้วกันค่า ทุบหม้อข้าวตัวเองชัดๆ
ยัยดอกท้อเน่านี่ก็ช่างเสี้ยมนักนะ เจอคนจริงแล้วเธอจะหนาว
ไหหม่า(海馬)